บทที่ 65 ความลับมูลค่าหนึ่งร้อยหินวิญญาณ
ร่างทั้งสองก็ปะทะกันด้านนอกบ่อนพนันในพริบตา คัมภีร์แปรสมุทรและเคล็ดคีรีสมุทรโคจรในร่างกายสวี่ชิง เขาคิดจะรีบสู้รีบจบ ดังนั้นจึงลงมือสุดกำลัง หนึ่งหมัดซัดออกไปส่งเสียงครืนครัน
ชายอ้วนร่างสั่นสะเทือน สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ประเมินพลังผิดอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้เมื่อปะทะกับสวี่ชิง ก็สัมผัสถึงพลังที่น่ากลัวของกายเนื้อเขาได้ทันที จึงฉากถอยฉับพลัน
แต่เมื่อเทียบความเร็วกับสวี่ชิงยังช้ากว่า เพียงพริบตาหมัดของสวี่ชิงก็กระแทกเข้ากับท้องของเขา
เสียงผัวะดังลั่น ร่างชายอ้วนสั่นสะเทือนอีกครั้ง แม้ไม่ได้ถูกซัดจนถอยหลัง แต่กลายเป็นแผ่นหนังผืนหนึ่งกลางอากาศในพริบตา คลุมทับไปที่สวี่ชิง
ร่างกายของชายอ้วนทั้งกว้างและใหญ่ ยามที่ปกคลุมลงมาก็ราวกับปลาหมึกยักษ์กำลังจะห่อหุ้มตัวสวี่ชิงอย่างไรอย่างนั้น
สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายนอกร่างกายปรากฏหยดน้ำจำนวนมหาศาล แปรเปลี่ยนเป็นทรงข้าวโพดอย่างรวดเร็ว พุ่งหวีดหวิวออกไปราวกับลูกศร แทงทะลุร่างกายนี้ทันทีพร้อมเสียงฟิ้ว
เงาโหดร้ายเงาหนึ่ง มุดถอยออกไปจากร่างกายที่ยับเยินนี้ในพริบตา
นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตข้นเหนียวในรูปร่างมนุษย์ ผมเป็นสีเขียว ทั้งร่างมีเกล็ดเต็มตัว ดวงตาเผยประกายดุร้าย และในปากมีฟันที่แหลมคมและลิ้นเป็นแฉกยื่นออกมา
เขาจ้องมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ไม่ได้ลงมือต่อ แต่ไหวตัวคิดจะหลบหนี
สวี่ชิงจ้องมองเย็นชา มือขวายกขึ้นโบก เบื้องหน้าของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าคนนั้นก็ปรากฏม่านน้ำสายหนึ่งกลางอากาศเข้าสกัดไว้ทันควัน ทำให้ร่างกายของเขาจำต้องถอยกลับมา ความโหดเหี้ยมในดวงตาข้นหนักขึ้น
“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”
ขณะที่ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าพูดก็พุ่งเข้าหาสวี่ชิง ปราณสีดำจากสองมือที่พัดโบกลอยออกมามหาศาล กลายเป็นวิญญาณอาฆาตหลายตน ส่งเสียงกรีดร้องแหลมโถมเข้าหาสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เลือดลมในร่างกายแผ่ซ่านออกด้านนอก และเสียงร้องแหลมที่ออกมาจากปากวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็ถูกเลือดลมแข็งแกร่งของสวี่ชิงสะเทือนจนสลายหายไป สวี่ชิงสาวเท้าจนไปอยู่เบื้องหน้าผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่หน้าถอดสีไปแล้ว มือขวายกขึ้นคว้าไปด้านหน้า
ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าหายใจหอบถี่ ดวงตาเผยความบ้าคลั่ง
ช่วงจังหวะวิกฤตเกล็ดทั้งตัวหลุดลอกพุ่งไปหาสวี่ชิงที่อยู่ด้านหน้าราวกับมีดแหลมคมในวินาทีนั้น กระแสลมพายุวนพัดกวาด
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนความมันก็ไม่ได้หลบหนีอีกต่อไป แต่ระเบิดความดุร้าย เล็บนิ้วมือขวาแหลมคมแทงเข้ามาที่คอของสวี่ชิง
“ตายเสีย!”
และม่านตาของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าก็หดเล็กลง เผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อและความตกตะลึงทันควันในจังหวะที่กะพริบตา
สวี่ชิงไม่ได้สนใจลมพายุเกล็ดของเขาเลย เวลานี้ลอดผ่านลมพายุเกล็ดแล้วเข้าคว้ามือของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าเอาไว้ ต่อให้เกล็ดจะปะทะเข้ามา ก็สกัดฝ่ามือที่รุดหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ของสวี่ชิงไม่ได้
สวี่ชิงบิดมือของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าอย่างเหี้ยมเกรียม จนเสียงกร๊อบดังขึ้น บิดเบี้ยวเกินเยียวยา
ร่างกายของเขาเข้าประชิด หน้าผากกระแทกเข้าที่ศีรษะของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าอย่างรุนแรง ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าขณะที่ส่งเสียงกรีดร้องก็คิดจะถอยหนี แต่มือก็ถูกสวี่ชิงจับเอาไว้อยู่
ความรู้สึกเหมือนถูกคีมเหล็กหนีบไว้ทำเขาหายใจหอบถี่ หวาดผวาถึงที่สุด จนไม่อาจดิ้นหลุดไปได้
“สหายเต๋า ข้าเป็น…”
ยังไม่ทันพูดจบ สวี่ชิงจับมือของอีกฝ่ายบิดอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้เล็บมือที่แหลมคมของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าหักแทงเข้าไปที่หน้าผากของตนเอง
เสียงกระดูกเนื้อแตกฉีกดังลั่น หน้าผากผู้บำเพ็ญต่างเผ่าถูกแทงจนทะลุ ส่งเสียงกรีดร้องสิ้นหวัง น้ำเสียงน่าเวทนา ในดวงตาเผยความพรั่นพรึงอย่างแรงกล้า
ทว่าด้วยโครงสร้างร่างกายก็แตกต่างจากเผ่ามนุษย์ จึงไม่ร้ายแรงถึงชีวิต
แต่ก็ยังถือว่าบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ กลิ่นอายของมันอ่อนลงจากการที่เลือดสดหลั่งรินอย่างรวดเร็ว สลบไปเหมือนกับศพอย่างไรอย่างนั้น สวี่ชิงคว้าคอเอาไว้ ลากไปอย่างรวดเร็ว
ด้านในบ่อนพนันเงียบเป็นเป่าสาก จะพวกนักพนันหรือพวกองครักษ์ก็ดี เวลานี้ล้วนร่างกายสั่นเทิ้ม เสียงการปะทะอย่างรุนแรงของสวี่ชิงกับซุนเต๋อวั่งเมื่อครู่ดึงดูดความสนใจของพวกเขา แต่การต่อสู้ก็จบรวดเร็วเกินไปจริงๆ การลงมือของสวี่ชิงก็โหดเหี้ยมเกินไปเช่นกัน
โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาจำสถานะและรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าคนนั้นได้ ความน่ากลัวของสวี่ชิงจึงยิ่งชัดเจนอย่างมากด้วยเช่นกัน
ไม่มีใครกล้าพูดในบรรยากาศที่เยือกแข็งเช่นนี้ สวี่ชิงที่กำลังจะเดินจากไป ก็หยุดชะงักฝีเท้า เงยหน้ามองออกไปด้านนอก
หัวถนนดำมืดว่างเปล่าที่ห่างออกไป เวลานี้มีคนผู้หนึ่งเดินมา
จากการเข้าใกล้ จากการเหยียบย่ำเข้ามาในอาณาเขตที่แสงไฟส่องสว่างด้านนอกบ่อนพนัน ร่างของเขาก็ค่อยแจ่มชัดขึ้นจากความมืดมิด ชุดคลุมสีม่วงอ่อนทั้งตัวค่อยๆ สะท้อนขึ้นมาในดวงตาของสวี่ชิง
สวี่ชิงม่านตาหดลง
คนที่เดินเข้ามาเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมยาวสีดำสนิท หน้าตาไม่ธรรมดา ร่างกายสูงยาว และในสีหน้ายังมีความหยิ่งทะนง โดยเฉพาะชุดนักพรตนั่น เผยให้เห็นสถานะที่สูงส่งของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
คลื่นพลังคัมภีร์แปรสมุทรรวมปราณขั้นแปดทั่วร่างกำลังแผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรงจากตัวเขา ทำให้รอบด้านเกิดหยดน้ำปริมาณมหาศาลขึ้น ทุกหยดล้วนแฝงความดุดันอยู่ พุ่งเป้ามาทางสวี่ชิง
“เจ้าเป็นกรมปราบพิฆาตหน่วยย่อยใดกัน ปล่อยเขาลงเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น!”
น้ำเสียงของคนที่เข้ามาเย็นชา ในคำพูดแฝงไว้ด้วยความห้ามแข็งขืนห้ามสงสัย
สวี่ชิงนิ่งงัน เขาเคยเห็นชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ ตอนที่เขากับนายกองออกลาดตระเวนครั้งแรก เคยเห็นฉากที่อีกฝ่ายราวกับเทพเจ้าลงมาเหยียบย่ำบนโลกมนุษย์ไกลๆ มาแล้ว
เขาทราบดี ว่าคนผู้นี้คือศิษย์หลักของยอดเขาลำดับเจ็ด
สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้ก่อนหน้านี้เขาจะจัดการบางอย่างเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิดไว้แล้ว แต่เผชิญหน้ากับศิษย์หลักเช่นนี้ เกรงว่าคงจะไม่มีประโยชน์ การจะสร้างเรื่องราวบาดหมางกับศิษย์หลักเพียงเพราะหินวิญญาณสี่สิบก้อน สวี่ชิงรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่า นอกเสียจากจะมีผลประโยชน์ที่มากกว่า
และตอนนี้เอง เสียงอึมครึมเสียงหนึ่งลอยแว่วมาด้านหลังชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อน
“ศิษย์หลักผู้นี้ดูน่าเกรงขามเสียจริง อยู่ต่อหน้ากรมปราบพิฆาตของพวกเรา ก็ยังกล้าเข้ามาแทรกแซงกฎบ้านกฎเมืองอีก”
เมื่อเสียงแว่วมา ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงอ่อนก็หมุนตัว สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นเงาเดินกวัดแกว่งเข้ามาไกลๆ ทันที ร่างนี้เดินเข้ามาพลางกินแอปเปิ้ลไปด้วย นายกองที่หกนี่เอง
ชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนจ้องเขม็ง ในดวงตาสวี่ชิงมีความรู้สึกเกินคาดเล็กๆ เพียงแต่ที่เขารู้สึกเกินคาดไม่ใช่การมาถึงของนายกอง แต่เป็นการเลือกปรากฏตัวในเวลานี้ของนายกองต่างหาก
อันที่จริงสวี่ชิงไม่มีทางเชื่อเบาะแสที่ชายชราโรงเตี๊ยมบนถนนทองผุดให้มาทั้งหมด ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตที่จิตใจมนุษย์มีแต่ความชั่วร้ายแห่งนี้ เป็นไปได้มากที่อีกฝ่ายจะจงใจให้เบาะแสที่สร้างความลำบากมาแน่นอน ยืมมือคนอื่นมาสังหารคนทิ้งเสีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจอย่างบ่อนพนัน สามารถเปิดในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตได้เช่นนี้ จำต้องมีเบื้องหลังอยู่บ้างแน่นอน ดังนั้นระหว่างทางมา สวี่ชิงครุ่นคิดแล้วสื่อเสียงไปหานายกอง สัญญาว่าจะมอบรางวัลครึ่งหนึ่งให้ แลกกับการให้นายกองออกมาจัดการข้อพิพาทในช่วงที่จำเป็น
ไม่ว่าข้อพิพาทนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ หินวิญญาณก็ยังมอบให้อยู่ดี
เบาะแสแรกของคนร้ายประกาศจับเรื่องแรกเป็นสถานที่ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง นายกองจึงไม่ไปที่นั่น แต่เบาะแสที่สองตอนนี้มีศิษย์หลักมาเกี่ยวข้อง สวี่ชิงจึงนึกว่านายกองหกจะไม่ปรากฏตัวออกมาเสียแล้ว
นายกองสังเกตเห็นสีหน้าไม่คาดคิดของสวี่ชิง กัดผลไม้ดังกร้วมไปทีหนึ่ง ขยิบตาให้กับเขา จากนั้นมองไปทางชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนที่สีหน้าดูไม่ได้
“จากกฎข้อที่สามของกรมปราบพิฆาต ในเรื่องข้องเกี่ยวถึงกฎหมาย หากขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ถือว่ามีโทษหนัก
“เขาเป็นคนในประกาศจับ พวกเราเองก็กำลังปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นหน้าที่ทางราชการ
“เจ้าขัดขวางหรือ” นายกองยิ้มตาหยีมองไปทางชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อน
ในสายตาของสวี่ชิง นายกองสวมชุดนักพรตสีเทา แต่ความเผด็จการของเขารวมไปถึงสีหน้าดูไม่ได้ของชายหนุ่มชุดคลุมม่วงอ่อน ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนพวกเขาสองคนสลับสถานะกันเสียแล้ว
สิ่งนี้ทำให้ในใจเขาตกตะลึงอย่างยิ่ง
และหลังจากนายกองพูดจบ ชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงก็หอบหายใจถี่ระรัว ในใจขบคิดอย่างรวดเร็ว อันที่จริงซุนเต๋อวั่งคนนั้นปกติก็เคารพเชื่อฟังเขาอยู่ไม่น้อย และบ่อนพนันนี้ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจของเขา ดังนั้นในตอนแรกสุดจึงไม่ยอมให้มีใครพาเขาออกไป
แต่นายกองหกตรงหน้าคนนี้ ชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนกลับเกรงกลัวอยู่บ้าง เขารู้จักอีกฝ่ายและเคยได้ยินตัวตนลำดับต้นๆ นี้มาบ้าง ในความทรงจำน่าจะเมื่อสองปีก่อน คนผู้นี้มีเรื่องบาดหมางกับศิษย์หลักอีกคนหนึ่ง หลังจากเกิดเรื่องไม่นาน…ศิษย์หลักคนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เรื่องนี้ทำเขารู้สึกระแวดระวังขึ้นมาก และที่สั่นสะเทือนเขายิ่งกว่าก็คือเรื่องนี้บนภูเขากลับไม่มีการตรวจสอบต่อภายหลัง ซ้ำยังไม่กล้าเอ่ยถึงอีกด้วย ส่วนทางด้านล่างภูเขาก็เหมือนจะมีคนแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้
ต้องรู้ด้วยว่าการหายตัวอย่างไร้ร่องรอยของศิษย์หลัก ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตถือเป็นเรื่องใหญ่โตมาก แต่ครั้งนั้นเท่านั้น…ที่เลิกแล้วกันไป
ดังนั้นหลังจากนิ่งงันไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนก็ร้องเชอะเย็นชา ไม่พูดไม่จา สะบัดชายเสื้อจากไป
ละครฉากนี้ก่อคลื่นขนาดใหญ่ขึ้นในใจสวี่ชิง ตอนมองไปทางนายกอง ในใจก็เกิดการคาดเดามากมาย
“หินวิญญาณของข้า” นายกองมองไปทางสวี่ชิงยิ้มๆ
สวี่ชิงไม่พูดไม่จา ยื่นหินวิญญาณให้สิบก้อน
หลังจากรับหินวิญญาณแล้ว บนหน้าของนายกองก็เผยความพึงพอใจ เหลือบมองไปทางชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนที่เดินจากไป

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา