บทที่ 679 ข้าไร้คุณสมบัติเช่นนั้นหรือ!
เทือกเขาทนทุกข์ สนามรบโหดเหี้ยม ทุกชั่วขณะล้วนเกิดความตาย ทะเลเลือดบนพื้นแห้งเหือด เกิดเป็นหลุมลึกขนาดมหึมา
เพลิงสวรรค์ปกคลุมมัน แผ่ไปทั่วฟ้า
รูปสลักที่มาจากตำหนักขบถจันทร์ ภายใต้การเพิ่มพลังจากสมบัติแดนสงคราม กำลังรบน่าครั่นคร้ามนัก
ต่อให้ตาย แต่เสี้ยวขณะต่อมา จากการสั่นสะเทือนของตำหนักขบถจันทร์ในเสี้ยวขณะต่อมา ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ก็เดินออกมาจากศาลเจ้าในกระจก พุ่งไปในสนามรบอีกครั้ง ทำการฆ่าล้างสังหารต่อไป
เช่นนี้แล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์สำแดงวิชาคำสาป แต่มีตำหนักขบถจันทร์อยู่ ในเวลาสั้นๆ ก็สามารถสะกดได้ ทำให้สงครามครั้งนี้เริ่มเอนเอียงไปทางฝั่งตำหนักขบถจันทร์อย่างรวดเร็ว
ผู้บำเพ็ญเก่าแก่ยี่สิบกว่าคนที่ผลึกคลายลงเหล่านั้น ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะศักราชตัวเองทั้งสิ้น ในขณะที่วิชาของพวกเขาแปลกประหลาด ประสบการณ์สังหารของตัวเองก็โชกโชนเช่นกัน
ล้วนมีพลังสยบระดับเดียวกัน ทุกที่ที่พาดผ่าน ผู้แข็งแกร่งพระจันทร์สีชาดล้วนจำต้องถอย
ส่วนพลังกดดันทางจักรพรรดิตำหนักก็หนักหน่วงเช่นกัน คนที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยคือสองผู้บำเพ็ญที่ผนึกคลายแล้วที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักขบถจันทร์ โดยเฉพาะเสินเชวี่ยจื่อ หญิงต่างเผ่าคนนั้น เปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นในมือของนาง สีสันผันเปลี่ยน
ทุกครั้งที่เปลี่ยน พลังจะน่าครั่นคร้ามขึ้นหลายส่วน การลงมือของนาง ฟ้าดินลุกไหม้พร้อมกัน ยิ่งมาพร้อมด้วยพลังระดับเตรียมสู่เทวะ ทำให้ทางจักรพรรดิตำหนักต้องตื่นตะลึงไปเช่นกัน
แต่หากเป็นเพียงแค่คนผู้นี้คนเดียว จักรพรรดิตำหนักยังจัดการได้ แต่การมีตัวตนอยู่ของหลี่เซียวซาน ความรู้สึกกดดันที่นำมาให้เขาก็น่าครั่นคร้ามเช่นกัน
ดาบของหลี่เซียวซานไม่ได้ฟาดลงมาทุกชั่วขณะ เขาวนไปรอบๆ จักรพรรดิตำหนัก ลากดาบวนไปไม่หยุด ท่ามกลางเสียงเคร้ง ความเร็วของเขาน่าตื่นตะลึง
และการฟาดฟันลงมาทุกครั้งของดาบ ล้วนทำให้มิติแหลกละเอียด เกิดเป็นประกายดาบน่ากลัว ทำให้ทางจักรพรรดิตำหนักในใจยิ่งเคร่งเครียด
‘ศึกนี้ไม่ควรสู้ต่อ!’
จักรพรรดิหรี่ตา ยกมือขวาขึ้นชี้ไปข้างกาย เงาโลกมายากลุ่มหนึ่งก่อขึ้นข้างหน้านิ้วของเขา สกัดกั้นดาบยาวที่ฟาดมา
ท่ามกลางเสียงระเบิด มือซ้ายจักรพรรดิตำหนักคว้าไปยังท้องฟ้า คราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
การลงมาเยือนอีกครั้งขององค์ท่านทำให้ฟ้าดินบิดเบี้ยว สงครามเดือดพล่าน ขณะเดียวกัน สวี่ชิงทางนี้สายตาจ้องเพ่ง สิ่งที่เขาป้องกันอยู่ในตำหนักขบถจันทร์ก็คือคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่
ตอนนี้เห็นคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง สวี่ชิงรีบแผ่อำนาจออกทันที นายกองอยู่ข้างๆ ก็ลงมือเช่นกัน ทั้งสองอาศัยฐานะเจ้าตำหนักขบถจันทร์ควบคุมตำหนักขบถจันทร์ ทำให้กระจกบานมหึมากะพริบแสงพร่างพรายวูบวาบ
แสงนี้สาดส่องไปทั่วทุกสารทิศ ต่อต้านพลังคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอีกครั้ง เสียงกึกก้องสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดลมพายุพัดกวาดม่านฟ้า ท่ามกลางความเดือดพล่าน ผู้บำเพ็ญที่ต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็ต่างแยกออกจากกันภายใต้พลังปะทุรุนแรงนี้ ต่างถอยหลังไป
จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงฉายวาบ กำลังจะควบคุมตำหนักขบถจันทร์สำแดงพลังสมบัติลับแดนสงครามอีกครั้ง แต่ในตอนนี้เอง บนฟ้ามีลมพัดมา
ลมนี้มาพร้อมด้วยกลิ่นคาวเลือด เพียงพริบตาก็ตลบอวลไปทั่วสนามรบ สิ่งที่มาพร้อมกับลมด้วยยังมีเสียงเยือกเย็นน่าขนลุก เหมือนว่ามีคนพึมพำอยู่ข้างหู
“กาลครั้งหนึ่งมีตุ๊กตาตัวใหญ่…”
เสียงนี้เป็นเพลงเด็กแปลกประหลาดที่ดังในตำหนักบุตรเทวะนั่นเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สวี่ชิงได้ยิน ก่อนหน้านี้ในตอนที่ช่วยท่านย่าห้า ในหมู่บ้านแห่งนั้น เขาเคยได้ยินมันมาแล้ว
และสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขาคือประโยคสุดท้ายประโยคนั้น
“ตุ๊กตาตัวที่สี่หายไปไม่กลับมา”
ประโยคนี้ดังก้องไปทั่วทุกทิศ ท้องฟ้าพลิกหมุนในเสี้ยวขณะนี้ เปลี่ยนมาเป็นสีแดงชาดอีกครั้ง แล้วค่อยๆ มีทะเลสาบเลือดผืนหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับฉายภาพสะท้อนมาบนท้องฟ้า
ทะเลสาบเลือดนั่นเดือดพล่าน คล้ายว่าในนั้นมีตัวตนที่น่ากลัวอะไรบางอย่างคิดจะคลานขึ้นมาจากในนั้น
กลิ่นอายน่ากลัว ในเสี้ยวพริบตาก็พุ่งขึ้นมาบนสนามรบเช่นกัน
สวี่ชิงและนายกองสีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกัน ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น ในใจของทุกคนในเสี้ยวขณะนี้เกิดคลื่นมหาศาล ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่ผนึกคลายแล้วเหล่านั้นก็เช่นกัน
ดาบในมือของหลี่เซียวซานหยุดชะงักไปเล็กน้อย
ไฟของเสินเชวี่ยจื่อไหววูบเบาๆ
สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง จับจ้องไปยังทะเลสาบเลือดนั่นเขม็ง
แต่เทียบกับพวกเขา ผู้บำเพ็ญตำหนักพระจันทร์สีชาดต่างถอนหายใจโล่งอก มีเพียงจักรพรรดิตำหนักที่ขมวดคิ้ว มองไปทางทะเลสาบเลือด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็กลบเสียงเพลงเด็ก ราวเสียงสายฟ้าฟาดลงมา
นั่นคือเสียงหัวใจเต้น
ตุบๆ ตุบๆ!
การดังมาของเสียงนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์จำนวนไม่น้อยร้องโหยหวน รูปสลักเทพนับไม่ถ้วนระเบิดออกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนว่าเสียงนี้ดังมา สามารถทำลายได้ทุกอย่าง
จากนั้น ท่ามกลางการเดือดพล่านที่ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมของทะเลสาบสีเลือดบนท้องฟ้า มือยักษ์สีดำที่มีรยางค์เต็มไปหมดข้างหนึ่ง ก็ยื่นมาจากในม่านฟ้าช้าๆ มาพร้อมด้วยพลังสยบฟ้าดินน่าครั่นคร้าม ทำให้โลกสั่นคลอน
มือนี้เจ็ดนิ้วเต็มไปด้วยหนามกระดูก รยางค์พวกนั้นขยับไหว ทุกที่ที่ผ่านท้องฟ้าพังทลาย ตอนนี้ดูเหมือนฟาดลงมาช้าๆ แต่ความจริงแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
ไม่อาจต้านทาน ขวางกั้นไม่ได้
การปรากฏขึ้นของมือนี้ทำให้ไอพลังประหลาดที่นี่พวยพุ่งขึ้นมา ทุกคนจำต้องถอยไป
สุดท้ายมือยักษ์สีดำที่ราวกับเทพเจ้าก็คว้าท้องฟ้าบริเวณที่ผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดอยู่
ในนี้รวมจักรพรรดิตำหนักและคราบร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ด้วย ภายใต้การคว้ามาของมือยักษ์สีดำนี้ ถูกมันกำไว้ข้างใน
จากนั้นมันก็ลอยขึ้นช้าๆ นำคนทั้งหลายจมไปในทะเลสาบเลือดบนท้องฟ้า
การมาเยือนของมันไม่อาจสกัดกั้นการจากไปของมันไม่อาจขัดขวางได้
ทุกคนรวมถึงสวี่ชิงและนายกองรวมอยู่ในนั้นด้วย ต่างมองมือยักษ์หายไปในทะเลสาบเลือดตาปริบๆ จวบจนในทะเลสาบเลือดมีดวงตามีทองคู่หนึ่งลืมขึ้นผ่านน้ำทะเลสาบ มองมายังผืนดิน และมองไปทางท้องฟ้าที่ไกล
จากนั้นดวงตาสีทองคู่นั้นก็ปิดลง ภาพสะท้อนทะเลสาบเลือดสลายตามไปด้วย
ศึกนี้สิ้นสุดแล้ว
หลังจากท้องฟ้าฟื้นคืนเป็นปกติ พลังกดดันและพันธนาการที่มาจากมือเทพเจ้าข้างนั้นก็หายไปในทันที แต่ระลอกคลื่นอารมณ์ในใจของคนทั้งหลายไม่ได้สลายไป แต่กลับเป็นเพราะดวงตาสีทองคู่นั้น ทำให้ทุกคนกดดันไปตามสัญชาตญาณ
“นั่นเป็นใครกัน…”
ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ต่างเงียบนิ่ง ทว่าในใจกลับมีคำถามนี้ผุดขึ้นมาไปตามธรรมชาติ
และคำตอบ ความจริงพวกเขานั้นนั้นรู้กันหมด เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อเท่านั้นเอง
“บุตรเทวะ…” หลี่เซียวซานเอ่ยเสียงแหบแห้ง
“บุตรเทวะที่ข้าได้เจอในศักราชนั้นไม่ได้น่ากลัวขนาดนี้” เสินเชวี่ยจื่อขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“เขาทำให้ข้ารู้สึกว่า เข้าใกล้เทพเจ้ามามากแล้ว”
รอบๆ เงียบสนิท
ทั้งๆ ที่เป็นชัยชนะ แต่การปรากฏขึ้นมาของมือบุตรเทวะในทะเลสาบเลือด กลับทำให้ในใจของคนทั้งหลายเกิดความรู้สึกไร้กำลังอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นแต่ละคนจึงมองไปทางสวี่ชิงและนายกองตามสัญชาตญาณ
แต่ไม่นานนักในสายตาเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ฉายความสิ้นหวังและอับจนหนทางออกมา
ตำหนักขบถแม้จะมีเจ้าตำหนักขบถจันทร์แล้ว แต่เจ้าตำหนักรุ่นนี้…พลังบำเพ็ญอ่อนแอนัก
คนหนึ่งระดับสมบัติวิญญาณ คนหนึ่งระดับปราณก่อกำเนิด
พลังบำเพ็ญเช่นนี้ จะดำรงตำแหน่งเจ้าตำหนักขบถจันทร์ได้อย่างไร จะนำผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์เดินไปบนเส้นทางพลิกชะตาเส้นนี้ไปได้อย่างไร…
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในที่ไกล ดาวพระจันทร์สีชาดยึดครองท้องฟ้าไปแล้วกว่าครึ่ง อย่างมากเดือน สองเดือนชื่อหมู่ก็จะมาเยือนแล้วจริงๆ
ถึงตอนนั้น เผชิญหน้ากับการกลืนกินของชื่อหมู่ คนทั้งหลายก็ทำได้เพียงทุกข์ทนขมขื่น ไม่มีความหวังใดๆ
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา