บทที่ 90 ประกายสีทองที่ทำให้คนคุ้มคลั่ง
เวลาไม่นาน ตามเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา พวกลัทธินอกวิถีเดินออกมาจากป่า เดินมายังพื้นที่แอ่งกระทะบนภูเขา
พวกเขามีกันทั้งหมดแปดคน ทุกคนล้วนสวมชุดคลุมยาวสีดำปักลายดวงอาทิตย์สีเลือด ในขณะที่สีสันดูแปลกประหลาด ความเย็นเยือกที่แผ่มาจากร่างของพวกเขาก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น
โดยเฉพาะสายตาเย็นชาที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมยาวสีดำที่คลุมปกปิดส่วนศีรษะเผยออกมาให้เห็นบ้างเป็นบางครั้งยามเดินมุ่งหน้ามา ในแววตานั้นไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนว่าสิ่งมีชีวิต ณ ที่นี้ ในสายตาของลัทธินอกวิถี ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น
ความรู้สึกเฉยชาต่อความตายทำให้ความระแวดระวังของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าในพื้นที่แอ่งกระทะเหล่านี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ต่อให้เป็นกลุ่มภูตสมุทรที่ได้ชื่อว่าเหี้ยมโหด ตอนนี้ทุกคนต่างระแวดระวังขึ้นสุดขีด
เพราะเหี้ยมโหดก็เป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ความรู้สึกความเป็นมนุษย์ แต่คนของลัทธินอกวิถีพวกนี้เป็นเครื่องจักรสังหารที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น
การมาเยือนของพวกเขานำความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านตามมาด้วย ลอยอวลไปทั่วทั้งพื้นที่แอ่งกระทะ สีหน้าของผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนสี สุดท้ายก็เลือกที่จะจากไป
สำหรับผู้บำเพ็ญที่จากไป ลัทธินอกวิถีไม่แม้แต่จะชายตามอง หลังจากที่พวกเขามาถึงก็นั่งลงขัดสมาธิ นิ่งไม่ไหวติง
สายตาของสวี่ชิงกวาดไปที่ร่างของลัทธินอกวิถีเหล่านี้ ไม่เห็นพี่ชายของเด็กหญิงในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในตอนนั้น ดังนั้นจึงถอนสายตากลับมา หลับตานั่งสมาธิ
ส่วนชายชราเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ถนนทองผุดไม่ได้กลับไป แต่หาที่นั่งหลบหลีกพิษใกล้ๆ ด้านหนึ่งก็ระแวดระวังสวี่ชิง ด้านหนึ่งก็ระแวดระวังผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ รอบๆ ในขณะเดียวกันก็บ่นพึมพำในใจ
“เจ้าเด็กนี่ตอบตกลงเร็วเช่นนี้ จะอย่างไรก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล วางใจไม่ได้เลยจริงๆ”
เวลาสิบวันก็ผ่านไปด้วยบรรยากาศบนพื้นที่แอ่งกระทะบนยอดเขาที่เยือกแข็งไปเช่นนี้เอง
สิบวันนี้ไม่มีกิ้งก่าทะเลมาเลย
ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งหลายรู้สึกถึงลางสังหรณ์รางๆ ส่วนระลอกคลื่นบนผิวน้ำรอบๆ ก็ค่อยๆ ลดลง ยิ่งเงียบสงบ
เหมือนว่าพายุฝนกำลังจะมา กดดันเป็นอย่างยิ่ง
ผิวน้ำเป็นเช่นนี้ พื้นที่แอ่งกระทะก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน ทุกคนต่างตกอยู่ในความนิ่งเงียบ มีเพียงงูตัวใหญ่ข้างกายชายชราเท่านั้นที่มักจะมองไปทางสวี่ชิงบ่อยๆ ส่งเสียงฟ่อๆ ออกมา
สวี่ชิงไม่เข้าใจจึงไม่สนใจ ทำให้ตัวเองรักษาสภาวะยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ตลอดเวลา
เขาเช็ดกริชแล้ว เหล็กแหลมเขาก็ลับออกมาจนประกายคมยิ่งดุดัน ส่วนที่ว่าจับมือเป็นพันธมิตรก็แค่ตกลงไปตามส่งๆ เท่านั้น สวี่ชิงไม่มีทางเชื่อชายชรา เขาเองก็รู้ว่าชายชราก็ไม่มีทางเชื่อเขาเช่นกัน
และความกดดันของที่นี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในยามพลบค่ำของวันที่สิบเอ็ด
หลังจากที่คลื่นสงบนิ่งมาสิบวัน ทะเลส่งเสียงครืนครันขึ้นในเสี้ยวขณะนี้ เหมือนว่าจะตื่นขึ้นจากการหลับใหล เกิดคลื่นซัดโหมกระหน่ำ
ในยามที่กลิ่นอายที่น่ากลัวโหมบ่าออกมาจากทะเลเป็นระลอกๆ แผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศ ตลบไปทั่วทั้งเกาะ สวี่ชิงก็เห็นที่ผิวน้ำในที่ไกลมีคลื่นวนหลายจุดปรากฏขึ้น กำลังมุ่งหน้ามาทางเกาะอย่างรวดเร็ว
ผู้บำเพ็ญที่สังเกตเห็นภาพนี้มีหลายคน ส่วนมากล้วนนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แต่ล้วนพลังบำเพ็ญโคจรอยู่ ทำให้ตัวเองสามารถลงมือได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าอยู่ทุกเมื่อ
ไม่นานนักคลื่นวนลูกที่หนึ่งก็เข้าใกล้ฝั่ง สัตว์ตัวมหึมาที่มีขนาดถึงห้าสิบจั้ง ทั้งตัวเป็นสีม่วงดำก็ผุดขึ้นมาจากทะเล เหยียบย่างมาบนหาดทรายตามน้ำทะเลที่สาดกระเซ็นไปรอบทิศ
ร่างของมันใต้แสงอาทิตย์อัสดงเหมือนสวมเกราะอัญมณีเอาไว้ชั้นหนึ่ง เกราะอัญมณีนี้เปล่งประกายแสงสีดำเย็นเยือก ดูแล้วเหมือนว่าในขณะเดียวกับที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ก็ยิ่งมีพลังกดดันเหนือระดับรวมปราณปะทุออกมาจากร่าง
ความแข็งแกร่งของรัศมีอำนาจทำให้เม็ดทรายรอบๆ ปลิวฟุ้ง กระจายไปรอบด้าน
เป็นกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐาน!
ไม่ว่าจะเป็นเกราะอัญมณีบนร่างของมัน หรือเป็นเล็บอันคมกริบทั้งสี่ หรือจะเป็นนัยน์ตาขีดตั้ง ล้วนทำให้กิ้งก่าทะเลตัวนี้แผ่การสังหารนับครั้งไม่ถ้วนออกมาทั่วทั้งร่าง
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่ามันมีสติปัญญา หลังจากที่ขึ้นฝั่งมาแล้วสะบัดตัว เงยหน้า สายตาเย็นเยียบกวาดไปที่เกาะ สุดท้ายก็มองไปทางพื้นที่แอ่งกระทะบนยอดเขา สายตาฉายแววดูแคลนออกมา จากนั้นก็ก้าวเท้าก้าวยาวๆ เดินมาด้วยเสียงสนั่นหวั่นไหว
ความแข็งแกร่งของรัศมีอำนาจทำให้ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในเกาะบนภูเขาทุกคนหลังจากที่ได้พบก็ต่างจิตใจตื่นกลัว ลมหายใจถี่กระชั้น สีหน้ายิ่งซีดเผือดไปในทันที มีความรู้สึกเหมือนถูกสยบ
และกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานที่มาไม่ใช่แค่ตัวเดียวเท่านั้น
หลังจากที่กิ้งก่าทะเลตัวแรก กิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานตัวที่สองก็ขึ้นฝั่งตามคลื่นวนที่ใกล้เข้ามา ย่างก้าวเข้าไปในป่าเช่นกัน
จากนั้นก็เป็นตัวที่สาม
และกลิ่นอายของตัวที่สามก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า ร่างมีขนาดถึงร้อยจั้ง มันเดินตามขึ้นมาที่หาดทราย แล้วเงยหน้าคำราม ทันใดนั้นก็เกิดลมพายุรอบๆ พัดกวาดไปทั่วทิศสารทิศทันที ทำให้ต้นไม้ในป่าสั่นไหวรุนแรง
กระทั่งว่าเหล่าผู้บำเพ็ญในพื้นที่แอ่งกระทะที่อยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้นยังสัมผัสได้ถึงสายลมคาวคลุ้งปะทะหน้ามา
พลังกดดันด้านพลังบำเพ็ญประเภทนั้นตอนนี้ยิ่งรุนแรงขึ้น
ต่อให้เป็นสวี่ชิงรูม่านตายังหดเล็กลงอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานตัวที่สามตัวนี้
ในความรู้สึกของเขา สองตัวเแรกก็แข็งแกร่งมากแล้ว แต่ตัวสุดท้ายตัวนั้น เขาเพียงแค่มองแวบเดียวดวงตาก็รู้สึกเจ็บปวดเลาๆ
นี่ทำให้สวี่ชิงสูดลมหายใจ ในหัวเปรียบเทียบพวกมันกับบรรพจารย์สำนักวัชระอย่างรวดเร็ว และคำตอบหลังจากที่นำมาเปรียบเทียบกันคือ ต่อให้เป็นกิ้งก่าทะเลที่อ่อนแอกว่านี้เล็กน้อยสองตัวก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ล้วนฉีกบรรพจารย์สำนักวัชระได้ทั้งเป็นจริงๆ
“ระดับสร้างฐานขั้นกลางสองตัว ตัวสุดท้ายเป็นถึงระดับสร้างฐานขั้นปลาย! สองตัวแรกเมื่อรวมกันแล้วราคาขั้นต้นก็หมื่นก้อนหินวิญญาณแล้ว ส่วนตัวสุดท้าย…แค่ขายไปส่งๆ ก็ขายได้ถึงหนึ่งหมื่นห้าพันถึงหนึ่งหมื่นหกพันก้อนหินวิญญาณ! สวี่ชิง ครั้งนี้พวกเรามาเป็นพันธมิตรกันจริงๆ เถอะ!” ชายชราเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ถนนทองผุดดวงตาฉายประกายวาววาบ เอ่ยปากอย่างรวดเร็ว
คนที่แววตาวาววาบเหมือนกันยังมีผู้บำเพ็ญที่อยู่รอบๆ พื้นที่แอ่งกระทะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มภูตสมุทรหรือชาวต่างเผ่าพวกนั้น ล้วนเกิดความละโมบขึ้นในเสี้ยวขณะนี้ เพราะความเย้ายวนของหินวิญญาณหลายหมื่นก้อนสำหรับราคาในโลกที่ใกล้ล่มสลายและพวกเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญเหล่านี้มันช่างรุนแรงนัก
สวี่ชิงก็สีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน มองกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานสามตัวที่เดินขึ้นมาบนชายหาดตามลำดับก่อนหลัง สัมผัสได้ถึงอันตรายอันแข็งแกร่งแล้ว ขนทั่วทั้งร่างต่างลุกตั้งชัน ผิวหนังยิ่งสั่นสะท้านไปเล็กน้อย
นี่เป็นเพราะความกดดันของกลิ่นอายที่สร้างขึ้น ในขณะเดียวกันร่างกายก็กำลังบอกสวี่ชิงว่า มันเตรียมพร้อมที่จะลงมือแล้ว
‘การออกทะเลครั้งนี้หากได้คราบกิ้งก่าระดับสร้างฐานชิ้นหนึ่ง ข้าก็จะกลับไปพร้อมผลเก็บเกี่ยวมากมาย อีกทั้งพวกนี้ก็เพียงพอที่จะประคองการยกระดับเรือเวทและการฝึกบำเพ็ญของตัวข้า ทำให้ข้าไม่ต้องกังวลเรื่องหินวิญญาณไปได้ช่วงหนึ่ง!’

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา