บทที่ 850 นายแห่งจันทร์สีม่วงถือกำเนิด
อาทิตย์อัสดงลับตา
อย่างน้อยมันจากไปแล้วในวันนี้
สิ่งที่หายไปพร้อมกับมันยังมีประกายสีแดงบนม่านฟ้า ทว่าสีโลหิตบนตัวสวี่ชิงกลับทำให้เกิดสีแดงอีกแบบหนึ่งในค่ำคืนมืดมิดที่กำลังมาเยือน
แสงโลหิตสะท้อนฟ้า
นั่นคือการโอบล้อมของคลื่นโลหิต ทั้งเป็นแสงจากไหมวิญญาณบนกายสวี่ชิง ยิ่งเป็นจิตสังหารในใจเขาที่แผ่ออกมา
เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเทพมารอันเป็นตัวแทนของเลือดและการสังหาร กำลังรอเครื่องสังเวย
และหลังจากความเงียบชั่วขณะ เครื่องสังเวยมาถึงตามเวลา หาได้ผิดต่อจิตสังหาร
สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างแรก คือผู้บำเพ็ญวัยกลางคน คนผู้นี้ไม่ใช่เผ่านภาคิมหันต์ แต่เป็น…เผ่าไป๋เจ๋อ!
เขาเดินมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ทีละก้าว ทุกก้าวที่เหยียบย่างล้วนเกิดเป็นรอยคลื่นใต้ฝ่าเท้า แปลงเป็นดอกบัวสีดำเปล่งแสงสลัว
คลื่นพลังบำเพ็ญหวนสู่อนัตตาขั้นสี่ปรากฏขึ้นบนตัวเขา สัมผัสวิเคราะห์ดูแล้วแข็งแกร่งกว่ารัฐทายาทหมิงหนานเสียอีก
ขณะเดียวกัน ยังมีปราณพิฆาตกระจายอยู่ทั่วกาย
ปราณพิฆาตนี้ไม่เหมือนสั่งสมจากการฆ่าเพียงอย่างเดียว ยิ่งเหมือนร่องรอยที่ผ่านการรบมาโชกโชน
ค่อนข้างคล้ายกับเหล่าทหารร้อยศึกที่สวี่ชิงเจอในเขตปกครองผนึกสมุทร
โดยเฉพาะดวงตาที่สามในนั้น ยามนี้เบิ่งออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นรัศมีความเย็นเยือกและความมั่นใจ
เขาไม่ใช่อัจฉริยะฟ้าประทาน
แต่ถูกกลุ่มเผ่าเรียกตัวกลับมาจากสนามรบวิญญาณทมิฬเพื่อสวี่ชิงโดยเฉพาะ!
ด้วยความพยายามของเผ่าไป๋เจ๋อ ยิ่งทำให้เขาได้สิทธิ์เข้าร่วมมหกรรมออกล่าเฉพาะกาลระหว่างที่งานดำเนินไป
และเผ่าไป๋เจ๋อยังเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันเบื้องหลังเมืองศักดิ์สิทธิ์ในทุกวันนี้
แต่ชัดทีเดียว เผ่าไป๋เจ๋อเล็กๆ คิดจะสร้างคลื่นใหญ่ปานนี้ยังคงไร้ความสามารถ ทว่าคำตอบก็ปรากฏเร็วนัก ขณะเงาร่างผู้บำเพ็ญไป๋เจ๋อผู้นี้เดินออกมา เงาร่างอีกสายหนึ่งก็ก้าวออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ร่างกายผอมสูง มีหกแขนต่างกับเผ่ามนุษย์ชัดเจน ยังมีรอยแยกตรงหว่างคิ้วบนศีรษะตามธรรมชาติกับผิวหนังสีแดงฉาน รวมถึงภาพสัญลักษณ์ประหลาดที่ปรากฏอยู่ทั่วกาย
นั่นคือ…เผ่าคุมหายนะที่รบกับเผ่ามนุษย์ตรงชายแดน!
เผ่านี้เป็นหนึ่งในสามกลุ่มเผ่าใหญ่ใต้อาณัตินภาคิมหันต์ ความสามารถลึกล้ำ ทั้งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเผ่านภาคิมหันต์ ถึงขั้นทำงานใต้บังคับบัญชาสามอุปราช
รับหน้าที่ประกอบพิธีกรรม
พวกเขาคือผู้ผลักดันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องในเมืองศักดิ์สิทธิ์
สวี่ชิงกวาดสายตามองผู้บำเพ็ญสองคนนี้ ไม่แปลกใจแต่อย่างใด ที่จริงในความคิดของสวี่ชิง ไป๋เจ๋อกับคุมหายนะก็เป็นแค่เบื้องหน้าเท่านั้น
เบื้องหลังพวกเขายังมีครอบครัวผู้บำเพ็ญที่ถูกตนสังหารเหล่านั้น แม้แต่อ๋องหมิงหนานก็ต้องอยู่ในนั้นด้วย
นี่ก็เป็นเหตุผลที่สวี่ชิงไม่ได้รับคำท้าก่อนหน้านี้
‘ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่า สำหรับพวกชนชั้นสูงเผ่านภาคิมหันต์ มหกรรมออกล่าครั้งนี้เป็นไปเพื่อการเลี้ยงพิษกู่[1] หมายใช้วิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้เลือกคนรุ่นหลังที่แข็งแกร่งที่สุด’
‘และบทบาทของข้าก็มีไว้เพื่อกระตุ้นอัจฉริยะฟ้าประทานเหล่านี้’
‘พวกเขาจึงปล่อยให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น แต่ถ้ามีคนทำลายความต้องการนี้ ก็เท่ากับสอดมือยุ่งกับแผนของชนชั้นสูงนภาคิมหันต์’
‘เช่นนั้น…หากข้าเป็นชนชั้นสูงนภาคิมหันต์ ตัวกระตุ้นชั้นดีเช่นนี้ย่อมไม่อาจให้อยู่แค่รอบแรกแล้วหายไป อยู่ต่อไปได้เป็นดีที่สุด และเผาเอาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดออกมาในรอบสุดท้าย’
สวี่ชิงมองสองผู้บำเพ็ญที่เดินมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ใจก็นิ่งสงบเช่นกัน
ผู้บำเพ็ญเผ่าคุมหายนะหยุดฝีเท้าอยู่นอกเมืองหนึ่งจั้ง ยกมือขวา เริ่มทำมุทรา
เผ่าไป๋เจ๋อวัยกลางคนผู้มีปราณพิฆาตกลับมีจิตสังหารป่วนปั่น สาวเท้ามาทางสวี่ชิงเร็วขึ้นเรื่อยๆ
แทบในชั่วลมปราณที่เขาพุ่งมา สภาวะเทพเจ้าขั้นที่สามนอกกายสวี่ชิงพลันระเบิดออก ไหมวิญญาณหลายล้านเส้นโอบล้อมทั่วทิศ ร่ายรำร่วมกับคลื่นสีโลหิต
จากนั้นกลับมารวมตัวนอกกายสวี่ชิงอีกครั้งเร็วรี่
พริบตาเดียว ขนนกสีม่วงปรากฏทีละเส้น ทั้งยังมากขึ้นทุกที ขณะกอปรรวมอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นร่างที่มีความต่างกับสภาวะเทพเจ้าขั้นที่สามชัดเจน!
สูงร้อยจั้ง ทั้งตัวล้วนเป็นเลือดเนื้อขนนกสีม่วง ด้านหลังยังมีสองปีกขนาดมหึมา เสียงกระซิบดังจากกายมันก้องสะท้อนทั่วทิศเป็นระยะ
นั่นคือเสียงของเทพเจ้า
ทั้งบังเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจมองไปโดยตรง นัยน์ตาของผู้บำเพ็ญเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดสภาวะแตกต่างกันไป
ขณะเดียวกัน จันทร์สีม่วงดวงหนึ่งค่อยๆ ยกขึ้นด้านหลังสภาวะเทพเจ้าประหลาดของสวี่ชิง เงาร่างนับไม่ถ้วนบนนั้นกำลังหมอบกราบ เสียงจากสาวกทั้งหลายแผ่ขยายออกมา
“จันทร์ดวงใหม่นายแห่งข้า ถือกำเนิดบนแดนต้องประสงค์ สรรพชีวิตนับหมื่นพัน เคารพนายแห่งจันทร์สีม่วง”
“อุทิศวิญญาณแด่นายแห่งข้า แม้สิ้นชีพคอยปกปักรักษา มุ่งหน้าสู่แดนสุขาวดี แลฟื้นชีวีในอีกชาติภพ”
หลังกล่าวบทบูชา บริเวณที่แสงจันทร์สีม่วงแผ่ไปสาดส่องล้วนมีพิษต้องห้าม
ยามนี้ดวงจันทร์บนท้องฟ้าก็มืดมัว ถูกดวงจันทร์ของสวี่ชิงเข้าแทนที่ ฟ้าดิน…ล้วนเป็นสีม่วง
ข้างหน้าเขายังมีนาฬิกาแดดมหึมา เข็มกำลังหมุนวน ก่อเกิดพลังแห่งเวลา ท้องฟ้าบิดเบี้ยว สรรพสิ่งเลือนราง
ด้านล่างเขาปรากฏฐานดอกบัวขนาดใหญ่ ใบบัวทุกใบเป็นตัวแทนพลังอย่างหนึ่งของสวี่ชิง วิหคทอง เขาจักรพรรดิภูติ แสงประกายอรุณล้วนอยู่ในนั้น
หนวดสีม่วงที่พวกมันสร้างยืดขยายออกมา มองไกลๆ สวี่ชิงเหมือนดอกพลับพลึงแมงมุมสีม่วง อานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องหวาดกลัว
นี่คือสภาวะเทพเจ้าขั้นที่สี่ของสวี่ชิง!
ชื่อว่านายแห่งจันทร์สีม่วง!
แม้เป็นการจำกัดความของสภาวะนี้ ภายหน้าอาจแบ่งฝั่งกับหลี่จื้อฮว่าได้ยากด้วยมีพลังต้นกำเนิดเทพแบบเดียวกัน แต่ก็เหมือนที่สวี่ชิงต้องเผชิญหน้ากับการดูดซับไอพลังประหลาดตอนบำเพ็ญครั้งแรก
แทนที่จะไปคิดเรื่องความเป็นความตายในอนาคต มิสู้คิดว่าตอนนี้จะใช้ชีวิตให้ดีกว่าเดิมอย่างไร
ช่วงนี้เขาเลยไม่คิดอะไรอีก กลับเลือกสภาวะนายแห่งจันทร์สีม่วงเป็นสภาวะเทพเจ้าขั้นที่สี่ของตนถาวร
เมื่อสภาวะนี้ปรากฏ ราวกับเทพเจ้ามาเยือนโดยแท้ ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดเมฆปกคลุม
นี่เป็นความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของสวี่ชิงในตอนนี้ คลื่นเข้มข้นจากหวนสู่อนัตตาขั้นสี่ผลักกำลังรบของสวี่ชิงไปถึงขั้นสูงสุด
และยามนี้ ผู้บำเพ็ญทั้งหมดในเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามพากันจิตใจสั่นสะเทือน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอาวุโสในนภาคิมหันต์นัยน์ตายังฉายแววประหลาดใจไปตามๆ กัน
สำหรับผู้แข็งแกร่งอาวุโสเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาสนใจไม่ใช่กำลังรบของสวี่ชิง หากเป็นความลึกลับของเทพเจ้านี้
ร่างเลียนแบบเทพเจ้าเป็นดั่งกระจกเว้านูน สามารถนำกำลังรบพื้นฐานของผู้บำเพ็ญมาขยายเป็นวงกว้าง ความสามารถเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้พวกเขาจับจ้อง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา