บทที่ 817 เดินทางในเผ่านภาคิมหันต์
แดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ กว้างใหญ่ไพศาล มองไปสุดลูกหูลูกตา
ตอนนี้เป็นวันที่ห้าของการศึกสงคราม
และบริเวณชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือเผ่ามนุษย์ แนวกำแพงทอดยาวที่สร้างเอาไว้เมื่อเนิ่นนานมาแล้วราวมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง ขวางกั้นระหว่างเผ่ามนุษย์กับต่างเผ่าเอาไว้
แนวกำแพงทอดยาวนี้กว้างใหญ่ ทอดจากทิศตะวันตกไปทิศเหนือ นอนเฉียงอยู่บนผืนแผ่นดิน สีดำสนิท แผ่การสังหารเหี้ยมเกรียมออกมา
จากการเกิดขึ้นของสงคราม ตอนนี้ก็ระงับการเข้าออกแล้วทั้งหมด นอกเสียจากจะมีคำสั่งของอ๋องสวรรค์ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่อนุญาตการข้ามดินแดนทุกกรณี
ส่วนนอกเมืองทมิฬก็คือดินแดนใต้การปกครองของเผ่านภาคิมหันต์ แต่กลับไม่ใช่ของเผ่านภาคิมหันต์โดยตรง แต่เป็นดินแดนหลายๆ แห่งที่เกิดจากรวมกันของเผ่าที่สวามิภักดิ์กับพวกเขาหลายๆ เผ่า พ้นจากแผ่นดินใหญ่ทั้งเจ็ดนี้ไป ถึงจะเป็นดินแดนของเผ่านภาคิมหันต์
เผ่านภาคิมหันต์กว้างใหญ่ไพศาลนัก
“เผ่านภาคิมหันต์รวมถึงเผ่าที่สวามิภักดิ์มีทั้งหมดแปดสิบเจ็ดแดนใหญ่ แม้ทุกพื้นที่จะเทียบไม่ได้กับแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิของเผ่ามนุษย์ แต่ก็น่าตื่นตะลึงเช่นกัน”
เสียงเอื่อยเฉื่อยดังเข้าหูของสวี่ชิง
ตอนนี้ บนท้องฟ้าที่ไกลออกไปจากดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือเมืองทมิฬหมื่นลี้ เรือยักษ์ที่ลากด้วยมังกรเจ็ดตัว จากเสียงคำรามของมังกรที่ดังมา ก็พลันพุ่งทะยานไปยังชายแดนอย่างรวดเร็ว
บนเรือยักษ์มีผู้บำเพ็ญหลายร้อยคน
ทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยเป็นระเบียบ สีหน้าเคร่งขรึม รัศมีอำนาจไม่ธรรมดา ส่วนข้างหน้าสุดมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
คนผู้นี้ดูแล้วเป็นชายกลางคน ร่างกายสูงใหญ่กำยำ สูงกว่าเผ่ามนุษย์ทั่วไปมาก ผมยาวสีดำราวหมึกทั้งศีรษะใช้แถบผ้าไหมสีทองมัดเอาไว้ลวกๆ สะบัดพริ้วไปตามลม
องคาพยพไม่ได้งดงามหล่อเหลา ค่อนข้างจะหยาบกระด้าง ในขณะที่ตาโตคิ้วเข้ม ริมฝีปากบาง ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความทรงอำนาจน่าเกรงขามได้อย่างไร้รูปร่าง กระทั่งว่ามองไกลๆ ก็จะคิดว่าจักรพรรดิมนุษย์อยู่ที่นี่
เขาก็คือองค์ชายใหญ่นั่นเอง
และเป็นคนที่หน้าตาตลอดจนบุคลิกท่วงท่าคล้ายกับจักรพรรดิมนุษย์มากที่สุด
ตอนนี้พระองค์ยืนอยู่ที่หัวเรือ ทอดสายตามองไปยังฟ้าดินที่ไกลๆ สีหน้าเคร่งขรึม ทั่วทั้งร่างเลือดลมเข้มข้น ประดุจดวงอาทิตย์ ทำให้ผู้คนข้างหลังรู้สึกเจิดจ้า
นี่คือกองทัพที่เป็นหลักประกันขององค์ชายใหญ่จากการรับราชโองการส่งทูตออกไปที่เผ่านภาคิมหันต์ คนที่ติดตามมาด้วยนอกจากผู้ใต้บัญชาแล้ว ยังมีขุนนางในห้าวังทมิฬล่างตลอดจนองครักษ์ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนคนที่พูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่องค์ชายใหญ่ แต่เป็นองครักษ์ที่อยู่ในกลุ่มคนทั้งหลายบนเรือยักษ์ หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง
คนผู้นี้สีหน้าเคร่งขรึม เต็มไปด้วยความระแวดระวัง ท่าทางเหมือนจะพร้อมที่จะลงมืออย่างเต็มที่ จงรักภักดีทุกเมื่อ คำพูดของเขาก็ไม่ได้ดังออกมาจากปาก แต่ส่งกระแสจิตมาจากในท้อง…
ในท้องของเขา ในแสงพร่าเลือนสีแดงกลุ่มหนึ่ง สวี่ชิงกำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย
‘ศิษย์พี่ใหญ่ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ด้วยหรือ’
สวี่ชิงเงยหน้ามองรอบๆ
หลายคืนก่อน หลังจากที่เขาไปจากหอเลือนโลกีย์ก็ส่งสื่อเสียงหานายกอง บอกแผ่นการเดินทางของตน อย่างไรเสียนายกองก็จะไปทำการใหญ่ในเผ่านภาคิมหันต์เช่นกัน
นายกองทางนั้นก็เนื่องจากการช่วยเหลือของสวี่ชิงก็จัดการปัญหาใหญ่ไปได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินแผนการของสวี่ชิง ก็รีบตกลง ตามมาอย่างรวดเร็ว ร่วมเดินทางไปกับสวี่ชิง
เพียงแต่ ครั้งนี้เขามีแผนของตัวเอง
‘ย่อมต้องเดินทางไปอย่างลับๆ อยู่แล้ว ข้าจะบอกเจ้าให้นะอาชิงน้อย ในท้องของข้าปลอดภัยและเร้นลับสุดๆ อีกทั้งข้ายังมองเจ้าเป็นคนกันเองถึงได้อนุญาตให้เจ้ามาซ่อนในท้องข้า’
องครักษ์คนนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง สายตาแฝงความระมัดระวังตรวจสอบรอบๆ พลางส่งกระแสจิตไปในท้อง
‘อาชิงน้อย ฐานะของเจ้าในเผ่ามนุษย์แม้ไปที่เผ่านภาคิมหันต์แล้ว จะไม่ทำให้เกิดระลอกคลื่นใหญ่อะไร แต่เจ้าต้องคิดถึงข้า ข้าไม่เหมือนกับเจ้านะ
‘ข้าโด่งดังในเผ่านภาคิมหันต์เป็นอย่างมาก ทั้งเผ่าไม่มีใครไม่รู้จัก หากข้าเดินทางไปอย่างเปิดเผย ข้ากังวลว่าตลอดการเดินทางของพวกเราจะได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเกินไป เจ้าก็รู้ ข้าชอบความเรียบง่าย’
สวี่ชิงพยักหน้า เขาฟังเข้าใจแล้ว ความหมายของนายกองก็คือหากเปิดเผยฐานะเข้าไปเผ่านภาคิมหันต์ก็จะถูกคนมากมายฆ่าตาย
ท่าทางนายกองคงมีชาติหนึ่งที่น่าจะเคยทำเรื่องซึ่งฟ้าพิโรธผู้คนโกรธแค้น ทำให้ทั้งมนุษย์และเทพต่างเคืองแค้นในเผ่านภาคิมหันต์เป็นแน่
นี่ทำให้สวี่ชิงนึกถึงคำบรรยายที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายกองกับเทพชั้นสูงเยวี่ยเหยียน…
‘ดังนั้นพวกเราต้องเข้าไปเงียบๆ เจ้าว่าฐานะของข้าฐานะนี้เป็นอย่างไร วางใจเถอะ ในเมื่อข้ามีวิธีผ่านการตรวจสอบมาได้ ก็ย่อมมีวิธีผ่านค่ายกลป้องกันชายแดน รวมกับการอำพรางกายอยู่ในกองทัพองค์ชาย ไม่มีปัญหา’
เสียงของนายกองได้ใจ
สวี่ชิงกลับยิ่งระแวดระวัง
ท่ามกลางเสียงของนายกองตลอดทาง เรือยักษ์ที่องค์ชายใหญ่ประทับอยู่ก็ค่อยๆ เข้าใกล้เมืองทมิฬเช่นนี้เอง สวี่ชิงมองไม่เห็นบุคลิกหน้าตาโดยละเอียด แต่จากในดวงตาของนายกอง จากการเข้าไปใกล้ ความยิ่งใหญ่ของแนวกำแพงที่ทอดยาวประดุจกำแพงปราการแห่งผืนฟ้า
‘เทียบกับที่เคยเห็นเมื่อก่อนแล้ว เหมือนว่าจะสูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย’
นายกองพึมพำในใจ จากนั้นก็ทำหน้าจริงจังต่อไป
เวลาไม่นานนัก พลังของค่ายกลเมืองทมิฬก็แผ่ออกขยาย กวาดไปยังเรือยักษ์ ต่อให้เป็นหลักประกันขององค์ชาย แต่ในยามสงครามตอนนี้ การตรวจสอบที่จำเป็นก็ยังต้องทำ
และสำหรับเรื่องนี้องค์ชายใหญ่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้พลังของค่ายกลกวาดผ่านไป คนทั้งหลายก็เช่นกัน นายกองทางนี้แอบกัดเลือดก้อนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในฟัน
ระลอกคลื่นพลังค่ายกลแผ่มา หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป ทุกอย่างก็เป็นปกติ
ค่ายกลเมืองทมิฬแยกออกเป็นช่องทางหนึ่ง ทั้งยังแยกซ้ายขวาออกจากกัน ทำให้ช่องทางนี้กลายเป็นพื้นที่อิสระ เหมือนกับประตูบานหนึ่ง มุ่งหน้าไปนอกเมืองทมิฬ
ต่อให้ค่ายกลตรวจสอบว่าไม่มีปัญหา แต่พระราชโองการที่บัญชาองค์ชายใหญ่ไม่ได้อนุญาตให้ตั้งค่ายหรือหยุดพักที่ชายแดน เขาจึงทำได้แค่ผ่านทาง ไม่อาจหยุดพักได้
ยิ่งมีพลังเป็นทางๆ จับเป้าหมายเรือยักษ์
ภายใต้กลิ่นอายนี้ มังกรทองทั้งเจ็ดของเรือยักษ์ เกล็ดทุกเกล็ดก็ขยับไปตามสัญชาตญาณ ลากเรือยักษ์ผ่านไปในประตูทางแยก ทะยานไปที่ทางออกเต็มกำลัง
หลายสิบอึดใจหลังจากนั้น ยามเมื่อเรือยักษ์พ้นไปจากทางแยก มาถึงยังฟ้าดินนอกชายแดนเผ่ามนุษย์ ประตูทางผ่านที่เปิดจากค่ายกลก็ปิดลงทันที
ขั้นตอนทั้งหมด ไม่มีใครพูดอะไร


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา