บทที่ 729 มอบของขวัญให้กับผู้นำพันธมิตร
หลายวันต่อมา ขณะที่โหวเหยาและนายท่านเจ็ดจากไปตามลำดับ จากการที่เจ้าวังทั้งสามและสำนักต่างๆ ง่วนกับการปราบปรามกบฎที่เกิดขึ้นทุกหัวระแหง ข่าวคราวของแต่ละฝ่ายก็ถูกรวบยอดเป็นสรุปมา
ตัวอย่างเช่นระดับการก่อกบฏ สถานการณ์และความมุ่งมั่นในการก่อความวุ่นวายของต่างเผ่าในทะเลต้องห้าม และสาเหตุแท้จริงที่ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรนับหมื่นจนตรอก และหนีออกมาจากสมรภูมิฟ้าทมิฬ
ความจริงคือมีวังเต๋ามหาวิวัฒน์แห่งพันธมิตรแปดสำนักดั้งเดิมคอยให้การช่วยเหลือ!
ผู้นำพันธมิตรแปดสำนัก ไม่ได้ไปขอพึ่งบารมีองค์ชายเจ็ดเพียงลำพัง แต่เดินทางไปพร้อมกับสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าและวังเต๋ามหาวิวัฒน์
หลังจากพึ่งพาองค์ชายเจ็ดแล้ว ด้วยความเชี่ยวชาญด้านค่ายกลของวังเต๋ามหาวิวัฒน์ จึงถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่วางค่ายกล ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย
สุดท้ายเนื่องจากความใจร้อนของผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร เมื่อเห็นผู้คนกว่าห้าล้านคนบาดเจ็บล้มตายมากถึงเพียงนี้ วังเต๋ามหาวิวัฒน์จึงลอบให้อำนาจตั้งค่ายกลแก่พวกข่งเสียงหลงในระดับหนึ่ง
พวกข่งเสียงหลงจึงมีชีวิตอยู่รอดและหนีออกมาได้
สาเหตุและผลกระทบของเรื่องไม่มีทางถูกค้บพบในเร็ววัน แต่จิตใจของผู้คนในวังเต๋ามหาวิวัฒน์สลับซับซ้อน ในบรรดานั้นบางคนรับไม่ได้กับเรื่องที่เขตปกครองผนึกสมุทร แต่ก็มีบางคนที่พึ่งพาองค์ชายเจ็ดสุดหัวใจ
ดังนั้นด้วยความเห็นที่แตกต่างกันตลอดจนการแย่งชิงอำนาจภายใน เรื่องนี้จึงแพร่กระจายออกไปโดยวังเต๋ามหาวิวัฒน์ หัวหอกต่างพุ่งเป้าไปที่เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระตุ้นความเดือดดาลของบรรพจารย์วังเต๋ามหาวิวัฒน์ตลอดจนองค์ชายเจ็ด จึงบัญชาให้กวาดล้างและสังหารผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มีเพียงเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ซึ่งถูกหมายหัวเป็นผู้กระทำความผิดกลับหายตัวไป
และด้วยเหตุนี้ เรื่องราวจึงแพร่ออกไป ดึงดูดความสนใจจากหลายฝ่าย
ในช่วงเวลานี้เองที่เมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทรกำลังมีช่องโหว่เนื่องจากโหวเหยาและนายท่านเจ็ดนำทัพแยกย้ายออกไปจากเมือง ก็มีคนผู้หนึ่งมาเยือน
คนผู้นี้เป็นชายชรา สวมชุดนักพรตสีน้ำตาล ดวงหน้าแฝงความอิดโรย ยิ่งร่างกายบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ก็ระแวดระวังตัวอย่างยิ่ง
ครั้งแรกที่ย่างเท้าเข้าสู่เมืองหลวงเขตปกครอง เขาก็ติดต่อคนสองคนทันที
คนแรกคือจื่อเสวียน อีกคนหนึ่งคือเสี่ยเลี่ยนจื่อ
พวกเขาไม่ได้ออกไปปราบกบฎ แต่อยู่อารักขาเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทร ทันทีที่ได้รับข่าว ทั้งจื่อเสวียนและเสี่ยเลี่ยนจื่อต่างหน้าถอดสีทั้งคู่
เพราะผู้มาเยือน เป็นคนที่พวกเขารู้จัก
เป็นเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ที่องค์ชายเจ็ดสั่งให้ตามล่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เหยี่ยนเยี่ยจื่อ สมบัติวิญญาณขั้นบริบูรณ์
หากเป็นผู้อื่นที่มาเยือนเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทรในเวลานี้ อยากพบเสี่ยเลี่ยนจื่อและจื่อเสวียน คงยากที่จะได้รับการต้อนรับ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ในช่วงสงคราม สถานการณ์พลิกผันตลอดเวลา
ทว่าเหยี่ยนเยี่ยจื่อแห่งวังเต๋ามหาวิวัฒน์ผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณเคยช่วยชีวิตเหล่าผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรจากสงครามฟ้าทมิฬ
กองกำลังในสำนักของเขาถูกองค์ชายเจ็ดสังหารสิ้น ผู้คนตกตายนับพัน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าโลหิตเจิ่งนองเป็นแม่น้ำ ก็น่าหดหู่อย่างยิ่ง ส่วนตัวเขาก็ถูกทำร้ายปางตาย ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ถึงได้หนีออกมา
เขามาเพื่อขอลี้ภัย ไม่อาจเมินเฉยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเสนอว่าจะบอกความลับสำคัญอย่างมากให้
ดังนั้น ในไม่ช้าสวี่ชิงตลอดจนเสี่ยเลี่ยนจื่อและจื่อเสวียนก็ได้พบเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ ภายในตำหนักใหญ่ของจวนเจ้าเขตปกครอง
ความรุนแรงของอาการบาดเจ็บเป็นของจริง อวัยวะภายในของเขาเสียหายเกินครึ่ง ที่อดกลั้นมาได้เป็นเพราะพลังบำเพ็ญสมบัติวิญญาณในกาย เขามีสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าเขาจดจำครั้งแรกที่ได้เห็นภาพสวี่ชิงได้
“คารวะเจ้าเขตปกครอง!”
เวลาผ่านไปสักพัก กว่าเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์จะสงบสติอารมณ์ได้ และประสานหมัดคารวะอย่างนบน้อม ทว่าความระลอกคลื่นในใจทำให้อาการบาดเจ็บกำเริบ จึงหน้าซีดเผือดลงอย่างอดไม่ได้หลายส่วน
สวี่ชิงโบกมือทันทีส่งคลื่นพลังอ่อนโยนไปให้ หลังจากช่วยประคองเขา ก็สั่งให้คนนำยาลูกกลอนมาให้ วางลงตรงหน้าเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์อย่างสุภาพ
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ช่วยเหลือในสมรภูมิฟ้าทมิฬ พวกเราได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับวังเต๋ามหาวิวัฒน์แล้ว นี่คือยาล้ำค่าของเมืองหลวงเขตปกครอง ลูกกลอนคืนสวรรค์ รักษาอาการบาดเจ็บของท่านเจ้าสำนักทั้งหมดได้ โปรดกลืนลงไปก่อนเถิดขอรับ”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ฟังแล้วก็หยิบยาขึ้นมา สังเกตเห็นสายตาของเสี่ยเลี่ยนจื่อและจื่อเสวียนที่จับจ้องมายังตน แววตานั้นไร้ซึ่งจิตอริ แต่เขารู้ดีว่าการมาของตนย่อมกระตุ้นให้เกิดความสงสัย
เขาจึงกลืนยาลูกกลอนนั้นลงคอในคำเดียวอย่างไม่ลังเล หรือตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่
เสี่ยเลี่ยนจื่อหรี่ตาลง จื่อเสวียนไม่แสดงอารมณ์ออกมา
สวี่ชิงมีสีหน้าเป็นปกติดังเดิมตั้งแต่ต้น มองเจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์กลืนยาลูกกลอนแล้วค่อยนั่งขัดสมาธิ ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้น
กระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์จึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง อาการบาดเจ็บภายในบรรเทาลงบ้าง เขาสะกดกลั้นอีกครั้ง ก่อนจะพรูลมหายใจยาวๆ และโค้งคำนับให้แก่สวี่ชิงอีกครั้ง สีหน้าเผยความเศร้าโศกและรู้สึกผิดบางอย่าง
“เวลาผ่านไปเร็วนัก เพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายปี…ข้ายังจำวันที่เจ้าเขตปกครองมาเยือนพันธมิตรแปดสำนักครั้งแรกได้…”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์ส่ายหน้า ทอดถอนใจ
“น่าเสียดายนักที่วังเต๋ามหาวิวัฒน์ของข้าติดตามคนผิด เดินทางผิดไปก้าวหนึ่ง จึงถลำลึกไปเรื่อยๆ…
“เจ้าเขตปกครอง ข้าเสี่ยงตายหนีออกมา ที่มาเยือนเขตปกครองผนึกสมุทรก็เพียงเพื่อจะบอกข่าวแก่ท่าน ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็สุดแล้วแต่พวกท่าน
“ข้อแรก แม้ข้าจะอดสงสารผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรในสงครามฟ้าทมิฬไม่ได้ แต่หากจะให้ข้าเอาชีวิตของศิษย์ในสำนักและชีวิตของข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยเลือกพวกเขา ข้าทำไม่ได้
“ที่ช่วยเหลือคนหมื่นกว่าคน เป็นเพราะในตอนนั้นค่ายกลเกิดความผิดพลาดขึ้น ระหว่างปรับปรุงมีโอกาศที่จะถูกส่งข้ามโดยไม่ถูกคนสังเกตเห็น แม้ว่าจะถูกตรวจพบ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า
“ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะช่วย
“แต่เรื่องนี้ คนนอกไม่อาจรับรู้ได้ คนในวังเต๋ามหาวิวัฒน์เองก็ไม่อาจจะค้นพบได้โดยเร็ว แต่หลังจากผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรหมื่นกว่ารายถูกส่งข้ามไปได้ไม่นาน ข้อมูลภายในวังเต๋ามหาวิวัฒน์ก็ดันถูกเผยแพร่ออกไป
“จากนั้นก็ตามมาด้วยการสังหารหมู่ ตอนที่ข้าหนีตายมาออกมาจึงได้เข้าใจว่านี่คือแผนการ มีคนวางกับดักโดยใช้ความใจอ่อนของข้า
“มีคนต้องการให้คนเหล่านั้นของเขตปกครองผนึกสมุทรออกมา จากนั้นก็ใช้เป็นเบี้ย ทำให้เขตปกครองผนึกสมุทรต้องช่วยเหลือพวกเขา ขณะที่ใช้กลยุทธ์เชิญท่านลงโอ่ง ก็เป็นการล่อเสือออกจากภูเขาด้วย”
เจ้าสำนักวังเต๋ามหาวิวัฒน์พูดด้วยเสียงต่ำทุ้ม ทุกคนในตำหนักมีสีหน้าต่างกันออกไป เงียบนิ่งไม่พูดจา
“คนคนนั้นคืออดีตผู้นำพันธมิตรแปดสำนัก เฉินหยางจื่อ!”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา