บทที่ 934 รับราชโองการมาวางมาด
เนื้อหาในราชโองการเกี่ยวกับคณะทูตเผ่าไป๋เจ๋อและคุมหายนะทั้งสองเผ่านี้ที่เดินทางมา
พูดง่ายๆ คือ เผ่าพันธุ์ที่สวามิภักดิ์กับเผ่านภาคิมหันต์ทั้งสองเผ่านี้ การมาเยือนครั้งนี้ก็เพื่อลงนามสัญญาณยุติสงครามและหลังจากนี้ไปอีกพันปี แต่เหตุการณ์ไม่ได้ราบรื่น
เกิดสัญญาณที่คล้ายว่าจะเปิดสงครามกันใหม่อยู่หลายครั้ง
แม้เรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้ แต่สองเผ่านี้ท่าทีแข็งแข็งกร้าว ข้อเสนอที่ยื่นมาทั้งหลายก็ไม่สมเหตุผล
หากยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไป สำหรับพิธีเซ่นไหว้บรรพชนที่กำลังจะเริ่มในไม่ช้านี้ ก็จะไม่นับว่าสมบูรณ์แบบ
ดังนั้น…ในตำหนักใหญ่วังหลวง มีคนเสนอให้เชิญสวี่ชิงออกหน้าไกล่เกลี่ย
เรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจากขุนนางทั้งหลาย ดังนั้นจึงมีราชโองการฉบับนี้มา
สวี่ชิงแม้จะกำลังปิดด่านศึกษาค้นคว้า แต่ในเมื่อมีราชโองลงมาก็ยากที่จะปฏิเสธตรงๆ โดยเฉพาะเรื่องนี้ก็ต้องให้เขาออกหน้าจริงๆ ถึงจะเหมาะสม
ดังนั้นหลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นออกไปจากสายเซียนต่างวิถี เดินออกไปจากวังศึกษา มุ่งหน้าไปยังหอประสานเชื่อมไมตรีที่กำลังหารือเจรราเรื่องนี้อยู่
เขาเดินไม่เร็ว เดินไปข้างหน้า ในใจพลางใคร่ครวญผลเก็บเกี่ยวของหนึ่งเดือนนี้
ในช่วงนี้เขาได้อ่านศึกษามรดกและตำราทั้งหมดของสายเซียนต่างวิถีครบทั้งหมดโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่มีตกหล่นเลย
ในนั้นไม่เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงของรูปแห่งเทพเจ้าเหล่านั้นเท่านั้น แต่มีความรู้ประสบการณ์ของผู้บำเพ็ญก่อนหน้ามากมาย ตลอดจนจินตนาการต่ออนาคตของสายเซียนต่างวิถีด้วย
เหล่านี้ล้วนเป็นเหมือนสารอาหารหล่อเลี้ยงซึมไปในจิตใจสวี่ชิง
ความคิดรางเลือนความคิดหนึ่งค่อยๆ ก่อเป็นเค้าร่างขึ้นมาในสมองสวี่ชิงทีละนิดๆ
เค้าร่างนี้ก็คือเคล็ดวิชาที่เป็นเฉพาะตัวสายเซียนต่างวิถีที่เขาสร้างขึ้นมาซึ่’สอดคล้องกับตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบในระดับหวนสู่อนัตตา
เพียงแต่การคิดค้นขึ้นใหม่เรื่องแบบนี้เดิมก็ยากลำบากอยู่แล้ว โดยเฉพาะสายเซียนต่างวิถีที่มีนิยามที่มากกว่าแบบนี้
ดังนั้นความยากของมันย่อมยิ่งมีมาก
แต่สวี่ชิงก็ไม่ได้ร้อนใจ เขามีทิศทางแล้วอยู่เลาๆ
“ยังต้องทำให้มันสำเร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังต้องลองอีกหลายครั้ง ถึงจะยืนยันได้ในท้ายที่สุด…”
สวี่ชิงพึมพำ คิดไปด้วยเคลื่อนไปข้างหน้าด้วย มือขวาประเดี๋ยวๆ ก็ยกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ประสานปางมือไปตามความคิด
เช่นนี้แล้ว ร่างของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏภาพอันแปลกประหลาดขึ้นมา
เห็นเพียงทั่วทั้งร่างของเขาประเดี๋ยวรางเลือน ประเดี๋ยวชัดเจน ประเดี๋ยวเกิดเงาทับซ้อน ประเดี๋ยวก็หายไปโดยสมบูรณ์ แล้วจู่ๆ ก็มาปรากฏขึ้นที่ไกล
นอกจากนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่เจ้าสายเซียนต่างวิถีสัมผัสได้ในวันนั้นจากร่างของเขา ในตอนนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น มีเค้ารางๆ ว่ายังมีเส้นไหมกฎเกณฑ์อีกจำนวนหนึ่งปรกาฏขึ้นจากความว่างเปล่า กะพริบวูบวาบรอบตัวเขาผ่านไป
แต่เขาไม่ได้คว้าเส้นใดไว้เลย
เพียงแค่สัมผัสเงียบๆ สังเกตเงียบๆ เท่านั้น
เช่นนี้เอง เวลาจากฝีเท้าของเขาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปทีละนิดๆ
ตอนนี้ ณ หอประสานเชื่อมไมตรีในเมืองหลวงที่เอาไว้ต้อนรับต่างเผ่าโดยเฉพาะ การเจรจาที่ยืดเยื้อมาเดือนกว่าแล้ว ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด
ในตำหนักแห่งนี้ ด้านซ้ายคือผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ โดยมีองค์ชายใหญ่เป็นผู้นำ รับผิดชอบเรื่องการลงนามและเจรจาครั้งนี้
สมาชิกของกรมประสานไมตรีคอยช่วยเหลือสนับสนุน ขณะเดียวกันก็มีอ๋องสวรรค์คนหนึ่งมาดูแลที่นี่ด้วย
อ๋องสวรรค์ผู้นี้เป็นผู้หญิง ก็คืออ๋องรั่วหลันที่มีข่าวลือว่ามีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกับองค์ชายหกนั่นเอง
ตอนนี้นอกจากอ๋องรั่วหลันที่หลับตา สีหน้าสงบนิ่งแล้ว คนอื่นๆ ล้วนสีหน้าอึมครึม มองผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่อยู่ตรงข้ามพวกเขาอย่างโมโห
ที่ตรงข้ามของที่นั่งของเผ่ามนุษย์ ซึ่งก็คือด้านขวาของตำหนักหอประสานเชื่อมไมตรี มีตัวแทนของเผ่าไป๋เจ๋อและเผ่าคุมหายนะนั่งอยู่ ทั้งหมดหลายสิบคน
ส่วนใหญ่ล้วนในสายตาเย็นชา แฝงด้วยความหยิ่งยโส แม้น้อยนักจะมีคนเอ่ยปาก แต่กลิ่นอายในร่างกลับเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด
โดยเฉพาะในสองเผ่านี้ต่างมีคนหนึ่ง นั่งอยู่ตรงนั้นทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัวครั่นคร้ามออกมา เป็นอ๋องสวรรค์ของแต่ละเผ่าสองเผ่านี้นั่นเอง
แม้จะไม่ใช่ระดับเตรียมสู่เทวะ แต่ก็เหมือนจะมีโลกใบ สองใบ สายตาจับจ้องไปที่ร่างของอ๋องรั่วหลัน แฝงไว้ด้วยแววดูถูก
ส่วนสามสี่คนนั้นที่เป็นตัวแทนเจรจาของทั้งสองเผ่ายิ่งวาจาเฉียบคม สำหรับเนื้อหาในสัญญาบางอย่างก็ไม่ถอยให้แม้เพียงครึ่งก้าว กลับยกระดับความต้องการให้สูงขึ้นเกินขอบเขตอย่างไม่เกรงใจ
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเจรจาอีกแล้ว พื้นที่ที่ถูกยึดครอง พวกเราเผ่าไป๋เจ๋อไม่มีทางถอยออกไปเด็ดขาด!”
“ส่วนเรื่องเชลย เผ่าคุมหายนะของเรายอมแลกกับเผ่ามนุษย์ด้วยจำนวนหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น ส่วนเชลยเผ่ามนุษย์ที่เหลือพวกนั้น พวกเจ้าจะต้องซื้อตัวกลับไปตามราคาของพวกเรา”
“เป็นถึงเผ่ามนุษย์ ทำไมกับแค่ไถ่ตัวเชลยก็ยังตระหนี่ถึงเพียงนี้”
“แล้วก็ เพื่อเพิ่มไมตรีระหว่างเผ่า ทำสัญญาพันปี ดังนั้นต่างทำการแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาลับในเผ่า ย่อมต้องกระทำอย่างยุติธรรม จะต้องแลกหนึ่งต่อหนึ่ง!”
สำหรับคำพูดเหล่านี้ ฝ่ายมนุษย์ล้วนสีหน้าอึมครึม องค์ชายใหญ่ทางนั้นหลังจากเงียบไปสามสี่อึดใจ ก็เปลี่ยนท่าทีจากตอนที่อยู่เผ่านภาคิมหันต์ สายตาแปรเปลี่ยนมาดุจสายฟ้า
“พื้นที่ที่พวกเจ้าสองเผ่ายึดครอง น้อยไปหนึ่งจั้ง พวกเราเผ่ามนุษย์ก็จะยิงดวงตะวันแห่งแสงอรุณหนึ่งดวง หากพวกเจ้าอยากจะลองดู พวกเราเผ่ามนุษย์ก็พร้อมจะสู้ถึงที่สุด”
“ส่วนไถ่คนของเผ่าเรากลับคืน แม้พวกเจ้าจะเสนอราคามาสูงเกินจนไร้ขอบเขต แต่เรื่องนี้…ฝ่ายเรายินยอม!”
“แต่ว่าการแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาลับในเผ่า เผ่ามนุษย์เราประวัติศาสตร์ยาวนาน เคยรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่ง เคล็ดวิชาลับที่ทิ้งเอาไว้จะใช่จำนวนที่เผ่าที่สวามิภักดิ์เผ่านภาคิมหันต์อย่างพวกเจ้าทั้งสองเผ่าจะมาเทียบได้อย่างไร คู่ควรมาแลกหนึ่งต่อหนึ่งกับพวกเราด้วยหรือ”
“เรื่องนี้น่าขันนัก สามสิบแลกหนึ่ง ไม่เช่นนั้นไม่แลก!”
ได้ยินองค์ชายใหญ่เอ่ยปากเช่นนี้ ตัวแทนเผ่าไป๋เจ๋อและเผ่าคุมหายนะทั้งสองเผ่า ต่างกลิ่นอายปะทุพวยพุ่งขึ้นมาทันทีประกายแสงเย็นเยือกฉายในดวงตา
สำหรับพวกเขาแล้ว ยินยอมยุติสงครามเดิมก็เป็นบุญคุณอย่างหนึ่งแล้ว และความจริงแล้วในใจของพวกเขาไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่คำสั่งของเผ่านภาคิมหันต์ก็ไม่อาจขัดขืนได้
ดังนั้นภายใต้จิตใจเช่นนี้ การเจรจาหารือครั้งนี้ย่อมไม่มีทางราบรื่น มีท่าทีกำเริบเสิบสานอวดดีเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องปกติ
กระทั่งว่าสำหรับพวกเขา หากไม่ใช่ว่าเผ่านภาคิมหันต์ขัดขวาง ทำสงครามต่อไป แม้จะไม่ถึงกับกลืนกินเผ่ามนุษย์ แต่เรียกเผ่าที่สวามิภักดิ์เหล่านั้นมา โจมตีพร้อมกัน อย่างน้อยๆ โจมตีเผ่ามนุษย์จนสาหัสย่อยยับนั่นก็ยังทำได้
ดังนั้นอ๋องสวรรค์ของทั้งเผ่าไป๋เจ๋อและเผ่าคุมหายนะ ตอนนี้จิตสังหารในดวงตาแรงกล้า ส่วนอ๋องรั่วหลานที่อยู่ทางนั้นก็ดวงตาวาวโรจน์ ไม่ถอยให้แม้แต่น้อย
นางแม้จะเป็นผู้หญิง แต่นิสัยฉุนเฉียว เทียบกับผู้ชายทั่วไปแล้วยิ่งชอบการฆ่าฟัน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา