บทที่ 810 ความมุ่งมั่นของเอ้อร์หนิว
ภายในศาลเจ้าโบราณ เจ้าวังเซียนคิมหันต์จ้องมองเมล็ดดอกผูกงอิงที่เป็นของสวี่ชิงแต่เพียงผู้เดียวในหน้าต่างที่ก่อจากแสงเทียน จนเมล็ดนี้ผสานเข้าไปในต้นกำเนิดแล้วหายไป
ผีเสื้อน้อยข้างๆ มองภาพนี้อย่างงุนงง สมองค่อนข้างยุ่งเหยิง แม้แต่จะกล่าววาจายังไม่รู้ความ
“หา? มีเพียง…นี่มันอะไรกันเนี่ย ท่านอาจารย์ เขา…เขาโกงเจ้าค่ะ!”
“หลายปีที่ผ่านมา ผู้มีความสามารถบางคนในพสุธาแดนดินคาดการณ์ไว้ว่าทุกวิชาล้วนมีต้นกำเนิด หากมีผู้ครอบครองต้นกำเนิด เช่นนั้นหากจะฝึกฝนวิชานั้นๆ ให้ถึงที่สุดจะยากเย็นยิ่งนัก”
เจ้าวังเซียนคิมหันต์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“พวกเขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของต้นกำเนิดพลังเซียน นี่เป็นเพียงการคาดเดาและวิเคราะห์จากการสังเกตของพวกเขา
“การคาดเดานี้ถูก แต่ก็ไม่ถูก
“ส่วนวิชาของพสุธาแดนดินนั้นมีต้นกำเนิดอยู่จริง น้อยนักที่จะมีเพียงหนึ่งเดียว แต่หากมีผู้ใดทำได้ เช่นนั้นตราประทับก็จะฝังลึก ต้นกำเนิดพลังเซียนจะให้ความเคารพ ไม่อาจลบเลือน เก็บไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษา
“ซึ่งสวี่ชิงผู้นี้ทำได้แล้ว”
น้ำเสียงก้องสะท้อนของเจ้าวังเซียนคิมหันต์เบาลง แทนที่ด้วยความชื่นชม ยกมือขวาขึ้นโบก แสงเทียนกลางอากาศในศาลเจ้าโบราณหมุนวนกลับคืนสู่เทียนบนแท่นบูชา
กลิ่นอายจักรพรรดิก็เจือจางไป ผสานเข้ากับภาพจักรพรรดิต่างๆ ในภาพวาฝาผนังรอบด้าน
มีเพียงเสียงสะท้อนของเจ้าวังเซียนคิมหันต์ที่ยังคงก้องอยู่ในศาลเจ้าโบราณ
ต่อให้ผีเสื้อน้อยจะโง่เพียงใด เมื่อรวมกับถ้อยคำเสียดายของอาจารย์ก่อนหน้านี้ และรับรู้ถึงความชื่นชม จึงรู้สึกร้อนรน กำลังจะแสดงให้เห็น
แต่ในตอนนั้นเอง สวี่ชิงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
แววตาเขาไร้ซึ่งความสับสน กลับเปล่งปลั่งสดใส มีแสงสีม่วงไหลเวียนอยู่ภายใน ส่องประกายราวกับดวงตากลายเป็นดวงดาว
บางที นั่นอาจเป็นดวงดาวจริงๆ
“ขอบพระคุณท่านเจ้าวังขอรับ!”
สวี่ชิงประสานมือคาระเจ้าวังเซียนคิมหันต์อย่างหนักแน่น
“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าส่งมอบเมล็ดพันธุ์วิญญาณให้แก่ต้นกำเนิดพลังเซียน เดิมก็มีคุณูปการต่อพสุธาแดนดิน หลังจากนี้เมล็ดพันธุ์วิญญาณของเจ้าจะถูกแยกออกจากเจตจำนง กลายเป็นวิชา แพร่กระจายไปในอาณาจักรต่างๆ เพิ่มสีสันให้กับวิชาในพสุธาแดนดิน
“และด้วยคุณูปการของเจ้าในครั้งนี้ จึงได้สัมผัสรับรู้พลังวิเศษในต้นกำเนิดพลังเซียน ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผล
“แล้วตอนนี้ เจ้ามีอะไรอยากถามอีกหรือไม่”
เจ้าวังเซียนคิมหันต์พูดมากกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามาจากความชื่นชมต่อสวี่ชิงเป็นหลัก
สวี่ชิงครุ่นคิด มองม้วนภาพทั้งเก้าบนแท่นบูชา
“ท่านเจ้าวัง ผู้เยาว์อยากทราบว่าเหล่าผู้อาวุโสเซียนคิมหันต์ที่สร้างแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ กำเนิดวิถีสวรรค์ในตอนนั้น พวกท่านหายไปไหน และทำไมพวกท่านถึงไม่กลับมาหลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าปรากฏหรือขอรับ”
เสียงของสวี่ชิงล่องลอยไปทั่วศาลเจ้าเก่าแก่ คำตอบที่ได้ยินคือเสียงถอนหายใจเบาๆ ของเจ้าวังเซียนคิมหันต์
“ไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเซียนคิมหันต์ทั้งหกในตอนนี้ บันทึกในวังเซียนคิมหันต์ก็มีข้อมูลเพียงเล็กน้อย
“บางคนไปยังส่วนลึกของนภาจรัส บางคนไปรักษาตัวในพสุธาแดนดิน ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เวลาผ่านไปเนิ่นนานมากแล้ว”
น้ำเสียงของเจ้าวังเซียนคิมหันต์เต็มไปด้วยอารมณ์พิเศษบางอย่าง เมื่อพูดจบ ร่างของนางก็ค่อยๆ เลือนหายไป ผีเสื้อน้อยเองก็รู้สึกถึงความเศร้าสร้อยของอาจารย์ จึงเลือนหายไปด้วย
สวี่ชิงนิ่งเงียบ เขารู้ว่าเขาต้องไปแล้ว
จึงคารวะอีกครั้ง หันหลังเดินไปทางประตูศาลเจ้า ก่อนจะก้าวออกไป เขาหันกลับมามองศาลเจ้าเก่าแก่อีกครั้ง
สายตาของเขาไม่ได้จับจ้องไปที่เจ้าวังเซียนคิมหันต์ที่เลือนหายไปหรือแท่นบูชา หากแต่เป็นภาพฝาผนัง จักรพรรดิองค์แรกของเผ่ามนุษย์ หรือก็คือจักรพรรดิโบราณองค์แรก
เด็กหนุ่มคนนั้นมองขึ้นไปยังท้องฟ้าประดับดารา
หลังจากนั้น สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา ก้าวออกจากศาลเจ้าเก่าแก่
ทันทีที่ก้าวออกมา ศาลเจ้าด้านหลังเขาก็สลายไปเหมือนฟองสบู่ท่ามกลางคลื่นวนหลากสีสัน จนหายไปโดยไม่เหลือร่องรอย
สวี่ชิงหันกลับไปมอง ก็เป็นพื้นที่โล่งกว้าง
ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด
ราวกับนี่เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง และตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าไกล เป็นเวลาเช้าตรู่พอดี จะเห็นว่าท้องฟ้าค่อยๆ สว่างไสวขึ้นจากความมืดมิด
แสงอรุณย้อมสีท้องฟ้าเป็นสีแดง งดงามเหลือจะเปรียบ
แผ่นดินปกคลุมไปด้วยไอหมอกจางๆ ราวกับมีคนคลุมผ้าโปร่งบางไว้ ให้ความรู้สึกลึกลับ
จนกระทั่งแสงอาทิตย์ส่องลงมายังพื้นดิน สายหมอกจึงสลายเหมือนหิมะ เบาบางลงเรื่อยๆ จางหายไป แสงแดดจึงส่องผ่านผืนฟ้าลงมาถึงพื้นดิน ตกกระทบร่างสวี่ชิง
ค่ำคืนผ่านพ้นไป
สวี่ชิงแหงนมองดวงตะวัน ลมหายใจกลายเป็นไอสีขาว ภาพวาดฝาผนังที่เขาได้เห็นสองครั้งผุดขึ้นมาในสมอง
จักรพรรดิโบราณองค์แรกของเผ่ามนุษย์ เด็กหนุ่มคนนั้น…ครั้งแรกที่เขาเห็นก็รู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง ยิ่งได้เห็นตอนก่อนจะออกมา ความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจน
‘เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เขาเดินเหยียบย่ำแสงตะวันแรกอรุณพร้อมกับความคิดนี้ ตรงไปยังที่จวนหนิงเหยียน
หนึ่งชั่วยามต่อมา ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว เมื่อเดินมาถึงทะเลสาบหน้าจวนหนิงเหยียน สวี่ชิงก็ชะงักฝีเท้า มองไปยังผืนน้ำในทะเลสาบ เขาก็หาที่มาของความคุ้นเคยได้เลาๆ แล้ว
“คล้ายกับท่านอาจารย์เลย”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เดินไปบนผิวน้ำทีละก้าว กลับไปยังจวนหนิงเหยียน
เขาไม่เคยเห็นอาจารย์ตอนหนุ่ม แต่แววตาของเด็กหนุ่มคนนั้นคล้ายกับท่านอาจารย์มาก
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองสวี่ชิง เมื่อเขากลับมา เหล่าผู้บำเพ็ญจากเขตปกครองผนึกสมุทรทั้งหมดในจวนซึ่งรออยู่ในลาน เมื่อเห็นสวี่ชิงต่างก็ส่งเสียงโห่ร้อง
หนิงเหยียนอยู่ท่ามกลางฝูงชน รวมถึงข่งเสียงหลง อู๋เจี้ยนอู และหลี่อวิ๋นซาน เจ้าวังแห่งวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรที่นำทัพติดตามสวี่ชิงมายังเมืองหลวงจักรพรรดิด้วย
จื่อเสวียนก็กลับมา พร้อมส่งยิ้มจากที่ไกลๆ
แม้แต่นายกองก็มาปรากฏตัว กำลังกอดคออู๋เจี้ยนอูอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิง เขาก็ยิ้มกว้าง
ที่พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องเป็นเพราะสวี่ชิงเปิดเผยตัวตนในสายเซียนต่างวิถี เพราะชัยชนะในเสวนาเต๋า เพราะสวี่ชิงสร้างบารมีโดยการฆ่าองค์ชายเจ็ด ยิ่งเป็นเพราะการตายของไป๋เซียวจัว!
องค์ชายเจ็ดและไป๋เซียวจัวเป็นศัตรูตัวฉกาจองเหล่าผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร!
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้อง เห็นผู้คนที่คุ้นเคย สวี่ชิงงุนงงเล็กน้อย ในหนึ่งคืนนี้เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมายเกินไป จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงได้ตระหนักว่า…ที่แท้เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงคืนเดียวนับตั้งแต่เสวนาเต๋าเมื่อวาน
ประสบการณ์ในวังเซียนคิมหันต์ ในศาลเจ้าเก่าแก่ที่ปกคลุมไปด้วยกาลเวลาและการผันผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ดูเหมือนกาลเวลาจะส่งผลกับการรับรู้ของสวี่ชิง ทำให้เขารู้สึกคลุมเครือกับกระแสเวลาที่ไหลผ่านไป
ทว่าเขาก็ระงับความรู้สึกนี้ไว้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้ม โค้งคำนับผู้คนที่โห่ร้องสรรเสริญเล็กน้อย
ในฝูงชน ข่งเสียงหลงเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามา ดวงตาเขาแดงก่ำ ตรงเข้ามาหาสวี่ชิง กำลังจะคารวะ สวี่ชิงกลับก้าวเข้าไปกอดเขาไว้
ข่งเสียงหลงหยุดชะงัก จากนั้นจึงกอดสวี่ชิงตอบ
“ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ…”
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา