บทที่ 772 หมากของอีกฝ่าย
ระฆังถามเซียนนี้ ก็ใช้หยั่งใจเช่นกัน
เอื้อนเอ่ยด้วยใจจริง เสียงระฆังดังกึกก้อง
ระหว่างที่หนิงเหยียนเปลี่ยนความคิดแล้วลุกขึ้นจากท่าคุกเข่าพุ่งกระแทกระฆังถามเซียน ขณะที่เสียงระฆังดังก้อง จิตวิญญาณของเขาก็เหมือนได้ผ่านพิธีชำระล้าง
พิธีชำระล้างนี้โหดร้ายยิ่ง คล้ายกับดักแด้ที่ดิ้นรนก่อนจะเป็นผีเสื้อ เขาที่เลือดอาบหน้า อวัยวะภายในร่างกายปั่นป่วน เวลานี้ฝืนเงยหน้าขึ้นมองไปยังวังหลวง
ชั่วขณะนี้ เขาเหมือนเห็นจักรพรรดิมนุษย์ที่มากบารมี นั่งตัวตรงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ในวังนั่น
“ข้าไม่ได้ทำ”
เสียงของหนิงเหยียนแหบพร่า ดังอยู่บนลานกว้าง แทรกซึมเข้าไปในใจของทุกคน กระทั่งตัวเขาโอนเอนแล้วสลบไป
สวี่ชิงประคองเขาวางลงบนพื้น สำหรับเรื่องในวันนี้ ในใจเขากระเพื่อมขึ้นลง แม้เบาะแสทั้งหมดจะชี้ไปที่หนิงเหยียน แต่สวี่ชิงเชื่อว่าหนิงเหยียนไม่ใช่คนทำ
เขาไม่มีความสามารถนั้น และไม่มีแรงจูงใจ
จุดนี้สวี่ชิงคิดว่าจักรพรรดิมนุษย์ไม่มีทางประมาทเลินเล่อ แต่กลับ…ยังทำเช่นนี้
สวี่ชิงครุ่นคิด แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ทำให้รู้ว่าไม่ว่าเรื่องใดจะมองแค่ภายนอกไม่ได้
การกระทำของจักรพรรดิมนุษย์ก็เป็นเช่นกัน
สวี่ชิงครุ่นคิด เขานึกถึงตอนที่พระราชโองการที่จักรพรรดิมนุษย์ประทานให้หนิงเหยียนหลังจากที่อ๋องเทียนหลันตาย เหมือนจะเข้มงวด แต่ก็แฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้ ทั้งยังใช้คำว่าดื้อรั้นแล้วปล่อยผ่านไป
‘หากว่านี่ก็คือการปกป้องหนิงเหยียนของจักรพรรดิมนุษย์อย่างหนึ่งล่ะ’
จากนั้น สวี่ชิงก็นึกถึงแนวคิดที่ท่านอาจารย์เคยบอกกับตน ให้ตนยืนอยู่ในตำแหน่งแทนที่จักรพรรดิมนุษย์ มองสถานการณ์ทั้งหมดในมุมมองของอีกฝ่าย
‘หากข้าเป็นจักรพรรดิมนุษย์ หลักฐานทั้งหมดชี้มาที่ลูกชาย ข้าจะทำอย่างไร…
‘จักรพรรดิมนุษย์ ไม่ใช่จักรพรรดิของมนุษย์คนเดียว และไม่ใช่บิดาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นจักรพรรดิของทั้งเผ่ามนุษย์…
‘นอกจากนี้ยังมีอีกจุด นั่นก็คือตอนที่ราชเลขาก้าวออกมา เป็นตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วระฆังถามเซียนปรากฏตัวพอดี
‘นี่คือการใช้โอกาสนี้ บ่งบอกให้หนิงเหยียนไปถามระฆังอย่างลับๆ ขณะเดียวกันก็กระตุ้นความเด็ดเดี่ยวของหนิงเหยียนหรือ
‘แน่นอนว่ายังมีอีกความเป็นไปได้ คือในสายตาของจักรพรรดิมนุษย์ จะมีหนิงเหยียนหรือไม่มีก็ได้จริงๆ และเบาะแสทั้งหมดชี้ไปที่หนิงเหยียน เช่นนั้นในมุมมองของเขา ต่อให้หนิงเหยียนถูกใส่ร้าย ก็ยากจะหนีข้อหาสมรู้ร่วมคิด เขาหรือคนข้างกาย จะต้องเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ข้าจึงถูกเรียกมา
‘บางที ทุกอย่างอาจไม่ได้เป็นเช่นนี้ ยังมีความเป็นไปได้อื่นที่ข้าคาดไม่ถึง’
สวี่ชิงครุ่นคิด ความคิดของจักรพรรดิมนุษย์ เขาก็เดาไม่ได้
เสียงก้องของระฆังในตอนนี้ ค่อยๆ หายไปจากฟ้าดิน ราชเลขาหน้าตำหนักก้มหน้า รอพระราชโองการ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงที่ไม่รู้ว่ายินดีหรือโกรธ ราวกับไม่มีอารมณ์ใดแฝงอยู่ในนั้น ดังก้องมาจากวังหลวง
“วังรังสรรค์และคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในเรื่องนี้ คุมตัวไปที่คุกทมิฬ”
“กู่เยวี่ยปี้เซวี่ยน กู่เยวี่ยหนิงเหยียน คุมตัวไว้ที่คุกสวรรค์ในวัง
“ใช้กฎอัยการศึกทั้งในและนอกเมืองหลวงจักรพรรดิ ใช้ค่ายกลตรวจสอบเต็มที่ ปิดค่ายกลส่งข้ามทั้งหมดต่อไป คืนนี้เริ่มบังคับใช้ห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล ให้ห้าวังทมิฬบนแต่ละฝ่ายตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ จากนั้นรายงานกับเรา ในสิบชั่วยาม จะต้องหาดวงตะวันแห่งแสงอรุณที่หายไปให้พบ”
คุกทมิฬอยู่นอกเมืองหลวงจักรพรรดิ มีวังครองกระบี่คอยดูแล คุมขังเฉพาะนักโทษอุกฉกรรจ์ นักโทษเผ่ามนุษย์ที่โหดเหี้ยมอำมหิตทุกคนในหลายปีที่ผ่านมา ล้วนถูกคุมขังที่นี่
ส่วนคุกสวรรค์ในวังจะพิเศษกว่าคุกใต้ดินนี้ นั่นเป็นคุกสำหรับราชวงศ์
จากการที่จักรพรรดิมนุษย์ประกาศพระราชโองการ ท้องฟ้าก็มีอัสนีครืนครัน องครักษ์บนลานทยอยก้าวมา ควบคุมตัวกลุ่มคนที่รวมถึงหนิงเหยียนออกไป
สวี่ชิงไม่อาจห้ามได้ และไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวาง
เขามองหนิงเหยียนถูกพาตัวออกไป พลางวิเคราะห์พระราชโองการของจักรพรรดิมนุษย์ในใจ หากมองการถูกขังไว้ที่คุกสวรรค์ในเชิงลบ สำหรับหนิงเหยียนถือเป็นภัยคุกคามถึงชีวิตครั้งหนึ่ง
แต่หากมองในเชิงบวก ก็เหมือนว่า…นี่จะเป็นการปกป้องคุ้มครองอย่างหนึ่ง
และหลังจากที่ทุกคนถูกคุมตัวไป จู่ๆ ราชเลขาหน้าตำหนักก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าแดนสวี่ ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านเข้าตำหนัก”
สวี่ชิงก้าวไปด้านหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ก้าวขึ้นบันไดมาอยู่ตรงหน้าราชเลขา ประสานมือคำนับเล็กน้อย
ราชเลขาพยักหน้า หันหลังเดินนำไป ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตำหนัก ผู้ที่ร่วมพิธีในตำหนักแต่เดิมก็ทยอยถอยหลังจากไป กระทั่งราชเลขาก็ยังถอยออกไปสองสามก้าว โบกมือด้านนอกวังหลวงเพื่อปิดประตู
ทั้งวังหลวงจึงเหลือเพียงสวี่ชิงกับจักรพรรดิมนุษย์สองคนทันที
สวี่ชิงเงยหน้า จ้องมองจักรพรรดิมนุษย์ แล้วโค้งคารวะ
“คารวะฝ่าบาท”
จักรพรรดิมนุษย์นั่งอยู่บนบันไดขั้นที่เก้า แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างบิดเบี้ยวความว่างเปล่า ทำให้สิ่งที่อยู่ในครรลองสายตาเลือนลางไปหมด มีเพียงดวงตาทั้งสองด้านหลังม่านมุกที่แจ่มชัดอย่างยิ่ง
ถูกสายตาเย็นชา เฉียบคมของพระองค์จดจ้อง ประหนึ่งกลางเหมันต์ฤดู
“สวี่ชิง อัญเชิญกระบี่จักรพรรดิในสมบัติลับของเจ้า ให้มันฟาดฟันข้า!”
เสียงจักรพรรดิมนุษย์ที่สะท้อนในตำหนัก กลายเป็นเสียงที่ดังก้องอยู่เนิ่นนานไม่จางหาย
ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงแข็งค้าง เขาไม่คิดว่าประโยคแรกที่จักรพรรดิมนุษย์ตรัสออกมาในยามที่อยู่กับตนเพียงลำพังจะเป็นเช่นนี้ จึงมองสบดวงตาทั้งสองของจักรพรรดิมนุษย์
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาจึงอัญเชิญกระบี่จักรพรรดิในสมบัติลับออกมา กระบี่นี้…ไม่ขยับเขยื้อน
จักรพรรดิมนุษย์ทางนั้นนั่งตัวตรงมาตลอด คลื่นพลังบนเรือนกายเป็นปกติ ดวงตาทั้งสองไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เอ่ยเรียบๆ ว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดกระบี่จักรพรรดิจึงไม่ขยับ”
สวี่ชิงส่ายหัว
“นั่นเพราะเรามิได้ทำอันใดที่ผิดต่อเผ่ามนุษย์ มิได้ทำอันใดที่ผิดต่อมหาจักรพรรดิ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า!”
เสียงของจักรพรรดิมนุษย์ต่ำทุ้ม กึกก้องในตำหนักใหญ่
และหลังจากที่ตรัสประโยคนี้จบ จักรพรรดิมนุษย์ก็หลับตาลง บทสนทนาที่เรียบง่ายนี้ก็จบลง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา