บทที่ 93 คล้ายวิหคสรวงคล้ายอินทรี
ครู่ต่อมา ร่างของสวี่ชิงที่ปะทะกับม่านฝนก็ปรากฏขึ้นบนชายหาดท่ามกลางสายฝนพรำ
เขาเดินผ่านกองกระดูกที่ถูกฝังกลบอยู่ในดินทรายและถูกสายฝนชะล้างหลายแห่ง มองจากที่ริมหาดออกไปยังมหาสมุทร
มหาสมุทรท่ามกลางม่านฝน ลมพัดคลื่นกระเพื่อมราวกับซ่อนความอันตรายมหาศาลไว้
สวี่ชิงนึกถึงเรือของลัทธินอกวิถีขึ้นมา เวลานี้ไม่อยู่แล้ว
เขารู้ว่าไม่มีระดับสร้างฐานคนใดกล้าขึ้นมาบนเกาะนี้ และไม่กล้าที่จะพำนักชั่วคราวในพื้นที่ทะเลใกล้เคียงด้วย แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าถ้าหากมีระดับสร้างฐานที่เจตนาร้ายจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือคอยคุ้มกันอยู่ที่รอบนอก
รอพวกกลุ่มรวมปราณขนของเต็มตัวกลับไปหลังจากสังหารแย่งชิงคราบกิ้งก่าทะเลบนเกาะ หรืออาจกำลังรอคนที่ส่งเข้าไปกลับมา
สวี่ชิงไม่แน่ใจว่าการเข้ามาครั้งนี้ของกลุ่มภูตสมุทรและคนของลัทธินอกวิถี มีพวกระดับสร้างฐานติดตามมาด้วยหรือไม่ แต่ถ้าหากมี เวลานี้ก็น่าจะได้รับข่าวแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจปิดข่าวการต่อสู้ที่วุ่นวายทั้งหมดเมื่อครู่ได้
ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็ไม่ได้ออกเรือทันที แต่นั่งลงขัดสมาธินิ่งๆ อยู่ตรงนี้ บ่มเพาะพลังบำเพ็ญ ฟื้นฟูพละกำลัง
จนฟื้นกลับมาได้กว่าครึ่ง เขาก็ลืมตาท่ามกลางสายฝน มองไปยังมหาสมุทรที่ห่างออกไป ในสายตามีประกายเย็นเข้มข้น
‘ถ้าหากมีระดับสร้างฐานอยู่จริง…’ หลังจากสวี่ชิงชั่งน้ำหนักในใจ ก็กดจิตสังหารลง
เขาไม่แน่ใจว่าระดับสร้างฐานของอีกฝ่ายมีกี่คน ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะก่อสงครามเลือดต่อ
หลังจากครุ่นคิด สวี่ชิงเดินไปยังริมทะเลหยิบเอาเรือเวทออกมา โบกมือขวา เรือเวทก็ส่งเสียงเอียดอาดออกมา ภายนอกยังคงเดิม แต่ด้านล่างมีเรือเร็วเล็กลำหนึ่งร่วงลงมา
เรือเร็วนี้เป็นสิ่งที่จางซานทำไว้ด้านใน สำหรับใช้งานหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตหรือเรือเวทพัง
มันไม่ใช่เรือเวทที่สร้างตามแบบสำนัก โครงสร้างด้านในก็แตกต่าง ด้านการคุ้มกันกับด้านการโจมตีก็เอาไปเทียบไม่ได้ แต่ได้เสริมพลังความเร็วเข้ามาด้วยการหลอมของจางซาน หลังจากแสดงพลังสูงสุดออกมาในชั่วขณะหนึ่งสามารถระเบิดความเร็วที่มากกว่าเรือเวทเดิมได้ถึงเท่าตัว
เพียงแต่ว่าใช้สิ่งนี้เดินทางในทะเลเป็นเวลานานนั้นเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก
สวี่ชิงจดจ้องครู่หนึ่ง ในดวงตาเผยความเด็ดขาดออกมา เขาหยิบเอาแผ่นหยกควบคุมเรือเวทออกมาจัดการเล็กน้อย หลังจากทำให้เรือเวทเดินทางได้ด้วยตนเองแล้ว ก็จัดการกำหนดเส้นทางขามา เปิดเกราะคุ้มกันให้มัน แล้วส่งมันลอยห่างออกไปด้วยสายตา
มองเรือเวทที่อยู่ไกลๆ สวี่ชิงฝืนความปวดใจไว้ หันหน้าเหยียบขึ้นไปในเรือเร็วข้างๆ
ยืนอยู่บนเรือเร็ว ขณะที่เตรียมตัวออกจากเกาะกิ้งก่าทะเล สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองเกาะแห่งนี้ผาดหนึ่ง
เกาะในม่านฝนเรือนลาง ต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกพัดผ่านอยู่ด้านในเสียดสีกันราวกับเสียงกระซิบ ราวกับกำลังวิพากษ์วิจารณ์ศึกที่ย้อมไปด้วยเลือดศึกนี้
สายฝนยามค่ำคืนสายลมพัดโบก ภูเขาเคลื่อนไหวทว่าตัวคนหยุดนิ่ง
สวี่ชิงมองทั้งหมด ครู่ต่อมาจึงก้มหน้าโค้งตัวลง คารวะไปทางตัวเกาะอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง
“รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
พูดจบ เขาก็หันหลังควบคุมเรือเร็วมุดลึกลงไปในทะเลอย่างไม่ลังเล
ขณะที่เรือเร็วยังไม่ทันลงไปในทะเล สวี่ชิงก็เก็บงำกลิ่นอายทั้งหมด และใช้การมาเยือนของวาฬบรรพกาลปกคลุมมันไว้
จากนั้นท่ามกลางฝนราตรีด้านนอก สวี่ชิงจึงควบคุมเรือตรงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วใต้ท้องทะเล
เรือสองลำหนึ่งโจ่งแจ้งหนึ่งอำพราง แล่นห่างออกไปคนละทิศทาง ด้วยวิธีนี้น่าจะหลีกเลี่ยงการเพ่งเล็งของตัวตนระดับสร้างฐานได้ นี่เป็นวิธีที่สวี่ชิงคิด
และเวลานี้จากการที่เขาออกเรือไป เกาะที่ค่อนข้างเงียบท่ามกลางสายฝนแห่งนี้ จู่ๆ ก็สั่นสะเทือน ค่อยๆ ดำดิ่งลง…ทะเลตีเกลียวคลื่น รอยเลือดสายฝนไม่อาจชะล้างจนหมดจดในเวลาสั้นๆ เพียงพริบตาก็ล้างไปจนสะอาดหมดจด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตอนที่เกาะแห่งนี้ลอยขึ้นมาอีกครั้ง รอยเลือดทั้งหมดบนตัวมันก็ไม่เหลือเลยแม้เพียงน้อย ต้นไม้ใบหญ้าที่ล้มระเนระนาดกับหินภูเขาที่แตกหัก ก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมอย่างมหัศจรรย์
มีเพียงส่วนลึกใต้เกาะแห่งนี้ที่มีดวงตามหึมาคู่หนึ่งลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องมองเรือเร็วที่แล่นห่างออกไปอย่างเงียบเชียบอยู่นาน…ก่อนจะปิดลงอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
สวี่ชิงที่นั่งบ่มเพาะพลังบำเพ็ญอยู่ในเรือเร็วใต้ท้องทะเลที่ความเร็วน่าตกตะลึง สองตาเปิดออกฉับพลัน ล้วงเอาแผ่นหยกควบคุมเรือเวทออกมา ดวงตาหรี่ลงช้าๆ
แผ่นหยกหักไปแล้ว
นี่อธิบายได้ว่าเรือเวทที่ลอยไปด้วยตนเองตามเส้นทางขามา พังยับไปแล้วเรียบร้อย
‘มีระดับสร้างฐานอยู่จริงๆ
‘ถ้าเช่นนั้นจะซ่อนตัวลงไปให้ลึกไม่เคลื่อนไหวจะกว่าดี รอจนการค้นหาของระดับสร้างฐานไม่เป็นผลแล้วค่อยหนีไป หรือว่าจะเพิ่มความเร็วหนีไปตอนนี้เลยดี’
สวี่ชิงครุ่นคิด เลือกข้อหลัง
เขาไม่อยากนั่งรอความตายอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรอันตรายใต้ทะเลก็น่ากลัวเช่นเดียวกัน ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยอมล่าถอยนานเข้าๆ ตนเองก็จะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำได้
เขาไม่อยากเอาชีวิตไปเดิมพันกับการล่าถอยของอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไร
ดังนั้นขณะที่เพิ่มความเร็วเรือ ก็เก็บงำกลิ่นอายตนเองมากกว่าเดิม
ยังดีที่มีน้ำทะเลคั่นไว้ กลิ่นอายเดิมก็ถูกปิดบังไว้มากแล้ว เมื่อประกอบกับสวี่ชิงที่ไม่ต้องกลัวไอพลังประหลาด สิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้เขาดำลงไปได้ลึกขึ้น ทำให้ระดับการถูกกั้นของกลิ่นอายเพิ่มมากขึ้น
เรื่องเดียวที่จำเป็นต้องพิจารณาก็คือตัวเรือเร็วจะทนรับได้หรือไม่
แต่สวี่ชิงรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามาขบคิดปัญหานี้ เรือเร็วแล่นอย่างรวดเร็วใต้ทะเลภายใต้การควบคุมของเขา เพียงไม่นาน ม่านตาสวี่ชิงก็หดลง
เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง ส่งมาจากทางผืนทะเล เหมือนกำลังตรวจสอบค้นหา
สวี่ชิงมุดลงลึกไปอีกหน่อยอย่างเงียบเชียบ เดินหน้าต่อไป
แต่ความอันตรายนั้นก็ยังคงอยู่ตลอด และเรือเร็วเวลานี้ก็เริ่มแบกรับแรงกดดันกับการรุกล้ำของไอพลังประหลาดไม่ไหว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะใช้ไม่ได้อีก สวี่ชิงจึงขมวดคิ้ว เก็บเรือเร็วลงมา แฝงตัวเข้าไปอยู่ในร่างกายอสูรคอยาวบรรพกาลแล้วเดินหน้าต่ออีกครั้ง
จนเวลาล่วงผ่านไปหนึ่งคืนเช่นนี้
อันตรายที่มาจากบนผืนทะเลเบาบางลงเรื่อยๆ แต่มีบางส่วนยังคงอยู่ ราวกับไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรบางอย่างชี้เป้าตัวสวี่ชิงไว้
นี่ทำให้สวี่ชิงไม่กล้าประมาท ขณะที่ขบฟันกำลังจะพุ่งลงไปในทะเลที่ลึกยิ่งกว่า คิดจะหลบหนีออกจากการชี้เป้านี้
และตอนนี้เอง จู่ๆ สวี่ชิงก็จิตวิญญาณสั่นสะเทือน แรงกดดันที่ยากจะพรรณนาได้วูบหนึ่งก็ร่วงลงมาจากฟากฟ้าฉับพลันกะทันหัน
สวี่ชิงอยู่ใต้ทะเลมองไม่เห็นสถานการณ์บนผิวน้ำ แต่สามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของแรงกดดันนี้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระดับสร้างฐานสร้างขึ้น แต่เหมือนสิ่งที่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่บนท้องฟ้าบางอย่างแผ่ซ่านกลิ่นอาย และขณะที่แรงกดดันนี้ปรากฏขึ้น ปราณเหล่านั้นที่เหมือนมุ่งเป้ามายังเขาก็สับสนกันขึ้นมา ราวกับรีบร้อนหลบหนี
ในใจสวี่ชิงสั่นสะเทือน ถือโอกาสนี้เร่งความเร็ว จนพุ่งทะลวงออกถึงอาณาเขตที่ห่างออกมา หลังจากสัมผัสถึงการถูกชี้เป้าไม่ได้แล้ว เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินหน้าต่อใต้ท้องทะเล
แต่เขาเข้าใจว่าทำแบบนี้ต่อไปในระยะยาวไม่ได้ บางทีอันตรายใต้ทะเลอาจจะยังไม่ปรากฏเวลานี้ แต่ซ่อนในทะเลเป็นเวลานาน จะต้องอันตรายยิ่งกว่าแน่นอน
ดังนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าบนผิวน้ำไม่มีอันตราย สวี่ชิงจึงค่อยๆ ลอยตัวขึ้น ตอนโผล่พ้นทะเลขึ้นมาครึ่งหัวเขาก็รีบสำรวจรอบด้าน แต่พริบตาต่อมาเขาก็ถูกภาพบนท้องฟ้าดึงดูดสายตาทั้งหมดไป
ท้องฟ้าเวลานี้ เดิมควรจะเป็นเช้าตรู่ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นสีดำสนิท
สาเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าดำสนิท คือเมฆดำกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง
ขอบเขตของเมฆดำนี้กว้างมาก ยาวนับร้อยลี้ คลุมฟ้าบังตะวัน
อาณาเขตที่สวี่ชิงอยู่ เวลานี้กำลังถูกมันปกคลุมอยู่ในเงามืด
ส่งเสียงลมอัสนี เสียงครืนครันต่อเนื่องในเมฆดำนี้ และมีสายฟ้าอีกหลายสายกำลังแลบแปลบปลาบ ลั่นฟ้าสะเทือนดิน ราวกับเป็นภัยพิบัติแห่งท้องนภา
ทุกที่ที่มันผ่าน มหาสมุทรก่อลมพายุ ราวกับกำลังกราบกรานต่อตัวตนบนท้องฟ้านี้!
ถ้าหากเพียงแค่นี้ยังพอทำเนา สิ่งทำให้สวี่ชิงตกตะลึงคือด้านในเมฆดำที่กำลังเคลื่อนไหวผืนนี้ มีตัวตนระดับที่จินตนาการไม่ได้เผยร่างกายออกมาส่วนหนึ่งตนหนึ่งแฝงอยู่ ทำให้เลือดเนื้อสวี่ชิงแข็งค้างไปทั้งร่าง จิตวิญญาณกำลังส่งเสียงครืนครัน หัวสมองขาวโพลนราวกับมีแรงสะกดด้วยพลานุภาพต่อสิ่งมีชีวิต
มีเพียงดวงตาที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ ทำให้เขามองเห็นด้านในเมฆดำชัดเจน มองเห็นรูปร่างเลือนลางของตัวตนที่น่ากลัวนั่น
นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่ดูคล้ายวิหคสรวงคล้ายอินทรี มีเปลวไฟสีดำเผาไหม้ทั้งร่าง!
หัววิหคสรวง คองู คางนางแอ่น หลังเต่า หางปลา!
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา