เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 753

บทที่ 753 สำนักหอเลือนโลกีย์

‘องค์ชายสิบผู้นี้อาจจะไม่ได้เจ้าสำราญอย่างที่คนนอกคิดก็เป็นได้…’

หลังเดินออกมาจากจวนองค์ชายสิบ สวี่ชิงนึกถึงภาพก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ตอนที่ประตูพังทันทีที่แตะ ไปจนถึงงานเลี้ยงที่เตรียมเอาไว้ราวกับจงใจ ตลอดจนตอนที่หยิบถุงเก็บของออกมาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากมองแต่ผิวเผินอาจเป็นเพราะความหยิ่งทะนงของเขา และการกระทำขององค์ชายสิบก็เป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่หากตัดสินจากผลลัพธ์ ทุกเส้นตวัดของพู่กันล้วนแฝงด้วยความนัย

แต่บางครั้งก็ไม่อาจชี้ขาดได้จากเหตุการณ์เดียว องค์ชายสิบตั้งใจหรือไม่ ยังต้องดูการกระทำที่หลังจากนี้

ดูแล้วนี่ก็เป็นสาเหตุที่องค์ชายสิบเลือกที่จะทำเช่นนี้ เขาไม่ได้กังวลว่านอกจากสวี่ชิงและหนิงเหยียนแล้วผู้อื่นจะมองออก เพราะเขาเปลี่ยนเจตนาได้ด้วยประโยชน์จากคำพูด

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด หนิงเหยียนข้างๆ ดวงตาก็ฉายแววครุ่นคิด ในฐานะที่เป็นองค์ชายเหมือนกัน หนิงเหยียนย่อมไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้เขาก็เห็นเบาะแส จึงหันไปมองสวี่ชิงโดยสัญชาตญาณ

สวี่ชิงพยักหน้าเล็กน้อย และกลับไปยังจวนพร้อมกับหนิงเหยียน

ส่วนถุงเก็บของ เมื่อกลับถึงจวนแล้ว หนิงเหยียนก็เปิดถุงออกต่อหน้าสวี่ชิงในโถงบรรพชนของจวน ภายในถุงมีเพียงของสิ่งเดียว

นั่นคือม้วนกระดาษ

ดูเหมือนว่ามันจะถูกไว้ในถุงเก็บของด้วยวิธีที่ยากกว่าปกติ เวลานำออกมาต้องค่อยๆ หยิบออกมาอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นถุงเก็บของจะเสียหาย ทำให้ม้วนกระดาษข้างในสูญหายไปในรอยแยกมิติ

ส่วนตัวม้วนกระดาษ ถูกห่อด้วยวัสดุพิเศษ กระทั่งถุงเก็บของก็ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะเก็บรักษามันไว้ในถุงเก็บของได้

นี่ทำให้เห็นว่าองค์ชายสิบจริงจังกับเรื่องนี้เช่นกัน และการเตรียมการถึงขั้นนี้ต้องทุ่มเทแรงกายและเวลาอย่างมากถึงจะสำเร็จ

นี่ก็เป็นสาเหตุที่หนิงเหยียนรีบร้อนจากไปในตอนนั้น และนำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วยไม่ได้

ขณะที่หยิบม้วนกระดาษออกมา ร่างกายหนิงเหยียนสั่นเทาเล็กน้อย เขาลูบม้วนกระดาษเบาๆ ดวงตาฉายแววคนึงหา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็แกะออกมา แขวนไว้ในโถงบรรพชน

สวมชุดสีฟ้าเรียบง่ายแต่สง่างามยิ่ง เรือนผมไร้การประดับประดา ดวงหน้าละเอียดละออ คิ้วและดวงตาเผยความเจ้าเล่ห์ มุมปากนางยกขึ้น รอยยิ้มแฝงความขี้เล่นไว้เล็กน้อย

ดูจากหน้าตา นางไม่ใช่คนสวย มีคนที่งดงามกว่านางอยู่มากมาย ทว่าต้องกล้าวว่านางเป็นสตรีที่มีบุคลิกเฉพาะตัวมาก ในดวงตาเหมือนมีประกาย สัมผัสได้ถึงนิสัยและความมีชีวิตชีวาของนางจากรูปวาด

หนิงเหยียนมองภาพนี้ก็รู้สึกหมองหม่น ก้าวไปข้างหน้าเงียบๆ จุดธูปกราบไหว้มารดาของตนตรงหน้ารูปวาดนั้น

สีหน้าของสวี่ชิงเคร่งขรึม ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน หลังจากจุดธูปคารวะมารดาของหนิงเหยียน เขาก็จ้องมองสตรีในภาพวาด จู่ๆ ก็สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาจับจ้องที่ดวงตาของมารดาหนิงเหยียน

ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้วาดภาพนี้ ช่างมีจิตวิญญาณมาก ไม่เพียงวาดรูม่านตา กระทั่งวาดสิ่งที่สะท้อนอยู่ในม่านตานั้นด้วย

แม้ว่าจะค่อนข้างเลือนราง ไม่ชัดเจนสักเท่าไร แต่ดูจากโครงร่าง ในม่านตาของภาพเหมือนคล้ายจะสะท้อนภาพของแท่นบูชาแห่งหนึ่ง…แต่หากสังเกตอย่างละเอียด คล้ายว่าจะไม่ใช่อีก เป็นเพียงหอแห่งหนึ่งเท่านั้น

รายละเอียดเป็นเช่นไร มองไม่ออกเลย

สวี่ชิงครุ่นคิด ดก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ ก่อนจะมองหนิงเหยียนที่อยู่ข้างกายผาดหนึ่ง สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองภาพนั้นไม่หยุดด้วยสีหน้าโหยหา

จากที่สวี่ชิงเคยได้สัมผัสเรื่องราวคล้ายๆ กันด้วยตัวเองมาก่อน รู้ว่าเวลานี้หนิงเหยียนน่าจะอยากอยู่ตามลำพังมากกว่า

เขาจึงออกไปจากโถงบรรพชนเงียบๆ โดยไม่รบกวนอีกฝ่าย เดินอยู่ในจวนองค์ชายแห่งนี้ สวี่ชิงเห็นผู้ครองกระบี่ที่ติดตามตนมาจากเขตปกครองผนึกสมุทรกำลังลาดตระเวนเป็นพักๆ

นอกจากพวกเขาแล้ว ทั้งลานเรือนก็ว่างเปล่ามาก

สายลมบางเบาพัดมา เสียงกระดิ่งที่แขวนตามชายคาส่งเสียงกังวานใส มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

ความรู้สึกที่สภาพแวดล้อมปลอดโปร่ง ก็เด่นชัดขึ้นด้วยเสียงกระดิ่งนี้

จื่อเสวียนยังไม่กลับมา นายกองก็ด้วย หลังจากที่พวกเขาทั้งสองมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิ ต่างก็มีธุระของตัวเอง ส่วนข่งเสียงหลงไปเยี่ยมเยือนหลี่อวิ๋นซาน

ดังนั้นตอนนี้นอกจากหนิงเหยียนแล้ว จึงเหลือเพียงสวี่ชิงและอู๋เจี้ยนอูเท่านั้นที่ยังอยู่ในจวน

ไกลออกไปทางทะเลสาบ มีเสียงอู๋เจี้ยนอูร่ายกลอนคลอเสียงกระดิ่งแว่วมาตามสายลม

“ผืนน้ำผืนฟ้าสับสนวุ่นวาย เถ้าธุลีไม่ฟุ้งกระจาย เมืองหลวงจักรพรรดิเผาปลาหลี่!”

“กลอนดี กลอนดี!”

ประโยคแรกเป็นเสียงอู๋เจี้ยนอู ประโยคที่สองเป็นเสียงเยินยอของนกแก้ว

สวี่ชิงกวาดจิตเทพไป เห็นอู๋เจี้ยนอูนั่งอยู่ริมทะเลสาบ จ้องมองทะเลสาบด้วยท่าทางคิดหนัก บางครั้งร่ายกลอนออกมาสองสามวรรค ส่วนนกแก้วที่อยู่ข้างๆ นอกจากจะให้กำลังใจแล้ว ยังมีงานใหม่ที่ต้องทำ

นั่นก็คือการจดบันทึก

มันจดบันทึกกลอนของอู๋เจี้ยนอูลงบนแผ่นหยก เตรียมเอาไว้อู๋เจี้ยนอูใช้ได้ตลอดเวลา

เห็นทั้งสองเล่นกันอย่างสนุกสนาน สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิบนม้านั่งหินในลานเรือน สัมผัสสายลมรอบด้าน ฟังเสียงกระดิ่งข้างหู จิตใจของเขาก็ค่อยๆ สงบลง

หลังจากตกตะกอนข้อมูลที่ตนได้รู้ ขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าตนคงต้องอยู่ที่เมืองหลวงจักรพรรดิไปอีกสักพัก

เพราะจนถึงตอนนี้ จักรพรรดิมนุษย์ยังไม่เรียกเข้าเฝ้า

สวี่ชิงไม่รีบร้อน หลังจากจัดการความคิดแล้ว เขาก็หลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ

พลังวิญญาณในเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์เข้มข้นกว่าที่เขตปกครองผนึกสมุทรมาก แม้นใช่ว่าไอพลังประหลาดของที่นี่จะไม่มีเลย แต่ก็ถือว่าน้อยนัก สำหรับคนธรรมดาแล้ว บ่งบอกได้ว่ามีอายุขัยที่เกือบจะเป็นปกติ

สำหรับผู้บำเพ็ญ ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญที่นี่มากกว่าโลกภายนอกมาก แนวโน้มในการกลายพันธุ์ก็ลดลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สวี่ชิงจึงจมจ่อมกับการฝึกบำเพ็ญ ไม่ปล่อยให้คุณสมบัติของที่แห่งนี้เสียเปล่า

วันนี้เขาเปิดสมบัติเทพไปแล้วสามคลัง แต่ไม่คิดจะเปิดคลังที่สี่ นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องพิจารณาในอนาคต นอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นสำคัญนั่นก็คือสภาวะเทพเจ้า

แม้ว่าสวี่ชิงจะควบคุมสภาวะเทพเจ้าของสมบัติเทพคลังที่หนึ่งได้ แต่สภาวะเทพเจ้าขั้นสอง ต้องหล่อเลี้ยงด้วยเลือดเนื้อของชื่อหมู่ การใช้เช่นนี้ทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาวะเทพเจ้าขั้นสาม

‘ต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์นี้’

สวี่ชิงครุ่นคิด ก่อนจะมาที่เมืองหลวงจักรพรรดิ เขาเคยถามเรื่องนี้กับอาจารย์ นายท่านเจ็ดกล่าวว่าสวี่ชิงจะพบคำตอบในเมืองหลวงจักรพรรดิ

‘คำตอบนี้อยู่ที่ใดกัน’

สวี่ชิงเงยหน้ามองผืนฟ้าเนิ่นนานก่อนจะหลับตาลง กำหนดลมหายใจต่อไป

เวลาดำเนินไปเช่นนี้ทุกวัน หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ขั้วอำนาจภายในเมืองหลวงจักรพรรดิที่จับตามองสวี่ชิง ค่อยๆ ลดความสนใจลง อันที่จริงครึ่งเดือนที่ผ่านมาสวี่ชิงไม่ได้ออกไปจากจวนเลย

ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสวี่ชิงและองค์ชายสิบ ทุกฝ่ายต่างทราบมานานแล้ว กระทั่งองค์ชายสิบยังถึงกับค่อนขอด ถากถางสวี่ชิงในงานเลี้ยงหลายครั้ง

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง ซึ่งเบี่ยงเบนความสนใจจากทุกฝ่ายไป

ศึกเผ่าฟ้าทมิฬ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเมื่อหลายวันก่อน เนื่องจากชินอ๋องของเผ่านภาคิมหันต์ถูกเชื้อเชิญไปที่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่าฟ้าทมิฬ

เรื่องนี้มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง สงครามระหว่างสองฝ่ายหยุดชะงัก บรรยากาศเริ่มตึงเครียด

ส่วนจื่อเสวียนและนายกอง ตลอดครึ่งเดือนมานี้ สวี่ชิงไม่ได้เจอหน้าพวกเขาบ่อยนัก ส่วนใหญ่สวี่ชิงมักจะนั่งสมาธิตามลำพังในลานเรือน

จนกระทั่งค่ำวันนี้ ด้านนอกจวนหนิงเหยียน มีสหายเก่าของสวี่ชิงสองคนมาเยือน หลังจากได้รับอนุญาต คนทั้งสองก็ถูกเชิญเข้ามาในจวน

“สวี่ชิง ไม่เจอกันนานเลยนะ ฮ่าๆ” ทันทีที่พบสวี่ชิง หนึ่งในนั้นก็ยิ้มหน้าบาน แล้วหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้หินข้างตัวเขาอย่างสนิทสนม

อีกคนหนึ่งท่าทางระแวดระวังกว่าเล็กน้อย คำนับให้กับสวี่ชิง

บทที่ 753 สำนักหอเลือนโลกีย์ 1

บทที่ 753 สำนักหอเลือนโลกีย์ 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา