บทที่ 700 รั้นจะมีตัวตน
ทะเลแสงจันทร์แหวกแยก
น้ำสีเลือดในทะเลพุ่งออกมาเป็นสองฝั่ง กลายเป็นกำแพงน้ำ ตรงกลางเป็นแหวกเป็นร่อง ลึกจนเห็นก้น!
ตะปูสีขาวที่เจิดจรัสด้วยเงาโลกหกใบ ทุกจุดที่พาดผ่าน ต่อให้เบื้องหน้าจะมีเงาสะท้อนของเทพเจ้าก็ไม่อาจขวางกั้น
ทลายราบทะลุทะลวง
ท่ามกลางเสียงอื้ออึ้งราวทัณฑ์สวรรค์ เงาสะท้อนของเทพเจ้าสามองค์ถูกมันทำลาย ร่างขาดกระจายเป็นชิ้นๆ
พริบตาต่อมา ตะปูนี้ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจางซืออวิ้น
รัศมีอำนาจน่าครั่นคร้าม พลานุภาพน่าตื่นตะลึง พุ่งไปที่หน้าผากของเขาในพริบตา
ขณะที่จะสัมผัสโดนตัว แต่ถึงอย่างไรจางซืออวิ้นก็เป็นร่างแยกของชื่อหมู่ ระดับพลังชีวิตของเขาอยู่เหนือความเข้าใจ มือขวาของเขาดูเหมือนยกขึ้นช้าๆ แต่กลับปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับตะปูนี้ ใช้สองนิ้วคีบเบาๆ
ขณะที่คีบ นิ้วจางซืออวิ้นไม่ขยับ แขนเป็นเช่นกัน ลำตัวก็เช่นกัน แต่เสื้อผ้าของเขากลับส่งเสียงพั่บๆ เหมือนมีลมคลั่งพัดกวาด
ผมสีแดงยาวปลิวสะบัดไปด้านหลังอย่างรุนแรง กระทั่งมิติด้านหลังเขาก็สั่นไหวไปพร้อมกัน จนมิติแตกร้าว ฉีกขาดเป็นทางๆ
“ไม่เลว”
จางซืออวิ้นสีหน้ากลับมาราบเรียบดังเดิม เอ่ยเสียงเรียบสงบ จะโบกมือขวาเพื่อซัดตะปูนี้กลับไป ทว่าตอนนี้เอง…ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน!
แม้ตะปูสีขาวจะถูกคีบไว้ แต่การเปลี่ยนแปลงของมันไม่ใช่การพุ่งทะลุทะลวง ตอนนี้สีบนตัวมันเปลี่ยนไป จากสีขาวกลายเป็นดำ จากนั้นก็ละลาย
กลายเป็นเส้นใยสีดำนับหมื่นเส้น แทรกซอนระหว่างนิ้วทั้งสองของจางซืออวิ้น พุ่งไปที่ใบหน้าของจางซืออวิ้นด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
เส้นใยเหล่านั้นทุกเส้นเทียบเท่ากับของวิเศษเวท กลิ่นอายน่ากลัวที่แผ่ออกมา ระดับความคมเหนือจินตนาการ กอปรใกล้กับจางซืออวิ้นเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ พวกมันจึงสัมผัสกับใบหน้าของจางซืออวิ้นในชั่วอึดใจ
จางซืออวิ้นขมวดคิ้ว พ่นปราณออกมา
ปราณนี้มีสีเลือด สัมผัสกับเส้นใยเหล่านั้นราวม่านหมอก
เสี้ยวขณะที่เสียงครืนครันดังขึ้น เส้นใยที่แปรมาจากตะปูก็สลายไปอย่างรวดเร็ว แต่มีสี่เส้นในนั้นที่ต่างจากเส้นอื่น
พวกมันแฝงอยู่ในเส้นใยจำนวนมาก ทะลวงหมอกเลือด แตะบนใบหน้าของจางซืออวิ้น!
ร่างของจางซืออวิ้นเลือนรางไปในพริบตา พยายามหลบหนี แต่เส้นใยสี่เส้นที่แปรมาจากการสนับสนุนของเหล่ารัฐทายาท เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติพิเศษที่มิอาจสะท้อนกลับคืนได้
ดังนั้นในชั่วพริบตา เส้นใยทั้งสี่เส้น ก็ทะลวงผิวหนังจางซืออวิ้นแทรกซอนเข้าไปด้านใน
แม้จะมีเลือดไหลรินออกมาจากใบหน้าจางซืออวิ้น แต่เส้นใยสี่เส้นนี้ก็ชอนไชอยู่ในเลือดเนื้อราวกับไส้เดือน เข้าไปในร่างกายจางซืออวิ้นอย่างบ้าคลั่ง
ระหว่างที่พุ่งเข้าไปด้านใน ยังปล่อยพลังวิเศษของเหล่ารัฐทายาทออกมาไม่หยุด บดขยี้ทำลายตลอดทาง
ต่อให้จางซืออวิ้นเป็นร่างแยกของชื่อหมู่ แต่ร่างกายนี้ที่ยังมาจากสามัญ ต่อให้ถูกปรับปรุงแก้ไข แต่เนื้อแท้ยังคงอยู่ ดังนั้นในชั่วพริบตา ทั้งร่างจางซืออวิ้นจึงบิดเบี้ยวเหมือนจะแหลกสลาย
ทว่าดวงตากลับยังสงบนิ่ง คว้ายไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย เพียงลุกขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ ถอยหลังไป
ขณะที่ถอย เขาก็ยกมือวาดผ่านคอของตนไปพลาง ยื่นสองนิ้วยาวเข้าไปด้านใน จะดึงเส้นใยในร่างกายออกมา ขณะเดียวกันเขาก็โบกมือขวาไปทางทะเลแสงจันทร์ใต้เท้าเบาๆ
ทันใดนั้นเงาสะท้อนเทพเจ้าเหนือทะเลแสงจันทร์ที่เหลืออยู่สามสิบสี่องค์นั้นก็ลืมตาขึ้น มองไปทางประตูใหญ่ กลิ่นอายของแต่ละองค์ปะทุขึ้น ระเบิดออกมา
คลื่นพลังเทพเจ้าทั้งสามสิบสี่องค์ทำให้พลังฉีกทึ้งเอ่อล้นไปทั้งฟ้าดินทะเลแสงจันทร์ ราวกับสรรพสิ่งสรรพชีวิตในที่แห่งนี้จะถูกทำลายจนแตกดับทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
ทว่าไม่อาจหยุดฝีเท้าของเหล่ารัฐทายาทได้ ร่างเงาของพวกเขาพลันพุ่งเข้าไปในประตูใหญ่วังจันทรา พุ่งไปหาเงาสะท้อนเทพเจ้าเหล่านั้น
รัฐทายาททางนั้นเผยร่างเดิม ยิ่งควบรวมโลกใบใหญ่ออกมา กลายเป็นดวงตาขนาดยักษ์ดวงหนึ่ง มองไปทางจางซืออวิ้น
ดวงตานี้ไม่ใช่ดวงตาเทพเจ้า แต่มีผลลักษณะเดียวกัน สิ่งที่ถูกมันจับจ้องล้วนบิดเบี้ยว สัมผัสรับรู้ถูกเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบกับความคิด
ต่อให้เงาสะท้อนของเทพเจ้าเหล่านี้ก็เป็นเช่นนี้
ถึงอย่างไรเหล่าองค์ท่านก็ตายไปแล้ว เป็นเพียงเงาสะท้อนเท่านั้น
องค์หญิงหมิงเหมยทางนั้นก็น่าครั่นคร้าม มือของนางมีหอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างกายมีเกราะสงครามผุดออกมา ใต้เท้าเหยียบย่ำกาลเวลา จิตสังหารน่าตื่นตะลึง
ผู้อาวุโสแปดคำรามต่ำ เสียงราวรัวกลอง ก่อเป็นเงามายาประหนึ่งมารฟ้า ทะลวงเข้าไปในเงาสะท้อนเทพเจ้า แปรเปลี่ยนความเป็นมนุษย์สยบความเป็นเทพ
ส่วนผู้อาวุโสเก้า เขาเดินออกมาเงียบๆ กระบี่ในมือฉายแสงเย็น ขณะที่โบก ฟ้าดินเปลี่ยนสี สะบั้นทุกสรรพสิ่ง
ทว่าเงาสะท้อนเทพเจ้าที่นี่มีมากเกินไป และนิ้วมือของจางซืออวิ้นก็ดึงเส้นใยเส้นหนึ่งออกมาได้ในเวลาสั้นๆ นี้ กำลังหาเส้นที่สอง
ไม่นานนัก เส้นใยทั้งสี่เส้นจะถูกดึงออกมาจนหมด
เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงกับนายกองที่กำลังทะยานเข้าไปในประตูใหญ่ก็ชะงักฝีเท้า
ใช่ว่าไม่อยากเข้าไป แต่พลังน่าครั่นคร้ามท่วมท้นอยู่ในประตูบานนี้ พลังบำเพ็ญพวกเขายากจะทานทนไหว
นายกองรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย
“อาชิงน้อย เจ้ารู้สึกหรือไม่ เหมือนว่าเรื่องนี้…จะไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว พวกเราจะอยู่หรือไม่ คล้ายว่าไม่ได้มีผลกระทบอะไร”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง พยักหน้า
“แต่พวกเราทำให้ทุกอย่างนี้สัมฤทธิ์ผลแท้ๆ พวกเราสิที่เป็นตัวต้นเรื่อง ทุกอย่างควรจะอยู่ในการควบคุมของพวกเรา ถ้าไม่มีพวกเรา พวกเขาก็มาไม่ถึงจุดนี้หรอก” นายกองไม่ยินยอม เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา