บทที่ 791 พุ่งเป้าไปที่ต้นกำเนิด!
เวลาไหลผ่านไป ห่างจากเทศนาเต๋าของสายเซียนต่างวิถีและสายผสานเทพที่นัดไว้อีกหนึ่งวัน
ช่วงนี้ดูเหมือนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์จะสงบ แต่อันที่จริงหลังจากที่เจ้าเขตปกครองประจักษ์ฟ้าส่งเมล็ดพันธุ์วิถีที่เป็นหลักฐานมาให้ พายุก็ใกล้เข้ามา
ดังนั้นภายใต้ความสงบสุขก่อนลมพายุจะโหมกระหน่ำนี้ บรรยากาศเมืองหลวงจักรพรรดิจึงเหมือนเมฆและคลื่นที่ยากจะคาดเดา
ทุกคนกำลังจับตามอง
จับตามองจักรพรรดิมนุษย์ จับตามองสายเซียนต่างวิถี
ไม่ว่าจะในวังศึกษาหรือนอกวังศึกษา สายเซียนต่างวิถีล้วนอยู่ท่ามกลางลมพายุ ยิ่งเพราะถูกปิดผนึกหอคอย ความคึกคักที่ผ่านมาจึงดูเหมือนบุปผาที่เบ่งบานเพียงชั่วครู่แล้วกลับไปเป็นเหมือนดังเก่าอีกครั้ง
คนที่บำเพ็ญวิชาของสายเซียนต่างวิถีช่วงนี้ต่างก็ทุกข์ทรมาน ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนโลกภายนอก
มองเผินๆ เหมือนขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ กำลังรอ รอพระราชโองการของจักรพรรดิมนุษย์
และนึกภาพออกว่าเมื่อประกาศพระราชโองการนี้ออกมา เป็นไปได้มากว่าสายเซียนต่างวิถีจะล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว อำนาจที่ฟื้นคืนกลับมาสลายหายไป กระทั่งตกต่ำยิ่งกว่าที่เคย
อย่างน้อย ความตกต่ำก่อนหน้านี้ ยังบอกได้ว่าตกยุค แต่ตอนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญที่เก็บวิญญาณเผ่ามนุษย์ไปนับล้านคนนั้น ซ้ำยังถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ถูกทั้งเผ่ามนุษย์จับตามอง…
เช่นนั้น นี่ก็คือความผิดร้ายแรงของเผ่ามนุษย์
โดยเฉพาะหลักฐานที่ดูเหมือนจะน่าเชื่อถือ
กระทั่งเมื่อถึงวันที่สายเซียนต่างวิธีจัดการแข่งขันเทศนาเต๋าครั้งใหญ่กับสายผสานเทพ ผู้คนที่รอคอยพระราชโองการของจักรพรรดิมนุษญืที่จะประกาศจากวังหลวง
“ปลดผนึกเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีชั่วคราว อนุญาตให้จัดเทศนาเต๋ากับสายผสานเทพเพื่อพิสูจน์ตน!”
พระราชโองการนี้ ขณะที่ทำให้คนมากมายแปลกใจ ก็เป็นสิ่งที่คนมากมายคาดเดาไว้บ้างแล้ว
สายเซียนต่างวิถีมีคงอยู่มายาวนาน ตอนที่ก่อตั้งวังศึกษาก็เป็นปีที่สายนี้ตั้งตระหง่านและมั่นคง และตั้งแต่บัดนั้นจนถึงตอนนี้ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ที่บำเพ็ญวิชาของสายเซียนต่างวิถีก็มีมากมาย
แม้ต่อมาจะตกต่ำ แต่ด้วยการคงอยู่มาอย่างช้านาน สายเซียนต่างวิถีจึงมีสายสัมพันธ์กับขั้วอำนาจต่างๆ ของเผ่ามนุษย์มากมายตั้งนานแล้ว และมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งที่คนนอกไม่รู้อยู่อีกมาก
นึกภาพออกว่าตอนที่ประกาศพระราชโองการนี้ออกมา จะต้องมีหมากของหลายฝ่ายแฝงอยู่ด้วยแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรู้ได้
สรุปคือสายเซียนต่างวิถีทำลายสายสัมพันธ์ลึกซึ้งของตนที่สั่งสมมานับตั้งแต่ก่อตั้ง และในช่วงเวลาสำคัญนี้ ก็แลกมาซึ่งโอกาสให้กับตัวเอง
โอกาสที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์
ดังนั้นก่อนเทศนาเต๋าหนึ่งวัน ช่วงโพล้เพล้ ประตูเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีในวังศึกษาค่อยๆ ถูกเปิดออก ในที่สุดเจ้าสายเซียนต่างวิถีที่ถูกขังไว้ด้านในก็ถูกปล่อยออกมา ร่างเงาของเขาปรากฏอยู่ตรงนั้น
เวลาครึ่งเดือน เห็นได้ชัดว่าแววตาของเขาฉายแววผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานยิ่งขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ยืนอยู่ตรงนั้น มองถนนในวังศึกษาเงียบๆ
และหลังจากผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาสังเกตเห็นภาพนี้ต่างก็จับตามองจากที่ไกลๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อน บ้างรังเกียจ บ้างทอดถอนใจ บ้างโกรธแค้น บ้างลังเล
ความคิดมากมายแตกต่างไป
ผ่านไปสักพัก เจ้าสายก็หันหลัง กลับไปนั่งในโถงใหญ่เจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีอีกครั้ง เฝ้ารอเงียบๆ
จวบจนเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปทีละนิด ก็ยังไม่มีผู้ร่ำเรียนสายเซียนต่างวิถีคนใดปรากฏตัว
และสายตาของเจ้าสายก็ค่อยๆ หม่นหมอง มีเพียงส่วนลึกที่ซ่อนไฟที่กำลังคุกรุ่นอย่างไม่ยินยอมไว้
ขณะเดียวกัน ด้านนอกวังศึกษา ยามอัสดงผ่านพ้นไป ยามสนทยามาเยือน ลมหนาวพัดผ่านผืนดิน ราวบทกลอน ราวกับร้องไห้เบาๆ ราวกับการระบาย
มันพัดจากกำแพงเมืองเก่าแก่ไกลๆ พยายามพัดฝุ่นละอองที่ถูกหิมะปกคลุม แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงโหมความหนาวเย็นสลายบรรดาความคิดของคนในเมืองหลวงจักรพรรดิ
ราวกับนักกวีอาวุโสที่ใช้บทกวีโศกสลดบอกเล่าประวัติศาสตร์ของฟ้าดิน ยิ่งเหมือนกับผู้สังเกตการณ์ซึ่งไร้อารมณ์ความรู้สึก จดบันทึกความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของโลกใบนี้เงียบๆ
และตอนนี้เอง กลางค่ำคืนที่สายลมเย็นพัดพานี้ ร่างเงาราวกับน้ำหมึกร่างหนึ่ง ขณะที่กลมกลืนไปกับบทกลอน ก็ถักทอเค้าโครงภาพคงค้างเลือนรางในสายลม พุ่งทะยานไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ไกลจากจวนองค์ชายใหญ่อย่างรวดเร็ว
คืนมืดมิดกลืนร่างเงา ลมหนาวอำพรางกลิ่นอายของเขาไว้ ทั้งหมดนี้ ทำให้เขาปรากฏตัวในลานของบ้านหลังนี้ได้อย่างเงียบเชียบ
เป็นสวี่ชิงที่เร่งรุดกลับเมืองหลวงจักรพรรดินั่นเอง
เขายืนอยู่ตรงนั้น สัมผัสไปรอบด้าน
คนชุดดำของสำนักสัจจะวาจาที่ซ่อนอยู่ในวิญญาณคนนั้น แม้จะสวี่ชิงใช้วิชาเทพจนเห็นพฤติกรรมส่วนหนึ่งไปแล้ว แต่ในส่วนนี้ก็มีเพียงแท่นบูชาแท่นนั้นรวมถึงการคารวะของอีกฝ่าย
ส่วนหน้าตา เขายังมองไม่เห็น
เขารู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสำนักสัจจะวาจาแน่นอน และเบื้องหลังของเรื่องนี้ นอกจากสำนักสัจจะวาจา ยังมีคนที่เรียกว่าผู้ว่าจ้างนั่นอีกจากการค้นดูผู้ร่ำเรียนสายเซียนต่างวิถีสองคนนั้น
แน่นอนว่า ผู้ว่าจ้างคำนี้ก็อาจจะอุปโลกน์ขึ้นมา
‘แล้วก็ คนชุดดำนั่น จากที่ข้าผสานไหมวิญญาณเข้าไป ข้าไม่ได้เพียงรู้สึกคุ้นเคยกับไอพลังประหลาดที่แผ่ออกมาจากจิตเทพที่ซ่อนอยู่ด้านในเท่านั้น กระทั่งเสียงขึ้นจมูกเย็นชาก็รู้สึกคุ้นเคยเช่นกัน…’
สวี่ชิงหรี่ตา ผลักเปิดประตูบ้านแล้วเดินเข้าไปด้านใน
ในบ้านมืดสนิท
แต่ในครรลองสายตาเขา ทุกอย่างชัดเจนอย่างยิ่ง
ในบ้านเรียบง่ายมาก เตียงหนึ่งตัว โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว
บนโต๊ะวางตะเกียงน้ำมันที่ดับไฟไปแล้วไว้ดวงหนึ่ง
มองของเหล่านี้ สวี่ชิงหลับตาลง เขาจดจ่ออยู่กับบ้านหลังนี้ร่วมกับใช้การค้นวิญญาณและวิชาเทพของเขา ระหว่างที่หลับตา เขาก็เหมือนย้อนกลับมายังที่แห่งนี้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน
คนชุดดำนั่งอยู่ตรงนั้น ศิษย์สายเซียนต่างวิถีสามคนยืนอยู่ตรงข้าม
เล่นกับไฟในตะเกียงพลางพูดเสียงดังก้อง
ไม่มีใครเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย
สักพัก สวี่ชิงก็ลืมตาทั้งสองขึ้น เดินไปยังจุดที่คนชุดดำนั่งอยู่ก่อนหน้านี้แล้วนั่งลงตรงนั้น เมื่อยกมือขึ้นโบก ตะเกียงน้ำมันเบื้องหน้าก็มีแสงไฟปรากฏขึ้นอีกครั้ง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา