บทที่ 734 โลภมากจนลืมตัว
ณ ขณะเดียวกัน บนทะเลต้องห้ามสาดซัด ใต้ฟ้ากว้าง สวี่ชิงที่มุ่งหน้ากลับไปยังเขตปกครองผนึกสมุทรพร้อมกับนายกอง ชะงักฝีเท้าฉับพลัน ดวงตาฉายแววสับสน ทอดมองไปไกลๆ
คล้ายกับได้ยินเสียงบางอย่างดังก้องในใจเลาๆ ราวกับมีภาพบางอย่างวาบผ่านตรงหน้าไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความคลุมเครือ
ทว่าภาพนั้นไม่ชัดเจน คล้ายหยดหมึกผสมปนเป ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด
การหยุดชะงักและสีหน้าของสวี่ชิง ทำให้นายกองที่อยู่ไม่ไกลประหลาดใจ เขาทอดสายตามองฟ้าดินที่อยู่ไกลๆ ตามสวี่ชิง ที่นั่นไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
เขาจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อาชิงน้อย เจ้าเป็นอะไรไป มองอะไรอยู่หรือ”
สวี่ชิงไม่ตอบ สายตาสับสนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนายกองเอ่ยถามอย่างสงสัยขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปพักใหญ่ สวี่ชิงถึงได้สติกลับมา มองไปยังทิศทางของแดนใหญ่วิญญาณทมิฬ เอ่ยขึ้นอย่างลังเล
“ดูเหมือนจะมีคนเรียกหาข้า
“บางอย่างที่ข้าคิดว่าไม่มีอยู่ กำลังร้องเรียกหาข้า”
สวี่ชิงพึมพำ
ในเวลาเดียวกัน ณ สนามรบเผ่าฟ้าทมิฬ ดาวสีม่วงร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า เปล่งแสงสีม่วงปกคลุมท้องฟ้า เปลี่ยนม่านนภาอันสดใสให้สลัวรางฉับพลัน
ทั้งแผ่นดินและสรรพสิ่งล้วนเป็นเช่นนี้ ทุกคนถูกปกคลุมด้วยแสงสีม่วงราวกับเสื้อผ้าอาภรณ์ในพริบตา
ยิ่งมีกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวแผ่มาจากดาวพระจันทร์สีม่วง
ทอดสายตามองไป กว่าครึ่งค่อนท้องนภาถูกดาวสีม่วงนั้นครอบครองพื้นที่ จากการมาถึงของมัน ผู้บำเพ็ญสองฝั่งต่างมองเห็นแอ่งกระทะเบื้องบนอย่างชัดเจน
บนดาวพระจันทร์สีม่วง มีป้ายหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ทอแสงเจิดจ้าพร่างพราย น่าตื่นตะลึง
กลิ่นอายเทพเจ้าระเบิดพวยพุ่ง บิดเบือนฟ้าดิน บดบังโลก ไอพลังประหลาดกลายเป็นม่านหมอก ลอยอวลไปทั่วแปดทิศ ยิ่งมีหนอนเส้นด้ายจำนวนนับไปถ้วนปะปนในม่านหมอกนั้น
บางครั้งมีตัวตน บางหนเป็นภาพมายา ทุกแห่งที่เคลื่อนผ่าน ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ในสนามรบ ผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องเทียนหลันเหล่านั้นใจสั่นสะท้าน ลมหายใจกระชั้นถี่ ร่างสั่นเทิ้มด้วยแรงกดดันนี้
ส่วนฟากเผ่าฟ้าทมิฬ ผู้บวงสรวงในเสื้อคลุมยาวสีม่วงเหล่านั้น สีหน้าเปี่ยมด้วยความเลื่อมใส น้ำเสียงยิ่งฮึกเหิม
ส่วนคนอื่นๆ ในเผ่าฟ้าทมิฬต่างคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระจันทร์สีม่วงบนฟากฟ้าอย่างตื่นเต้น
เห็นได้ชัดว่าสำหรับพวกเขาแล้ว การปรากฏตัวของพระจันทร์สีม่วง บ่งบอกว่าเทพเจ้ายังไม่ละทิ้งพวกเขาไป เทพเจ้า…ยังอยู่!
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นดั่งสายฟ้าฟาดผ่าอ๋องเทียนหลันที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ในฐานะเตรียมสู่เทวะ เขาย่อมรู้ความน่ากลัวของเทพเจ้า และรู้ดีว่าพลังต่อสู้ของตนไม่มีทางจะสู้กับเทพเจ้าได้เลย
‘เหตุใดถึงเป็นแบบนี้ไปได้!!
‘ชื่อหมู่ตื่นแล้วหรือ ไม่สิ บทสวดของพวกเขาไม่ได้พูดถึงชื่อหมู่ แต่เป็นนายสีม่วง!
‘ไม่เคยได้ยินชื่อของนายสีม่วงมาก่อน หรือจะเป็นชื่อหมู่จำแลงมา หรือจะเป็นเทพเจ้าบรรพกาลที่ไม่มีใครรู้จัก’
หัวใจอ๋องเทียนหลันสั่นไหว เขาสัมผัสได้ว่าดาวพระจันทร์สีม่วงเป็นของจริงอย่างยิ่ง ความกดดันและกลิ่นอาย รวมถึงหมอกหนอนเส้นด้ายสีม่วงที่ปรากฏขึ้นรอบๆ ล้วนสมจริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นี่ก็คือเทพจุติของจริง!
ดังนั้นระลอกคลื่นและความหวาดผวาทุกอย่างพลันก่อตัวเป็นพายุคำรามในใจเขา ดั่งคลื่นน่าครั่นคร้ามโหมสาดซัด
เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย และไม่สนความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชา ความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาในสมองของเขาคือหนี!
ก่อนที่นายสีม่วงจะปรากฏตัว เขาพยายามหลบหนีสุดกำลัง
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสรอด
อ๋องเทียนหลันขบกรามแน่น ส่งเสียงคำรามต่ำ
“ถอย!”
กล่าวจบ เขาก็กลับหลังหัน ระเบิดความเร็วจนถึงขีดจำกัด พุ่งทะยานไปไกล
เขารู้ดีว่าศึกระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าฟ้าทมิฬ มาจากหลายสิบทิศ เพื่อร่วมกันโจมตีสองแดนใหญ่ของเผ่าฟ้าทมิฬ อ๋องสวรรค์แต่ละองค์ต้องจู่โจมจากคนละทิศทาง
ดังนั้นต่อให้เขาทางนี้จะพ่ายแพ้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงกับสถานการณ์โดยรวม เพียงแต่จะเป็นอุปสรรคในการปกครองคลื่นศักดิ์สิทธิ์ขององค์ชายเจ็ด และผิดสัญญากับจักรพรรดิมนุษย์
แต่เมื่อเทียบกับความเป็นความตายของตน เรื่องเหล่านี้…ไม่ได้สลักสำคัญแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ร่างของอ๋องเทียนหลันก็หายไปใต้ดาวพระจันทร์สีม่วง กะพริบวูบวาบพุ่งออกไปที่ไกลไม่หยุด และการจากไปของเขา ทำให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาบนพื้นดินต่างเจ็บปวดรวดร้าว ดวงตาฉายแววสิ้นหวัง ทยอยถอยออกมา
แต่แท้จริงแล้วพวกเขาต่างรู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่จะถอนทัพสำเร็จเมื่อเผชิญหน้าเทพช่างน้อยนิด
ส่วนเผ่าฟ้าทมิฬไม่ได้ฉวยโอกาสนี้โจมตี เมื่อสิ้นเสียงสวดภาวนาก็ถอยร่นอย่างเร็วรี่ กองทัพเผ่าฟ้าทมิฬอาศัยแรงกดดันจากพระจันทร์สีม่วงคลี่คลายสถานการณ์ก่อนหน้านี้ กำลังล่าถอย
เวลาดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้ ฝั่งเผ่าฟ้าทมิฬล่าถอยไปได้ไกลแล้ว ขณะที่ทางฟากอ๋องเทียนหลันยังล่าถอยออกไปเรื่อยๆ ความสงสัยค่อยๆ ผุดขึ้นมา เนื่องจาก…พวกเขาไม่เห็นเทพเจ้าปรากฏกาย
กระทั่งพระจันทร์สีม่วงบนท้องฟ้าเริ่มเลือนหายไปพร้อมกับความบิดเบี้ยวและพร่ามัวรอบด้าน ไอพลังประหลาดประหนึ่งภาพลวงตา พลังทำลายล้างที่แท้จริงยังเทียบไม่ได้กับความกดดันและกลิ่นอายที่ปรากฏขึ้น
ราวกับว่า…มันคือภาพสะท้อนของพระจันทร์บนผิวน้ำ
กระทั่งวินาทีต่อมา ดาวพระจันทร์สีม่วงเลือนหายจนหมดสิ้น ระหว่างฟ้าดินฟื้นคืนสู่สภาพปกติ
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องเทียนหลันบนพื้นดินต่างสับสน ไม่นานนักก็มีบางคนนึกขึ้นได้ว่าพวกเขา…ถูกหลอกแล้ว!
นี่ไม่ใช่เทพจุติ แต่คล้ายเป็นภาพมายาอย่างหนึ่ง
ความรู้ความเข้าใจนี้โหมซัดจิตใจของทุกคน ไม่นานนักสายรุ้งยาวก็หวีดหวิวมาบนฟ้า อ๋องเทียนหลันที่หนีไปหวนกลับมา
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา