บทที่ 792 เสวนาเต๋าวังศึกษา
ภายในบ้าน ก็เงียบสงบอีกครั้งหลังจากคนชุดดำจากไป
สวี่ชิงหยิบแผ่นหยกบนโต๊ะขึ้นมา ผสานจิตเทพเข้าไปตรวจสอบช้าๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็ฉายแววเย็นยะเยือก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองนอกหน้าต่างยามค่ำคืน ความหนาวเย็นแทรกซึมผ่านราตรีกาล กลายเป็นพู่กัน
สายลมวิกาลต่างเกรียงผสมสี ความเงียบงันต่างจังหวะ จักรวาลอันไพศาลต่างกระดาษ แสงดาวและแสงจันทร์ต่างน้ำหมึก บรรจงวาดภาพก่อนรุ่งสาง
ร่างเงาของสวี่ชิงค่อยๆ เลือนหายไปจากภาพวาดนั้น จนกระทั่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อปรากฏตัว เขาเดินไปตามถนนในภาพวาด เตร็ดเตร่ไปไกล มุ่งหน้าสู่วังศึกษา
เขาได้ยินมาว่า การแข่งขันระหว่างสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพจะดำเนินไปตามปกติ ส่วนเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีถูกปลดผนึกแล้วคืนนี้
ขณะที่มุ่งหน้าไป แสงอรุณก็ค่อยๆ ชำแรกผ่านความดำมิดของรัตติกาล แสงสว่างนี้กำลังฉีกทึ้งความมืดมิดออกจากกันนำพาความหวังใหม่มาสู่สวรรค์และใต้หล้า
ทุกสิ่งคล้ายจะตื่นนอน ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่
เช่นเดียวกับเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีภายในวังศึกษา ณ เวลานี้
ภายในเจดีย์ขาว เจ้าสายเซียนต่างวิถีนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นคนเดียวมาตลอดคืน
เขามองความมืดที่ค่อยๆ จางหายไป มองแสงตะวันยามเช้าที่สาดส่องลงมา มอง…ร่างเงาที่ปรากฏอยู่ตรงนั้น
ร่างนั้นเหยียบย่ำแสงอาทิตย์ยามรุ่ง สาวเท้าเข้ามาในเจดีย์ขาวทีละก้าว
“ท่านเจ้าสาย”
สวี่ชิงโค้งคำนับ พูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
เจ้าสายเซียนต่างวิถีทอดสายตาบนร่างเงาที่มีแสงอาทิตย์เจิดจ้าอยู่ด้านหลัง เขาจำลูกศิษย์คนนี้ได้ และจำได้ว่าเมื่ออีกฝ่ายเข้าร่วมสายเซียนต่างวิถี สายของเขายังอยู่ในช่วงเสื่อมถอย
ซ้ำเขายังจำได้ว่าเคยคิดว่าลูกศิษย์คนนี้มีพรสวรรค์มาก แต่สุดท้ายเมื่อสายเซียนต่างวิถีฟื้นฟูกลับมายิ่งใหญ่ ผู้มีพรสวรรค์ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ตนย่อมสูญเสียความสนใจในตัวอีกฝ่าย
แต่เขาไม่คิดว่าหลังจากสายเซียนต่างวิถีถูกปลดผนึกแล้ว คนผู้นี้…จะเป็นผู้มาเยือนคนแรกและอาจเป็นคนเดียว
ความรู้สึกเสียดายและโศกเศร้ากลานเป็นความซับซ้อน ขณะที่มันแผ่ปกคลุมในใจเขา สวี่ชิงก็เดินไปที่ชั้นวางแผ่นหยก
เขาอยากหาบันทึกเกี่ยวกับสายผสานเทพภายในสายเซียนต่างวิถี สำหรับเรื่องที่สายผสานเทพมีแนวคิดต่างกับสายเซียนต่างวิถีอย่างสิ้นเชิง ย่อมมีบันทึกของสายเซียนต่างวิถีเขียนไว้มากมาย
โดยเฉพาะจุลสารในยุคแรกเริ่ม แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องแต่งหรืออ้างอิงจากข่าวลือ แต่พอมีมูลอยู่บ้าง
สวี่ชิงตั้งใจจะตรวจสอบให้ละเอียดและครอบคลุมสักหน่อย เพื่อยืนยันการตัดสินใจของตนเอง และวางแผนในใจ
องค์ชายเจ็ดเป็นคนที่ตายไปแล้วสำหรับเขา และเป้าหมายของเขาไม่ได้มีแค่องค์ชายเจ็ดเพียงผู้เดียว
‘ไป๋เซียวจัว…’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เดินไปที่ชั้นวางแผ่นหยกแล้วเริ่มค้นหา
เจ้าสายเซียนต่างวิถีมองสวี่ชิง อ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า
“เสวียนเหลยจื่อ หลังจากวันนี้อาจไม่มีสายเซียนต่างวิถีแล้ว สถานะศิษย์หลักของเจ้า ยกเลิกเองได้เลย เมล็ดพันธุ์ก็ขุดออกได้ จะได้ไม่ส่งผลต่ออนาคต”
เขาพูดพลางหยิบแผ่นหยกออกมาวางไว้ข้างๆ
นี่คือหนังสือรับรองยกเลิกสถานะศิษย์หลัก
วางแผ่นหยกทิ้งไว้แล้ว เขาก็ลุกจากเก้าอี้ ค่อยๆ เดินไปออกไปนอกเจดีย์ขาวทีละก้าว
รุ่งสางมาถึงแล้ว เวลาแห่งการแข่งขันก็ใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน
ทอดสายตามองขอบฟ้า ในใจเจ้าสายเซียนต่างวิถีค่อนข้างอ้างว้าง
เขาไม่รู้ว่าผู้อาวุโสลึกลับผู้นั้นจะปรากฏตัวอีกหรือไม่ ไม่รู้ว่าชะตากรรมของสายเซียนต่างวิถีจะเป็นอย่างไรต่อไป
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นเจ้าสายเซียนต่างวิถีคนปัจจุบัน
ดังนั้น แสงแห่งความมุ่งมั่นจึงค่อยๆ ทอประกายในดวงตาของเขา
‘ไม่ว่าอย่างไร แม้ว่าจะปิดฉาก…ก็ทำลายชื่อเสียงของเซียนต่างวิถีไม่ได้เด็ดขาด!’
เจ้าสายเซียนต่างวิถี ก้าวเดินอย่างมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมความคิดนี้ในหัว มุ่งหน้าสู่ลานพิธีเต๋าวังศึกษา
ภายในเจดีย์ขาว สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของเจ้าสายเซียนต่างวิถี แล้วกลับมาสนใจแผ่นหยกต่อ จนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังแว่วมาแต่ไกล ผู้ร่ำเรียนภายนอกหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ขณะที่เสียงพูดคุยก็ดังจอแจ สวี่ชิงจึงวางตำราลง
เขาพบคำตอบที่ต้องการแล้ว จึงเดินออกจากเจดีย์ขาว แทรกตัวเข้าไปในฝูงชนแออัด
การเสวนาเต๋าระหว่างสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพได้รับความสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งสายเซียนต่างวิถีกำลังประสบเคราะห์ เสวนาเต๋าครั้งนี้ก็ยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เมื่อจักรพรรดิมนุษย์อนุญาตให้การเสวนาเต๋าดำเนินต่อไป
ด้วยเหตุนี้ เสวนาเต๋าครั้งนี้จึงดึงดูดความสนใจทั้งจากผู้ร่ำเรียนของวังศึกษารวมไปถึงขั้วอำนาจต่างๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดิ ซึ่งต่างสรรหาวิธีต่างๆ เพื่อเข้าชมเสวนาเต๋าที่วังศึกษาในวันนี้
ส่วนภายในวังศึกษา สถานที่จัดเสวนาเต๋ามีเพียงแห่งเดียว
นั่นคือลานพิธีเต๋ากลางวังศึกษา
สถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่ รองรับผู้คนได้หลายแสนคน เมื่อหลายปีก่อน เคยมีการจัดเสวนาเต๋าขนาดใหญ่หลายครั้ง แต่ละครั้งต่างก็สร้างความสั่นสะเทือน
ในขณะนี้มีผู้ร่ำเรียนจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้ร่ำเรียนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิที่แห่แหนมาที่นี่
เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ ผู้คนพลุกพล่าน สายตาของพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนจ้องมองไปที่กลางอากาศ
กลางอากาศ มีแท่นแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่สองแท่นลอยอยู่
สีดำและสีขาว เรียบง่าย สง่างาม มีความหมายถึงความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่ง โครงสร้างแปดเหลี่ยมกลายเป็นฐานแท่น เป็นสัญลักษณ์ของจุดบรรจบกันระหว่างแผ่นดินและท้องนภา
ในขณะนี้ มีพลังกดดันแผ่ซ่านออกมาระหว่างท้องนภาและแผ่นดิน ยิ่งมีท่วงทำนองเต๋าแผ่ออกมาจากแท่นเต๋าโบราณทั้งสอง ปกคลุมสี่ทิศกลายเป็นแสงเรืองรอง
บนแท่นเต๋าสีดำมีเจ้าสายผสานเทพนั่งอยู่ เบื้องหลังมีชั้นสูงของสายผสานเทพ รวมถึงพวกศิษย์ตัวแทนสายและองค์ชายเจ็ดนับร้อยคนนั่งขัดสมาธิต่างทรงพลังน่ายำเกรง ขณะที่พลังอำนาจประดุจสายรุ้ง ผู้ร่ำเรียนผสานเทพที่เหลืออีกจำนวนมากต่างนั่งอยู่เบื้องล่าง
และบนแท่นสีขาวฝั่งตรงข้าม มีเพียงเจ้าสายเซียนต่างวิถีนั่งขัดสมาธิอยู่ลำพัง
ความรู้สึกอ้างว้างเกิดขึ้นมาเอง
ขั้วอำนาจจากภายนอกต่างส่ายหน้า ในใจรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน อย่างไร…เมื่อหลายปีก่อน สายเซียนต่างวิถีเป็นสายอันดับหนึ่งของวังศึกษา
ทว่าบัดนี้…
เสียงถอนหายใจเกิดขึ้นในใจของใครหลายคน รวมถึงผู้ร่ำเรียนของสายเซียนต่างวิถีรอบลานพิธีเต๋าวังศึกษาด้วย
เหล่าผู้ร่ำเรียนที่เข้าร่วมสายเซียนต่างวิถีมาวันนี้ทำได้เพียงปิดปากเงียบ
สวี่ชิงก็ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน เขารู้สึกถึงบรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้ได้ แต่ตอนนี้จุดสนใจของเขาคือองค์ชายเจ็ดและ…เจ้าสายผสานเทพบนแท่นเต๋าของสายผสานเทพ
สวี่ชิงมองพวกเขาด้วยสายตาราบเรียบ
เขาไม่ได้รีบร้อนออกไปเปิดโปง แต่กำลังรอให้ละครฉากใหญ่นี้ดำเนินไปถึงช่วงเวลาสำคัญ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นเป็นครั้งที่เก้า จู่ๆ ม่านฟ้าเหนือวังศึกษาก็สั่นสะเทือน จากนั้นมีร่างสองร่างในเสื้อคลุมสีขาวย่างกรายเข้ามาจากปลายฟ้า
ชายชราและคนหนุ่มเดินตามกันมา


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา