บทที่ 849 ยอดอัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์
ในเมืองศักดิ์สิทธิ์เกิดเสียงเอ็ดอึง ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ที่เคยท้าทายสวี่ชิงเหล่านั้นต่างคนนัยน์ตาเป็นประกายวาบไหว ไม่มีใครผลีผลามบุ่มบ่าม
สำหรับคนบางส่วนในหมู่พวกเขา คุณค่าของการท้ารบไม่ใช่การลงมืออย่างแท้จริง หากเป็นการสู้เอาชื่อเสียงเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นสวี่ชิงรับคำท้าเลย เบื้องหลังยังมีมือมืดคอยปลุกปั่นกระพือเรื่องราว ผู้บำเพ็ญเหล่านี้จึงเลือกทำตามคนหมู่มาก ส่วนตอนนี้…พวกเขาไม่มีความคิดจะออกมือ
เพียงคิดจะดูเรื่องสนุก
แต่ก็มีผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์บางส่วนอยากไปท้ารบสวี่ชิงใจจะขาด พวกเขาไม่อาจยอมให้เผ่ามนุษย์คนหนึ่งเหนือกว่าเผ่าของตน
ความรู้สึกขายหน้าเช่นนี้ทำให้ใจพวกเขาเดือดดาลอย่างยิ่ง
ผู้บำเพ็ญพวกนี้เตรียมไม้ตายไว้ตลอด ทั้งยังมั่นใจในตัวเอง แม้ได้ยินคะแนนต่อสู้ตลอดทางของสวี่ชิง และได้ยินการตายของรัฐทายาทหมิงหนานแล้ว แต่ว่า…
สำหรับพวกเขา ความหมายของชีวิตไม่ได้สะท้อนที่ความยาวนาน หากเป็นความสว่างไสว
เทียบกับอายุยืนยาวที่ต้องยอมก้มหัวและอยู่อย่างธรรมดา พวกเขาต้องการเปล่งประกายและรุ่งโรจน์ แม้เพียงชั่วพริบตา แต่ชีวิตนี้คุ้มค่าแล้ว
เผ่านภาคิมหันต์เดิมเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งและเป็นเผ่าที่น่ากลัว
ดังนั้นพริบตาต่อมาก็มีผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์หลายสิบคนต่างทะยานขึ้นฟ้าฉับพลัน เผยกลิ่นอายหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่ง กลายเป็นสายรุ้งมุ่งหน้าไปนอกเมือง
ยังมีพลังกายเนื้อฟ้าประทานระเบิดจากตัวพวกเขาเป็นปราณโลหิต
ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ร่องรอยปรากฏในนั้นเป็นสาย รวมพลังของผู้บำเพ็ญหลายสิบคนนี้ ทำให้ม่านฟ้าเกิดคลื่นคล้ายมีมือใหญ่ล่องหนกดทับไปทางสวี่ชิง
หมายจะเชื่อมกายสวี่ชิงเข้ากับแสงโลหิตของประกายสีแดงแล้วทำลายให้สิ้นซาก
จากตรงนี้พอจะเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของนภาคิมหันต์ได้บ้าง
ต้องทราบว่าในพื้นที่ห่างไกลของเผ่ามนุษย์ ผู้บำเพ็ญหวนสู่อนัตตามีชื่อเสียงในแวดวงอยู่นานแล้ว แต่ในเผ่านภาคิมหันต์ พวกเขาเป็นเพียงบุคคลที่โดดเด่นเท่านั้น
ยามนี้หวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งหลายสิบคนพละกำลังแข็งแกร่ง ทะลวงท้องนภากว้างใหญ่ด้วยพลังกดดันและพลังทำลายล้าง พาให้เกิดเสียงแหวกอากาศหวีดคำรามแสบแก้วหู ขณะทะยานออกคูเมืองไม่มีหยุดพักแม้แต่น้อย ต่างคนมุ่งออกมือมาทางสวี่ชิง
ในเผ่านภาคิมหันต์ แม้เป็นการท้ารบ แต่ก็ไม่บังคับให้จำกัดแค่หนึ่งต่อหนึ่ง ในความเข้าใจของเผ่านภาคิมหันต์…ผู้แข็งแกร่งจะไม่ปรากฏในการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงหรือผู้ที่ทำให้คนเชื่อมั่นได้อย่างแท้จริง ต้องสามารถสู้หนึ่งต่อร้อย หนึ่งต่อพัน และแสดงพลังบำเพ็ญโหดเหี้ยมไร้ใดเปรียบที่จะสยบคนรุ่นเดียวกันได้จากการนี้
มีเพียงผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้เท่านั้นถึงจะถูกผู้คนยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานในเผ่านภาคิมหันต์
ดังนั้น การออกมือของพวกเขาจึงไม่มีความลังเลใด ชั่วขณะหนึ่งร่องรอยเป็นสายบนม่านฟ้าคล้ายมีชีวิต กลายเป็นมังกรทองสีเงินร้องคำรนทั่วทิศ
ยังมีของวิเศษเวทไม่ธรรมดาหลายสิบชิ้น ในนั้นมีครบทั้งดาบ หอก กระบี่และทวนมาพร้อมร่องรอยเหล่านั้น ข้างหลังสุดคือพลังกายเนื้อกับพลังวิเศษของผู้บำเพ็ญหลายสิบคนนั้นที่ระเบิดออกมา
ที่นี่กฎเกณฑ์พังทลาย เลือนรางมองไม่เห็น พายุฟ้าร้องตัดกันปั่นป่วน สี่ฤดูแปรฝันไร้ลำดับ ดาหน้ามาทางสวี่ชิงอย่างพร้อมเพรียง
สวี่ชิงเงยหน้า นัยน์ตาแฝงความเยียบเย็น เขาสัมผัสได้ถึงความเลือนรางของกฎเกณฑ์รอบด้าน สัมผัสได้ถึงความบีบอัดที่ส่งมาจากทั่วกาย
ทั้งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกจำกัดอยู่ภายใน
นี่คือปฏิกิริยาที่เกิดจากพลังวิถีสวรรค์ถูกขับไล่ออกจากที่นี้ ทั้งเป็นสัญญาณอันเกิดจากวิถีสวรรค์ของศัตรูเข้าแทนที่ทุกสิ่ง
แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อฤดูกาลที่นี่แปรผันปั่นป่วน พลังธรรมชาติไร้ลำดับ เช่นนั้น…หากตนแข็งแกร่ง แม้ลมภูเขาคลื่นใหญ่ยักษ์ก็ล้วนยากสั่นสะเทือนแม้เพียงนิด
พริบตาต่อมา ไหมวิญญาณหลายล้านเส้นระเบิดออกจากกายสวี่ชิง รวมตัวอยู่ข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว สภาวะเทพเจ้าขั้นที่หนึ่งปรากฏ ตามด้วยสภาวะเทพเจ้าขั้นที่สองและสภาวะเทพเจ้าขั้นที่สาม
สวี่ชิงไม่คิดจะยืดเวลา และจะไม่ให้ศัตรูมีโอกาสตอบโต้ เขาจึงใช้พลังบดขยี้ทันทีที่ออกมือ
นี่คือนิสัยของเขา
ดังนั้นในชั่วพริบตา สภาวะเทพเจ้าขั้นที่สามแผ่คลื่นน่าหวาดกลัว พลังพิษต้องห้ามปะทุ พลังจันทร์สีม่วงเพิ่มพูน เลือดสดกำลังแซ่ซ้อง ฟ้าดินเป็นสีแดงฉาน
ราวกับประกายสีแดงลดลงมาปกคลุมทั่วทิศ บดบังการตรวจหาทั้งหมด
ยามนี้ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม สายตามากมายรวมถึงจิตเทพทั้งหลายล้วนแผ่ขยายออกมา ถึงกับมีบางส่วนลอยขึ้นกลางอากาศเพื่อคอยดูอยู่ไกลๆ
แม้ไม่เห็นเหตุการณ์ภายในประกายสีแดง แต่สามารถรับรู้ผ่านคลื่นได้ประมาณหนึ่ง
ในนี้มีคนดูเรื่องสนุก ทั้งมีคนเตรียมออกมือในคราวต่อไป พวกเขาต่างสังเกตการณ์ คอยจับตาดูพลังรบที่แท้จริงของสวี่ชิง
แต่การแสดงออกของพวกเขาล้วนสุขุมเยือกเย็นเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าสีหน้าหรือภายใน แม้มีความสนใจ แต่ที่จริงไม่ได้สะเทือนมากนัก
เพราะพวกเขาคือกลุ่มเผ่านภาคิมหันต์
เพราะพวกเขาคือหนึ่งในยอดเผ่าแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
เพราะพวกเขาที่อยู่ใต้เทพเจ้าสามองค์ล้วนสูงส่งเหนือเขตแดนส่วนใหญ่ในใต้หล้า ทุกครั้งที่กลุ่มเผ่าออกล่าล้วนสั่นสะเทือนจิตใจเผ่าอื่นได้นับไม่ถ้วน
เกียรติยศที่มาพร้อมกลุ่มเผ่า รวมถึงความทะนงตนเช่นนี้ทำให้พวกเขาไม่แยแสเผ่าที่ต่ำกว่า
ด้านสวี่ชิงก็มีความพิเศษเพราะได้เป็นที่หนึ่งในมหกรรมออกล่า รวมถึงคะแนนต่อสู้ที่ได้มาตลอดทาง
เพียงแต่…ผ่านไปสิบลมปราณ หลังเกิดเสียงหวีดร้องในประกายสีแดงกลางฟ้าดินอยู่เนืองๆ ความสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ทยอยเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับต่างกัน
ครู่ต่อมา เงาร่างผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์สองคนพุ่งออกมาจากประกายสีแดง ต่างคนสีหน้าตื่นกลัว หมายจะหนีให้เร็วที่สุด แต่หนึ่งในนั้นพุ่งออกมาได้ไม่ไกล เสียงหวีดคำรามทอดมาจากประกายแสงข้างหลังเขา
หนวดสีโลหิตที่เชื่อมกันด้วยไหมวิญญาณนับไม่ถ้วนไล่ตามเขามาจากในนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ให้เขาได้ดิ้นรนแม้แต่น้อย เข้ารัดร่างในพริบตา ยิ่งเจาะเข้าร่าง ทะลวงเลือดเนื้อ
และลากไปทันใด
ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ผู้นั้นนัยน์ตาฉายแววสิ้นหวัง ถูกดึงเข้าประกายสีแดง จากนั้นก็ไม่เห็นเหตุการณ์ภายในประกายสีแดงชัดเจน มีเพียงเสียงโหยหวนน่าเวทนาก้องสะท้อนให้คนจิตใจสั่นสะเทือน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา