เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 678

บทที่ 678 พิธีสำเร็จเป็นเทพอีกแล้ว

กลิ่นอายปะทุ สั่นคลอนลมเมฆ เกิดเป็นความรางเลือน ปกคลุมรูปสลักเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในรอยแยก คนนอกมองเห็นไม่ชัด

ทำได้แค่เห็นรางๆ ว่าในความรางเลือนนั้น มีรูปสลักทั้งหมดยี่สิบสามรูป!

การปรากฏขึ้นของพวกเขาทำให้ผู้บำเพ็ญเทือกเขาทนทุกข์ต่างใจสั่นสะท้าน เพราะกลิ่นอายที่รวมอยู่ด้วยกันนี้ หนักแน่นท่วมฟ้า ทำให้ลมเมฆเปลี่ยนสี

สำหรับผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์แล้วก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน โดยเฉพาะคนเก่าแก่ของตำหนักขบถจันทร์บางคน ยิ่งเพ่งสมาธิมองไป

ผู้ที่สะท้านสะเทือนยังมีผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาด สงครามสังหารครั้งนี้ก็สั่นสะท้านเพราะการปรากฏตัวขึ้นของรูปสลักเหล่านี้เช่นกัน

ทว่า ในกลิ่นอายน่ากลัวที่มาจากรูปสลักน้ำแข็งยังมีระลอกคลื่นพลังระดับปราณก่อกำเนิดกลุ่มหนึ่งปะปนด้วย…

ระลอกคลื่นนี้เหมือนเป็นคนละประเภท ปะปนในนั้น ทั้งเห็นได้ชัด แต่ก็เห็นไม่ชัด

ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น เดินออกมาจากความรางเลือน

เป็นกายเนื้อของนายกองนั่นเอง

การปรากฏตัวขึ้นของเขาทำให้หลายคนคาดไม่ถึง และแปลกประหลาดใจมาก ต่างไม่เข้าใจว่าพลังบำเพ็ญเช่นนี้ ถูกผนึกได้อย่างไร…

เพราะพลังบำเพ็ญของเขาเทียบกับกลิ่นอายน่ากลัวของรูปสลักเหล่านั้นข้างหลังเขาแล้ว แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้คนไม่สังเกตไม่ได้

ภายใต้การจับจ้องของคนทั้งหลาย นายกองที่เดินออกมาใบหน้าไร้อารมณ์ ตรงมายังข้างกายสวี่ชิง เพียงพริบตาก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวไปกับเงาวิญญาณของตัวเอง จากนั้นดวงตาทั้งสองก็ลืมขึ้น ฉายประกายมีชีวิตชีวา บิดขี้เกียจ

“สบาย!”

สวี่ชิงกวาดตามอง ไม่ได้พูดอะไร คนทั้งหลายข้างนอกเห็นภาพนี้ก็หวั่นไหวไปเหมือนกัน หากไม่ได้อยู่ในสนามรบ จะต้องมีเสียงซุบซิบคาดเดามากมายแน่นอน

นายกองเลิกคิ้ว กำลังจะเอ่ยปากพูดวาจาโอ้อวดทำเป็นลึกลับสักหน่อย แต่ตอนนี้เอง เสียงเปรี๊ยะๆ ก็ดังก้องมาจากทางรูปสลัก ผนึกน้ำแข็งของรูปสลักรูปที่สองก็แตกร้าว เดินออกมาจากในนั้น

นี่เป็นต่างเผ่าคนหนึ่ง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ด ผมยาวสีฟ้าทั้งศีรษะปลิวพริ้ว เขามองไปรอบๆ อย่างงุนงง

“ข้า…ฟื้นตื่นแล้ว”

ทันทีที่เสียงพึมพำดังก้อง ระลอกคลื่นพลังระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสองก็ปะทุขึ้นจากร่างของเขา เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้อง ในขณะที่รัศมีอำนาจน่าครั่นคร้าม คนทั้งหลายโลกภายนอกก็ต่างจับจ้อง

และการสัมผัสจากจิตใจ ก็ทำให้ต่างเผ่าที่ฟื้นตื่นขึ้นมาตนนี้เข้าใจถึงยุคสมัยที่ตนอยู่ และเข้าใจสาเหตุของการฟื้นตื่น จึงมองไปทางสวี่ชิง

“ยินดีสู้เพื่อตำหนักขบถจันทร์!”

ทันทีที่เสียงของเขาดังออกมา ท่ามกลางความสลัวรางเลือน เงาร่างที่สามก็เดินออกมา

เงาร่างนี้ก็เป็นต่างเผ่าเช่นกัน ทุกก้าวที่เหยียบลงมา เกิดเสียงสายฟ้าฟาดผ่า เหมือนว่าฝีเท้าของเขาแปรเปลี่ยนมาจากสายฟ้า สุดท้ายก็มาปรากฏอยู่ในครรลองสายตาของคนทั้งหลาย

ร่างสูงใหญ่ ผมยาวเหมือนงู ข้างหลังมีหางกระดูกขนาดมหึมา การปรากฏตัวขึ้นของเขาทำให้เกิดเสียงร้องตกใจฮือฮาทันที

“เผ่าภูตนภา!”

“เผ่านี้ยังมีสมาชิกเผ่าหลงเหลืออยู่อีกหรือ!”

เผ่าภูตนภาเป็นเผ่าที่สูญสิ้นไปแล้วในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ว่ากันว่าเผ่านี้เดิมสืบทอดตำแหน่งทูตเทวะ ควบคุมพลังสายฟ้าในแผ่นดินใหญ่ แต่เพราะเหตุผลที่ไม่รู้บางอย่าง เลือกเข้าพวกกับตำหนักขบถจันทร์

และภายหลังถูกตำหนักเทพล้างเผ่าพันธุ์

“ในที่สุดก็ฟื้นตื่นแล้ว”

ชายกำยำเผ่าภูตนภาพึมพำ เสียงราวสายฟ้าฟาดผ่า ทันทีที่เดินออกมา เขาพลันมองไปยังผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาดและจักรพรรดิตำหนักที่อยู่ข้างนอก ดวงตาทั้งสองจิตสังหารรุนแรง จากนั้นก็มองไปทางสวี่ชิง ขมวดคิ้ว

“เจ้าก็คือตำเจ้าตำหนักขบถจันทร์อย่างนั้นหรือ เผ่ามนุษย์ที่อ่อนแอเช่นนี้ จะดำรงตำแหน่งนี้ได้อย่างไร!”

สวี่ชิงสายตาสงบนิ่ง มองไปทางชายกำยำเผ่าภูตนภา กำลังจะเอ่ยปาก ในตอนนี้เอง เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากความรางเลือนที่แปรเปลี่ยนมาจากรูปสลักเหล่านี้

“เจ้าภูตน้อย เผ่ามนุษย์ไยจึงจะรับตำแหน่งเจ้าตำหนักขบถจันทร์ไม่ได้”

เสียงนี้ดังก้องกังวาน ทันทีที่ดังออกมา ไม่ว่าจะเป็นต่างเผ่าผมฟ้า หรือชายกำยำเผ่าภูตนภาคนนั้น ล้วนสีหน้าเปลี่ยนมองไปทันที แม้แต่รองเจ้าตำหนักสี่ที่อยู่ข้างนอกเมื่อได้ยินเสียงนี้ก็ลมหายใจหอบถี่ มองไปเช่นกัน

คนที่สี่คนนี้เป็นเผ่ามนุษย์!

เสื้อผ้าอาภรณ์เก่าโทรมทั้งร่าง แผลขนาดมหึมาตั้งแต่หว่างคิ้วลากยาวไปจนถึงเอว มาพร้อมด้วยความโหดเหี้ยมน่าหวาดหวั่น ลากดาบยาวผุกร่อนเล่มหนึ่ง เดินเข้ามาในโลก

รังสีอำมหิตจากดาบยาวน่าน่าหวั่นนัก คล้ายว่าเมื่อฟาดลงมาก็สามารถบดขยี้ฟ้าดินได้

การปรากฏตัวของเขาทำให้ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่ทางจักรพรรดิตำหนักทางนั้นก็หรี่ตาลงเช่นกัน

“เจ้ายังไม่ตายจริงๆ ด้วย หลี่เซียวซาน!”

ทางรองเจ้าตำหนักสี่ทางนั้นดวงตาฉายแววตื่นตะลึง มองไปทางชายชราที่เดินมา ส่งเสียงสั่นเครือ

“ท่านอาจารย์!”

ชายชราผู้นี้คืออาจารย์ของรองเจ้าตำหนักสี่ รองเจ้าตำหนักสี่อารมณ์ความคิดพุ่งพล่าน เขาจำได้ว่าอาจารย์นั่งสมาธิละสังขารไปแล้วแท้ๆ อีกทั้งก่อนนั่งสมาธิละสังขาร ได้ให้สิทธิ์ในการเลื่อนขั้นเป็นรองเจ้าตำหนักสี่กับตนด้วย

สายตาของชายชราจับจ้องไปทางรองเจ้าตำหนักสี่ทางนั้น พยักหน้าเล็กน้อย

“ไม่เลว สืบทอดตำหนักสี่สายของข้าสายนี้ได้สำเร็จ

“ข้าไม่ได้ตาย แต่ตอนนั้นทะลวงระดับเตรียมสู่เทวะล้มเหลว คำสาปปะทุ จำต้องใช้วิญญาณศัสตราผนึกควบคุม เพื่อที่จะได้ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญ”

พูดจบ สายตาของชายชราก็จับจ้องไปยังร่างของต่างเผ่าสองคนนั้น ต่างเผ่าสองคนนี้รีบก้มหน้าทันที ถอยหลังไปสามสี่ก้าว สีหน้าแสดงความเคารพนอบน้อม

ชายชราแค่นเสียงขึ้นจมูก จากนั้นก็มองไปทางสวี่ชิง สีหน้าผ่อนคลายลง พยักหน้าเบาๆ

“ตำหนักขบถจันทร์ศักราชนี้ ในที่สุดก็มีเจ้าตำหนักขบถจันทร์ปรากฏตัวขึ้นเสียที”

พูดจบเขาก็ประสานหมัดโค้งคารวะ

สวี่ชิงไม่กล้าทำตัวหยิ่งยโส รีบตอบรับ

“คารวะผู้อาวุโส”

“เจ้าตำหนักโปรดบัญชามาได้เลย ข้าอายุปูนนี้แล้วก็ยังขยับแข้งขยับขาได้อยู่” ชายชราพูดแล้วมองไปยังจักรพรรดิตำหนักที่อยู่ข้างนอก ในดวงตาไอเย็นเยือกตลบอวล

สวี่ชิงฮึกเหิม เขาก็คิดไม่ถึงว่า ในรูปสลักน้ำแข็งเหล่านี้ที่ผนึกในตำหนักขบถจันทร์ มีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ด้วย

ตอนนี้ท่ามกลางความสลัวรางเลือน เสียงครืนครันดังขึ้นอีกครั้ง เงาร่างแต่ละร่างทยอยเดินออกมาจากในนั้น ทุกร่างทรงพลังไร้เทียมทาน มาพร้อมกาลเวลา แม้กลิ่นอายจะไม่เท่าผู้มาจากตะวันออก แต่ก็น่ากลัวมากเช่นกัน

นี่ก็เป็นผลเก็บเกี่ยวที่รวบรวมมาในหนึ่งศักราชของตำหนักขบถจันทร์แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

ดูเหมือนผนึก แต่ก็เป็นการปกป้องคุ้มครองอย่างหนึ่ง

พวกเขาล้วนเป็นต่างเผ่า ทันทีที่เดินออกมา พวกเขาก็เข้าใจถึงเหตุผลอย่างกระจ่างแจ้ง มองเห็นโลกภายนอก มองเห็นหลี่เซียวซาน ก็ต่างสงบลง

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่การปรากฏขึ้นของเงาร่างเหล่านี้ นำความกดดันมาให้ผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดมหาศาล

ทะเลเลือดจากการแผ่ซ่านของกลิ่นอายมหาศาลเช่นนี้ก็ซัดโหมขึ้น ท้องฟ้าเกิดภาพฉากเกล็ดปลาขึ้น

จนกระทั่งท่ามกลางความรางเลือนเหลือรูปสลักน้ำแข็งเพียงรูปเดียว

รูปสลักนี้เป็นรูปสลักน้ำแข็งที่แตกช้าที่สุดรูปหนึ่ง จนกระทั่งตอนนี้ ในที่สุดถึงได้แตกออกโดยสมบูรณ์ จากการเดินออกมา กลิ่นอายแห่งกาลเวลาเข้มข้นก็แผ่มา เหมือนว่ามีลมโบราณพัดไปทั่วทุกทิศ เกิดเสียงระเบิดกึกก้องในฟ้าดิน

จักรพรรดิตำหนักพระจันทร์สีชาดสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นครั้งที่สอง กระทั่งว่ารุนแรงกว่าตอนที่เห็นหลี่เซียวซานก่อนหน้านี้ สีหน้าเคร่งเครียด ราวเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ จ้องเงาร่างที่ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นในโลกเขม็ง

นั่นเป็นผู้หญิงต่างเผ่าคนหนึ่ง

ที่หว่างคิ้วของนางมีตาที่สาม ดวงตาดวงนี้แดงก่ำ ราวมีเปลวไฟอยู่ข้างใน จากการเดินออกมา เปลวเพลิงปะทุก่อเป็นทะเลเพลิงพวยพุ่งขึ้นมา แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้ามหึมากลางท้องฟ้า จะเห็นโลกก่อขึ้นในนั้นเลาๆ

และนางที่อยู่ในทะเลเพลิงก็ประดุจนายแห่งไฟ แผ่ระลอกคลื่นพลังที่ใกล้เคียงกับระดับเตรียมสู่เทวะเป็นที่สุด คล้ายว่าขอเพียงแค่นางต้องการ นางก็สามารถสร้างโลกของตัวเองได้ในทันที ก้าวสู่ระดับเตรียมเทวะ

ตอนนี้หลังจากเดินออกมา นางยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่ลืมตาอยู่ แต่ในดวงตากลับว่างเปล่า

การปรากฏตัวขึ้นของนางทำให้จิตใจคนทั้งหลายสั่นไหว แต่กลับมีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จัก ต่อให้เป็นคนเก่าแก่ของตำหนักขบถจันทร์ ก็ไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับนาง

เหมือนว่าร่องรอยของนางไม่เคยปรากฏขึ้นในศักราชนี้มาก่อน

ความรู้สึกเก่าแก่โบราณบนร่างนางแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เหมือนว่ามองเพียงผาดเดียว ก็สัมผัสได้ถึงการไหลไปของเวลา

ต่อให้รูปสลักน้ำแข็งที่ผลึกคลายไปแล้วเหล่านั้น ก็ไม่คุ้นกับผู้หญิงคนนี้เช่นกัน ไม่รู้ตัวตนของนาง มีเพียงหลี่เซียวซานเท่านั้น เขามองผู้หญิงต่างเผ่าที่เดินออกมาคนนั้น ก้มหน้าลง เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“คารวะท่านเจ้าตำหนักรุ่นก่อน”

คำพูดของเขาแค่ดังออกมา จิตใจของทุกคนเกิดคลื่นหมื่นจั้ง มีเพียงสวี่ชิงและนายกองเท่านั้นที่นับว่าปกติ เพราะตัวตนของผู้หญิงคนนี้ ทันทีที่พวกเขาเป็นเจ้าตำหนักขบถจันทร์ก็รู้แล้ว

บทที่ 678 พิธีสำเร็จเป็นเทพอีกแล้ว 1

บทที่ 678 พิธีสำเร็จเป็นเทพอีกแล้ว 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา