บทที่ 630 แสงประกายอรุณเจิดจ้าพร่างพรายสาดส่องวังสวรรค์
มองท่าทางตื่นเต้นของนายกอง สวี่ชิงพยักหน้า
“ไปกัน การใหญ่ครั้งนี้ก่อนหน้านี้ข้าตระเตรียมไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็กำลังค้นหาเอกสาร ตอนนี้ขาดอีกไม่มากแล้ว รอข่าวดีจากข้า!”
นายกองเตรียมไปจากห้องด้านหลังที่สวี่ชิงอยู่พร้อมความเบิกบาน ไปหารือกับบรรพจารย์สำนักวัชระอย่างลึกซึ้งสักหน่อย
ก่อนไป สวี่ชิงเรียกเขาเอาไว้ ขอหนังของนายกองแผ่นหนึ่ง
นายกองไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย โยนหนังแผ่นหนึ่งมาให้ เหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว ตอนนี้อย่างอื่นมีไม่มาก แต่หนังมีมากมายก่ายกอง
“พอหรือไม่ หากยังไม่พอ ข้ายังมีอีก!”
นายกองมองสวี่ชิงอย่างใจกว้าง
“พอแล้ว…” สวี่ชิงกวาดมองหนังที่อยู่ข้างหน้าแผ่นนี้ พบว่ามีสะดืออยู่ด้วย สีหน้าอดแปลกประหลาดขึ้นมาไม่ได้
นายกองยิ้มอย่างภาคภูมิ เดินจากไปอย่างอวดดี
สวี่ชิงมองเงาแผ่นหลังนายกองพลางรู้สึกสะท้อนใจ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่าทำการใหญ่สามคำนี้จากปากนายกอง
ตามหลักสวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองควรชินแล้วถึงจะถูก แต่หลังจากนายกองกลับไป เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ก็ยังเกิดระลอกคลื่นอารมณ์นิดๆ ขึ้นมาอยู่ดี
เพราะ…การใหญ่ทุกครั้งของนายกองล้วนเสี่ยงตายทั้งนั้น อีกทั้งจากการเพิ่มขึ้นของพลังบำเพ็ญ ระดับความเสี่ยงตายนี้ก็เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด
หลายครั้งสวี่ชิงไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมนายกองถึงได้หลงใหลการเอาชีวิตมาเล่นได้อย่างบ้าคลั่งขนาดนี้
‘ชอบทำเหมือนเอาชีวิตเขามาเล่นให้ตายอยู่เรื่อย…’ สวี่ชิงสะท้อนใจ ในสมองมีคำว่าเทพพิบัติสองคำนี้ที่ท่านปู่แปดพูดออกมาในตอนที่ได้เห็นนายกองครั้งแรกผุดขึ้นมา
‘หรือศิษย์พี่ใหญ่จะเคยเป็นเทพพิบัติจริงๆ’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด นึกย้อนถึงเรื่องราวเหล่านั้นที่ตนกับนายกองทำ
ไม่ว่าจะเป็นไปขโมยของเผ่าสิงซากสมุทร หรือไปขโมยของจากโยวจิงทางนั้น หรือจะเป็นที่ต้นสิบลำไส้ลงมือทำเรื่องเทือกๆ เดียวกับขโมย…
โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่ขโมยก็กิน
สวี่ชิงครุ่นคิด
หลังจากนั่นครู่หนึ่ง เขาเงยหน้ามองไปทางที่พักของนายกอง ตรงนั้นเหมือนจะมีระลอกคลื่นอารมณ์สั่นงันงกของบรรพจารย์สำนักวัชระแผ่มา
“จากที่นายกองบอก ครั้งนี้เขาจะแสดงละคร เช่นนั้นคงไม่ใช่ขโมยของกระมัง”
ขณะพึมพำ สวี่ชิงก็เปิดถุงเก็บของไปตามสัญชาตญาณ ตรวจสอบวัตถุส่งข้ามของตัวเองเหล่านั้น มั่นใจว่าจำนวนของพวกมันมีเพียงพอ เขาถึงได้อุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
‘ตอนไปต้องพานกแก้วไปด้วย’
สวี่ชิงมีการตัดสินใจแน่วแน่ในใจ ไม่ขบคิดการใหญ่ของนายกอง จมอยู่ในการศึกษาค้นคว้าแสงประกายอรุณ
ความจริงแล้ว ในวันที่สามเขาก็สามารถปรับภาพที่ตัวเองจินตนาการบางอย่างผ่านการเปลี่ยนแปลงของแสงสีทั้งเจ็ดที่แฝงอยู่ในแสงประกายอรุณได้
แต่น่าเสียดาย ภาพเหล่านี้หยุดอยู่ในสมองของสวี่ชิงเท่านั้น เขาจินตนาการมันออกมาได้ ลองใช้การเปลี่ยนแปลงของแสงประกายอรุณได้ แต่ภาพที่สะท้อนออกมากลับแตกต่างกับที่เขาคิดเอาไว้อย่างมหาศาล
แสงก็ยังคงเป็นแสง ไม่อาจเปลี่ยนเป็นวัตถุได้
ดังนั้นถึงได้มีหลายวันนี้หลังจากนั้น เขาใช้แผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหวเป็นสื่อในการค้นคว้าหลักการสร้างภาพระหว่างแสงและภาพบันทึกเงาเคลื่อนไหว
หลักการนี้ไม่ยาก โดยเฉพาะหลังจากมีประสบการณ์โดยตรงจากการที่นายกองใช้หนังกับการสะท้อนของแสงประทับตราลายนิ้วมือภาพนั้น ในใจของสวี่ชิงก็มีแนวทางสำหรับวิธีการเปลี่ยนแปลงแสงบ้างแล้ว
‘แสงเกิดเป็นภาพได้ก็เพราะการหักเห ข้าเคยใช้วิธีแผ่แสงประกายอรุณออกไป พูดว่าไม่ถูกก็ไม่ได้ พูดได้เพียงว่านั่นเป็นผลของการแสดงออกถึงหมื่นวิถี
‘ดังนั้น สิ่งที่ข้าต้องทำคือรวมแสงประกายอรุณ เนื่องจากตัวมันเองเดิมก็แปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่แล้ว ดังนั้น มันไม่เพียงแต่สาดแสงสะท้อนไปบนวัตถุได้เท่านั้น แต่ยังสาดแสงสะท้อนไปบนวิชาของศัตรูได้ด้วย
‘ในเวลานี้ สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือทำให้การหักเหที่มองไม่เห็นเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นวัตถุ!’
สวี่ชิงพึมพำในใจ ดวงตาฉายประกาย ถือแผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหวขึ้นมา
‘ความแตกต่างระหว่างแผ่นหยกธรรมดากับแผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหว…อย่างหน้าคือไวต่อประสาทสัมผัสเทพ จึงสามารถประทับไปในจิตเทพได้ อย่างหลังไวต่อแสง จึงสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวได้
‘ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นแผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหวหรือจะเป็นหนังของนายกอง ความจริงแล้วล้วนเป็นวัตถุที่มีความไวต่อแสงเป็นอย่างยิ่งประเภทหนึ่ง’
สวี่ชิงวางแผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหวในมือลง ถือหนังนายกองขึ้นมา หลังจากศึกษาค้นคว้าครู่หนึ่ง ก็มั่นใจในผลการค้นคว้าของตัวเองในหลายวันนี้
‘โดยเฉพาะหนังของนายกองถือเป็นวัตถุที่ไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งทนทานเป็นอย่างยิ่ง หากดูให้ละเอียดแล้วลวดลายในนั้นยังทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเป็นตราประทับอย่างหนึ่ง
‘นี่น่าจะเป็นความพิเศษของร่างนายกอง ข้าติดที่พลังบำเพ็ญและมีร่างกายธรรมดาๆ ไม่อาจทำได้
‘แต่ข้าลองใช้วิธีบางอย่างทำให้ผิวบางส่วนของข้าเปลี่ยนมาไวต่อแสงมากๆ…กระตุ้นร่างเทพเจ้าที่ไม่ธรรมดาของข้าจากการนี้ได้
‘เช่นนี้แล้ว ภายใต้การหักเหจากการรวมแสงประกายอรุณ ภาพที่ข้ามองไม่เห็นก็สามารถใช้ผิวหนังของข้าสัมผัสได้ จากนั้นก็ทำให้มันปรากฏเป็นภาพมายาออกมาตามสัญชาตญาณ!’
ความคิดในใจสวี่ชิงโลดแล่น ก้มหน้ามองฝ่ามือขวาของตัวเอง จ้องเพ่งไปที่กลางฝ่ามือ
วิธีทำให้ร่างกายตัวเองไวต่อแสงมีมากมาย สวี่ชิงรู้สึกว่าวิธีที่ตนเชี่ยวชาญที่สุดก็คืออาศัยวิชาสมุนไพร
‘มีสมุนไพรและพิษจำนวนไม่น้อยที่ทำให้ผิวเปลี่ยนมาไวต่อแสง ถึงนี่จะเป็นการทำร้ายอย่างหนึ่ง แต่ใช้ในจุดที่ถูกก็จะเป็นสิ่งที่เสริมพลังวิเศษอย่างหนึ่ง
‘สรรพคุณยาเช่นนี้ ยาพิษจำนวนไม่น้อยในถุงเก็บของของข้าตอนนี้ล้วนมีทั้งนั้น
‘องค์หญิงหมิงเหมยกล่าวได้ถูกต้อง จินตนาการเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของขีดจำกัดความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังวิเศษ’

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา