บทที่ 796 ของจัดแสดง
ทันทีที่ท้องนภาสงบเงียบ
ทันทีที่ผืนดินสงบนิ่ง
โลกทั้งใบราวกับเปลี่ยนเป็นเงียบนิ่ง
แต่ตอนนี้ ผู้ร่ำเรียนทั้งหมดในวังศึกษา ขั้วอำนาจต่างๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดิ ในใจพวกเขามีโหมพายุกระหน่ำ จิตเทพทั้งหมด สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่กระบี่จักรพรรดิเหนือวังศึกษารวมถึง…จุดที่องค์ชายเจ็ดหายไป
องค์ชายเจ็ด แหลกสลายไปทั้งร่างกายและวิญญาณ ร่างดับวิถีสลาย จิตวิญญาณยิ่งซ่านกระเซ็น ไร้ซึ่งโอกาสเข้าสู่วัฏสังสาร
ทั้งๆ ที่เป็นองค์ชาย ก็ดับสูญไปเช่นนี้
และนี่คือองค์ชายพระองค์ที่สองซึ่งสวรรคตไปในรัชสมัยที่จักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้นครองราชย์
องค์ชายสิบเอ็ดที่สวรรคตไปตอนนั้น จักรพรรดิมนุษย์ทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่ง ฝนเลือดโหมขึ้นทั้งนอกและในเมืองหลวงจักรพรรดิเพื่อสืบสวนเรื่องนี้ ส่งผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง และมีคนมากมายนับไม่ถ้วนที่ดับสูญ
จนหนึ่งปีให้หลังถึงค่อยๆ สงบลง
และวันนี้…องค์ชายสวรรคตไปอีกหนึ่งพระองค์ ซ้ำยังสวรรคตต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิมนุษย์ ต่อหน้าผู้คนนับหมื่น ถูกกระบี่จักรพรรดิฟาดฟันสังหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิมนุษย์ได้ตรัสแล้วว่าทรงอนุญาตให้องค์ชายใช้ระฆังถามเซียนเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่กลับถูกสวี่ชิงคัดค้าน
ดังนั้น จิตใจที่มีคลื่นโหมซัดกลายเป็นแรงกดดัน ลมหายใจหอบถี่กลายเป็นบรรยากาศที่หนักอึ้ง สายตาจากทั่วสารทิศราวกับจำแลงเป็นภูเขาสวรรค์ซึ่งทรงพลังยิ่งลูกแล้วลูกเล่า
รวมอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิ สั่งสมอยู่ในวังศึกษานี้ สุดท้ายก็ถาโถมไปที่ร่างสวี่ชิง
สีหน้าสวี่ชิงที่อยู่ใต้หน้ากากไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย สายตาราบเรียบ ร่อนตัวลงมาช้าๆ สุดท้ายก็ยืนอยู่บนแท่นเต๋าสีขาว คารวะร่างเงาของปูชนียบุคคลบนฟากฟ้า คารวะผู้ร่ำเรียนวังศึกษาด้านล่าง คารวะเจ้าสายเซียนต่างวิถีด้านหลัง
สุดท้าย เขายกมือขึ้นจับหน้ากาก ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ปลดหน้ากากบนดวงหน้าออก ละวางกฎเกณฑ์ที่ช่วยปิดบังตัวตนของวังศึกษา เผยใบหน้าที่แท้จริงท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของทุกคน
ราวกับแสงแรกของวันส่องกระทบวังศึกษาในพริบตา ทั้งอบอุ่นและเจิดจ้า
ดวงตาใต้คิ้วคมที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงราวกับทะเลสาบ ดุจดั่งดาวเหนือในรัตติกาล เผยความสุขุมเยือกเย็นอันหลุดพ้นจากโลกีย์
ผมยาวทิ้งตัวราวน้ำตก ปลิวพลิ้วไปตามลม ทุกเส้นเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและความเด็ดขาด
ทุกอย่างนี้ ทำให้สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนแท่นเต๋าราวกับเป็นดวงดารากลางท้องฟ้าในราตรีกาล เปล่งประกายเจิดจรัส
ชายชุดผู้ร่ำเรียนของเขาพลิ้วไหวเบาๆ เหมือนเมฆาเคลื่อนคล้อยในบทกวี แสงสีทองที่อาบไล้เรือนกาย ราวกับเป็นเงาของจันทร์กระจ่างซึ่งสะท้อนบนฝืนน้ำฤดูสารท เจิดจ้าพร่างพรายและเงียบสงบสันติสุข
ส่วนกระบี่จักรพรรดิที่พุ่งหวีดหวิวกลับมา ยามนี้ค่อยๆ ผสานกับด้านหลังสวี่ชิง แม้จะค่อยๆ รางเลือนหายไป แต่ตัวตนของมัน คือเครื่องหมายที่บ่งบอกฐานะของสวี่ชิง
สวี่ชิงเงยหน้า ทิศทางสุดท้ายที่มองไปคือจักรพรรดิมนุษย์ในภาพฉายเงาวังหลวงที่ขอบฟ้า
โค้งคารวะให้
ใช้ฐานะผู้ร่ำเรียนคารวะผู้ร่ำเรียน คารวะเซียนต่างวิถี ถอดหน้ากากออก ใช้ฐานะเจ้าแดนคารวะจักรพรรดิมนุษย์
จักรพรรดิมนุษย์เงียบนิ่ง ไม่มีผู้ใดทราบว่าพระองค์ทรงคิดอะไร เห็นเพียงหลังจากที่พระองค์เงียบนิ่งก็หลับพระเนตรลงช้าๆ แม้อ๋องสวรรค์ใต้บังคับบัญชาทั้งสิบสามของพระองค์จะเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่สายตาที่แฝงความล้ำลึกส่วนใหญ่จับจ้องมาที่สวี่ชิง
สวี่ชิงก็ไม่เอ่ยคำเช่นกัน หลังจากคารวะก็มาอยู่ข้างกายเจ้าสายเซียนต่างวิถีที่มีสีหน้าตื่นตกใจ นั่งลงข้างๆ หลับตาลงเช่นกัน
เมื่อคืนนี้ ในห้องนั้น ทันทีที่ได้รับแผ่นหยก เขาก็อัญเชิญกระบี่จักรพรรดิในใจแล้ว ตอนนั้น…กระบี่จักรพรรดิเคลื่อนไหว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมสวี่ชิงถึงมั่นใจว่าองค์ชายเจ็ดจะต้องตาย
ส่วนเรื่องที่องค์ชายเจ็ดตรัสอยู่หลายครั้งว่าจะถามระฆังเซียนเพื่อพิสูจน์ตัวเอง สวี่ชิงไม่คิดจะไปสืบหา และไม่มีทางมอบโอกาสให้อีกฝ่าย ไม่ว่าภาพในแผ่นหยกนั้นจะเป็นจริงหรือไม่
นี่ไม่สำคัญ
กระบี่จักรพรรดิเคลื่อนไหวแล้ว ก็เพียงพอที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้
จากการที่สวี่ชิงหลับตาลง หลังจากวังศึกษาเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ มีเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นการสังหารองค์ชายกับตาสำหรับทุกคน
ผลกระทบระดับนี้ไม่อาจเทียบเทียมกับสิ่งใดได้
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้ร่ำเรียนหรือผู้บำเพ็ญเมืองหลวงจักรพรรดิ ในบรรดาคนที่ครืนครันและสั่นสะท้านที่สุด กระทั่งกล่าวได้ว่าตกตะลึงพรึงเพริดที่สุด…คือองค์ชายพระองค์อื่น
ร่างกายองค์ชายสามที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าวังศึกษาสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม สายตาที่มองสวี่ชิงก็ฉายแววยำเกรงและหวาดกลัว
เขาก็ไม่ได้ใสสะอาดนัก จึงหวาดกลัว
และด้านนอกวังศึกษา องค์ชายใหญ่ องค์ชายสอง องค์ชายสี่ องค์ชายหกกระทั่งองค์ชายสิบ ใจพวกเขาสั่นระรัวขึ้นมาตามสัญชาตญาณ การลงมือเช่นนี้ของสวี่ชิงสำหรับพวกเขา มีอำนาจเทียบเท่าราชครูของเหล่าองค์ชายแล้ว
กระทั่งต่อให้เป็นราชครูขององค์ชาย ก็มีอำนาจเพียงควบคุมวินัย ไม่มีสิทธิ์ฟาดฟันสังหาร
ทุกอย่างนี้ จะไม่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้อย่างไร ในเมื่อ…กระบี่จักรพรรดิฟาดฟันสังหาร เป็นสัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมของเผ่ามนุษย์ จักรพรรดิมนุษย์ก็ไม่อาจทัดทานได้ แล้วคนอื่นจะไปคัดค้านได้อย่างไร
‘อำนาจของเขา…มีมากเกินไป!’ นี่คือเสียงในใจขององค์ชายพระองค์อื่น นอกจากหนิงเหยียน
และตอนสุดท้ายที่สวี่ชิงเลือกนั่งลงข้างๆ เจ้าสายเซียนต่างวิถี ความหมายของฉากนี้ก็ยิ่งแตกต่างไปจากเดิม
ทันใดนั้น สายเซียนต่างในสายตาวิถีผู้ร่ำเรียนและฝ่ายต่างๆ ก็แทบต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
นี่คือสายที่สวี่ชิงเลือก ซ้ำสวี่ชิงยังพิสูจน์ว่าสายเซียนต่างวิถีไม่ได้ชั่วร้าย ใช้การสังหารองค์ชายเจ็ดเป็นพลังอำนาจ ใช้เลือดลบล้างเรื่องที่ทุกคนเข้าใจผิดสายเซียนต่างวิถี ลบล้างสิ่งที่ผสานเทพกล่าวให้ร้าย
แต่ละเหตุการณ์ทำให้ใจปั่นป่วนส่งเสียงครืนครันสนั่นหวั่นไหวตั้งนานแล้ว
ดังนั้นไม่นานนัก แสงรุ้งของแท่นเต๋าสายเซียนต่างวิถีจึงพุ่งพรวดจากความสูงร้อยจั้งไปถึงนับพันจั้ง ผู้ร่ำเรียนสายเซียนต่างวิถีทุกคนที่เคยเข้าร่วม เวลานี้ล้วนตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ส่วนผู้ร่ำเรียนสายอื่น พวกเขาอาจไม่ยอมรับสายเซียนต่างวิถี อาจได้ยินเสียงเล่าลือเรื่องสวี่ชิงมาบ้างแต่ไม่เคยได้พูดคุย จึงยังรู้สึกแปลกหน้า แต่ในยามนี้ได้เห็นกับตาว่าสวี่ชิงสำแดงพลังอำนาจกระบี่จักรพรรดิออกมาโดยไม่กลัวเกรงอำนาจจักรพรรดิ
ฉากนี้นำมาซึ่งผลกระทบอันใหญ่หลวงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับคนรุ่นใหม่
‘มิน่า เขาถึงกลายเป็นเจ้าแดนได้!’
‘ได้ยินว่าเรื่องที่เขตปกครองผนึกสมุทรตอนนั้น ก็เป็นสวี่ชิงคนนี้ที่ก้าวออกมาเปิดเผยสาเหตุพายุในเขตปกครอง!’


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา