บทที่ 642 ดาบสวรรค์สังหารชื่อหมู่!
ดาบนี้เพียงฟันออกมา ความเย็นยะเยือกท่วมท้น สั่นคลอนทุกสิ่ง
และแผ่นดินก็ถล่มลงเช่นกัน
ด่านที่สองที่พวกสวี่ชิงเคยเดินข้ามผ่าน หุบเขายิ่งใหญ่ตรงดิ่งแห่งนั้น ตอนนี้จากหินที่ร่วงหล่นลง ก็เผยหน้าตาที่แท้จริงออกมา
นั่นคือร่องดาบของแท่นประหาร!
สีน้ำตาลในนั้นคล้ายว่าอาบย้อมเลือดมหาศาล ฉายรังสีอำมหิตน่าหวาดกลัวออกมา
ส่วนสถานที่ที่สวี่ชิงนั่งสมาธิ เป็นเศษหินนับไม่ถ้วนประกอบกันเป็นแท่นพิธีวงกลม แท่นพิธีนี้มีขนาดมหึมาเช่นกัน รวมเป็นหนึ่งเดียวกับแท่นประหาร
มันข้างบนค้ำยันดาบสวรรค์ ข้างล่างเชื่อมกับแท่นประหาร
ประกอบเป็นดาบประหารน่าหวาดหวั่นเล่มมหึมาเล่มหนึ่ง!
และทุกอย่างนี้ล้วนถ่ายทอดไปตามแผ่นกระจกเนตรสวรรค์ส่งไปยังจิตใจของคนทั้งหลายอย่างชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
เสียงวิ้งๆ ดังขึ้น พลังมหาศาลสั่นสะท้านฟ้า เสี้ยวขณะนี้ ในใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างเกิดคลื่นซัดถาโถม คนทั้งหลายที่อยู่โลกภายนอกต่างหน้าเปลี่ยนสี
“แท่นประหารเทพเจ้า!”
เจ้าแปดมองภาพทุกอย่าง อุทานเสียงหลง
แท่นประหารเทพเจ้า มันเป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดที่หลี่จื้อฮว่าผู้เป็นเจ้าเหนือหัวคิดค้นขึ้น ในตำนานเล่าว่า พลังวิเศษนี้เมื่อสำเร็จเป็นรูปร่างแล้ว ดาบแรกที่เขาฟันก็คือร่างของตัวเอง!
วิชานี้ฝืนลิขิตสวรรค์ ความยากในการฝึกฝนก็มากมหาศาล ในบรรดาลูกๆ ของหลี่จื้อฮว่า มีเพียงเจ้าเก้าเท่านั้นที่เรียนมันได้ ลูกชายหญิงนอกจากนั้นแล้วล้วนยากที่จะสำแดงมันออกมา
ไม่ว่าจะเป็นรัฐทายาทหรือองค์หญิงหมิงเหมยล้วนทำไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้ความตื่นตะลึงในใจเขารุนแรงมหาศาลนัก
“เขาทำสำเร็จ…จริงๆ”
รัฐทายาทพึมพำ มองสวี่ชิง มองม่านฟ้า และมองโลกใบนี้
ฟ้าในโลกแห่งนี้กลายเป็นดาบ ผืนแผ่นดินในโลกนี้แปรเปลี่ยนเป็นแท่น
ดาบสีดำเล่มนั้นแฝงไว้ด้วยการสังหารทำลายล้างรุนแรง แผ่นดินสีเลือดนั่นตลบอวลไปด้วยเลือดอันชั่วช้า
และในร่องดาบที่น่าพรั่นพรึงนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือจิตสังหารที่แฝงอยู่ในตัวมันเอง
จิตนี้เคยฟาดฟันสังหารสรรพชีวิตนับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งของจิตสังหารมากพอจะทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนพร้อมกัน พลังที่ก่อขึ้นเหมือนจะกลืนกินบรรพกาล
“คิดไม่ถึงว่า ในช่วงเวลาที่มีชีวิตนี้จะได้เห็นแท่นประหารนี้อีก…”
องค์หญิงหมิงเหมยพึมพำ ในดวงตาฉายแววนึกย้อนความทรงจำ น้องหญิงห้าเองก็เช่นกัน แม้กระทั่งเจ้าแปดทางนั้นก็ยังเงียบนิ่งไป รอยย้อนความทรงจำในดวงตาแฝงไว้ด้วยความสุข และแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัว
นอกจากนั้นแล้วยังมีระลอกคลื่นอารมณ์ด้วย
และในเสี้ยวขณะนี้ ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราภายนอก เผ่าพันธุ์ต่างๆ ในเสี้ยวขณะนี้ต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงสุดขีด
พวกเขาสูญเสียความสามารถในการขบคิดไปแล้ว ทุกคนต่างจมอยู่ในภาพในหัว
มองเหตุการณ์อันน่าตื่นตะลึงในภาพในหัว จิตใจของคนธรรมดาเกิดคลื่นร้อนที่ไม่อาจพรรณนาได้ เหมือนมีไฟกองหนึ่งกำลังจะถูกจุดให้ลุกไหม้ในใจเขา สุดท้ายก็กลายเป็นความหวังอันแรงกล้าเหลือประมาณ
พวกเขาเฝ้ารอเสี้ยวเวลาที่ฟาดฟันลงมา!
ไม่ใช่แค่คนธรรมดา ผู้บำเพ็ญก็เช่นกัน ผู้บำเพ็ญที่ก่อนหน้านี้ยังสงสัยข้องใจกับความเป็นจริงของภาพฉากนี้ ตอนนี้มองทุกอย่างในภาพ ความลังเลของเขาหายไปตั้งนานแล้ว
นี่เป็นของจริง!
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ พวกเขาที่ตัวอยู่ในกองทัพต่อต้านตามสถานที่ต่างๆ สำหรับพวกเขา ตอนนี้ก็ตระหนักได้แล้วโดยสมบูรณ์ว่าภาพนี้จะส่งอิทธิพลต่อคนทั้งหลายอย่างไร
ดังนั้นพวกเขาทุกคนล้วนฝืนสะกดความตื่นเต้นฮึกเหิม จ้องตาไม่กะพริบ คอยดู…การฟาดฟันลงมาในตอนท้ายนั่น!
ส่วนตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดตอนนี้ก็คลุ้มคลั่งไปแล้วโดยสมบูรณ์ จักรพรรดิตำหนักออกไปข้างนอก ใช้วิชาพลังวิเศษทุกอย่าง พวกเขาจับเป้าหมายไปที่ทะเลทรายคราม ดังนั้นผู้บำเพ็ญตำหนักเทพนับไม่ถ้วนจึงกำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายคราม
ตัวเขาก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
และภายใต้การจับตามองคนผู้คนทั้งหลาย ท่ามกลางเสียงฟ้าดินที่คำรามเลื่อนลั่นนี้ ภาพที่ปรากฏในหัวของคนทั้งหลายความจริงนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
เพราะความทรงจำแห่งห้วงบรรพกาล ณ สถานที่ถ่ายทอดภาพ จากการปรากฏขึ้นมาของแท่นประหารเทพเจ้า ก็ได้…ปรากฏออกมาจากในนั้น
ภาพนี้ท่วมจมร่างของพวกหนิงเหยียน กลายเป็นหนึ่งเดียวกับที่แห่งนี้
นั่นคือความทรงจำของการสังหารครั้งสุดท้ายของแท่นประหารเทพเจ้า
สายลมแห่งบรรพกาลพัดผ่านท้องฟ้าสีคราม ปะทะกับม่านฟ้าสีเลือด กระเพื่อมระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ แผ่ออกไปทั่วท้องฟ้าเท่าครรลองสายตาที่มองเห็น
ดูจากท้องฟ้ากับน้ำหมึกในอดีตของสวี่ชิง เหมือน แต่ก็ไม่เหมือน
ที่เหมือนกันคือ ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งเป็นสีคราม ครึ่งหนึ่งเป็นสีแดง ที่ไม่เหมือนกันคือเห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญกับการสังหารอันน่าพรั่นพรึง
ดังนั้นท้องฟ้าจึงเหมือนกับแผ่นกระจก แตกไปกว่าครึ่ง
แผ่นดินยิ่งถล่มยุบลงไปกลายเป็นทะเลสีม่วงผืนหนึ่ง
ในนั้นจะเห็นโครงกระดูกนับไม่ถ้วน ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนแก่ คนธรรมดา ผู้บำเพ็ญ มีทั้งหมด น่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนเงาร่างสูงใหญ่กลางฟ้าดินในภาพ จากการฉายภาพไปในสมองของคนทั้งหลาย ก็เหมือนกับท้องฟ้า เกิดระลอกคลื่นขึ้นมา
คนทั้งหลายได้เห็นเจ้าเหนือหัวเป็นครั้งแรก
เจ้าเหนือหัวหลี่จื้อฮว่าดวงตาทั้งสองปิดสนิท ปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ร่างสูงใหญ่ค้ำยันฟ้าดิน รัศมีอำนาจน่าพรั่นพรึง
ส่วนชื่อหมู่ที่อยู่ข้างหน้าเขา รยางค์ส่วนกายท่อนล่างแหลกละเอียดไปกว่าครึ่ง ราวกับดวงดาวแหลกไปกว่าครึ่ง
ในดวงดาวที่ระเบิดเหล่านั้น ตอนนี้มีเลือดเนื้อมหาศาลร่วงลงมา
น่าสยดสยองพรั่นพรึงนัก
เลือดเนื้อเหล่านี้ล้วนเป็นสรรพชีวิตทั้งหลายที่นางกลืนกินตลอดทางที่เดินมา
มองชื่อหมู่ คนธรรมดาและผู้บำเพ็ญในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราแค่ละคนต่างสูดลมหายใจลึกไปตามสัญชาตญาณ พวกเขาได้เห็นชื่อหมู่เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
“หลี่จื้อฮว่า เจ้าและข้ามาจากที่เดียวกัน ตอนนั้นที่เจ้าจากมา เจ้าบอกข้าว่าเจ้าจะไปเป็นเทพ! เจ้าจะแก้ไขชะตาชีวิตของพวกเรา!



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา