บทที่ 95 เจ้าหนี้มาหาถึงที่
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน แสงแดดเจิดจ้า ดวงอาทิตย์ลอยสูงอยู่บนฟ้า คนทั่วไปยากจะจ้องมองตรงๆ ได้
กู้มู่ชิงที่ตอนนี้ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์สว่างไสวเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าเซียน
ชุดนักพรตสีส้มอ่อนแม้จะปกปิดเรือนร่างนาง แต่ส่วนโค้งเว้าสมบูรณ์แบบบนเรือนร่างไม่ใช่สิ่งที่เสื้อผ้าอาภรณ์จะปกปิดได้เลย จินตนาการได้ว่าใต้อาภรณ์ซ่อนรูปร่างอรชรอย่างไรเอาไว้
เรียวแขนงามอ่อนนุ่มประดุจรากบัวหิมะที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อ ต้นคอเรียบเนียนงดงาม อีกทั้งเส้นผมทิ้งตัวดุจน้ำตก รวมกับผิวที่เนียนนุ่มละเอียด ช่างงดงามหยาดเยิ้มนัก
ภาพงดงามนี้เมื่ออยู่ในสายตาจางซาน สีหน้าของเขาเหม่อลอยไปเล็กน้อย ใบหน้าแก่ๆ แดงขึ้นมา แต่สวี่ชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ในที่มืด สีหน้ากลับมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร สายตาประเมินไปที่คอของหญิงสาวข้างหน้าคนนี้อย่างเย็นชา
ผู้หญิงคนนี้สวยหรือไม่สำหรับสวี่ชิงแล้วไม่สำคัญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจออีกฝ่าย ศิษย์หลักที่เขาพบเห็นในเมืองหลักมีไม่มาก ดังนั้นแวบเดียวก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่เจอที่ร้านขายยาเมื่อหลายเดือนก่อน
วันนั้นแค่เดินผ่านเฉยๆ แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับสามารถเรียกชื่อตนได้ นี่ทำให้สวี่ชิงยกระดับความระแวดระวังขึ้นถึงขีดสุด ดังนั้นเขาจะต้องยืนยันว่าอีกฝ่ายมีพลังที่สามารถเป็นภัยคุกคามกับชีวิตของตนหรือไม่
หลังจากกวาดตามอง สวี่ชิงก็ได้ผลวิเคราะห์ในใจ หากลงมือจริงๆ เขามีความมั่นใจสังหารอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายพอใช้ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นจากท่ายืนหรือความระมัดระวัง ล้วนแต่สู้ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่เกาะกิ้งก่าทะเลไม่ได้เลย
ส่วนฐานะศิษย์หลักของยอดเขาที่สอง วิเคราะห์ว่ายอดเขาที่สองฝึกฝนวิถีลูกกลอนเป็นหลัก ดังนั้นสวี่ชิงจึงวิเคราะห์รอบๆ สำรวจหาว่ามีร่องรอยของพิษหรือไม่
“ศิษย์น้องสวี่เจ้าอย่าได้แปลกใจไป ชื่อของเจ้าศิษย์พี่จางซานไม่ได้เป็นคนบอก แต่ข้ารู้มาโดยบังเอิญ” กู้มู่ชิงแย้มยิ้มอ่อนหวานงดงาม น้ำเสียงสดใสมีชีวิตชีวา ไพเราะจับใจนัก
จางซานที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้น รู้สึกเพียงว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าคนนี้สมแล้วที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดสตรีของยอดเขาที่สอง คำเรียกศิษย์พี่จางซานนี้เรียกได้น่าชื่นใจเหลือเกิน
ดังนั้นแล้วจึงหัวเราะฮ่าๆ กำลังจะพูดอะไร แต่เสียงราบเรียบของสวี่ชิงก็ดังมา
“ข้าไม่ได้แปลกใจ”
“เอ่อ…” จางซานมองสวี่ชิงแวบหนึ่ง ในใจลอบถอนหายใจ แอบพูดในใจว่าสวี่ชิงเอ๋ยสวี่ชิง สาวน้อยเป็นฝ่ายกระตือรือร้นแบบนี้ ไยเจ้าถึงยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรอีก นี่หากเปลี่ยนเป็นตนจะต้องเดินไปหาเรื่องพูดคุยสร้างสัมพันธ์ด้วยทันทีแน่นอน จากนั้นก็เชื้อเชิญอีกสักหน่อย บุพเพวาสนานำพาแล้วไม่ใช่หรือ
กู้มู่ชิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ หยิบเอาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมา วางไว้ที่ฝ่ามือ ยื่นไปข้างหน้าสวี่ชิง
“ศิษย์น้องสวี่ชิง ลูกกลอนขาวของเจ้าทั้งหมดล้วนขายให้กับร้านของข้า ข้าศึกษาลูกกลอนของเจ้ามานานมากแล้ว สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดความบริสุทธิ์ของลูกกลอนนี่ถึงได้สูงถึงเพียงนี้”
สวี่ชิงกวาดตาแวบหนึ่ง จำได้ว่านี่เป็นยาลูกกลอนของตนจริงๆ ดังนั้นเมื่อครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่หยิบเอาคราบกิ้งก่าทะเลออกมาสามสี่ชิ้น
“คราบกิ้งก่าทะเลระดับรวมปราณขั้นแปดห้าร้อยสามสิบก้อนหินวิญญาณ ขั้นเก้าเก้าร้อยหกสิบก้อนหินวิญญาณ ส่วนที่เป็นระดับบริบูรณ์หนึ่งพันสี่ร้อยก้อนหินวิญญาณ เจ้าต้องการกี่ชิ้น”
ราคาที่สวี่ชิงบอกไปเป็นราคาขายของร้านค้า เขาคิดว่าขายให้กับร้านค้าน่ากลัวว่าคงขายไม่ได้ราคานี้ ในเมื่อกู้มู่ชิงที่อยู่ข้างหน้าคนนี้อยากจะซื้อ สำหรับตนแล้วขายให้นางได้กำไรมากกว่า
กู้มู่ชิงมองคราบกิ้งก่าทะเลเหล่านั้นดวงตาก็วาววาบ แค่ไม่ได้ซื้อทันที กลับถามคำถามก่อนหน้านี้ต่อ เหมือนว่าหลังจากที่นางจำสวี่ชิงได้ นางก็เบนความสนใจจากคราบกิ้งก่าทะเลแล้ว
คิ้วของสวี่ชิงขมวดเล็กน้อย แต่คิดถึงว่าร้านของอีกฝ่ายซื้อลูกกลอนขาวของตนไปมากมาย อีกทั้งหลังจากนี้ก็จะซื้อคราบกิ้งก่าทะเลของตน ดังนั้นจึงตอบกลับไปอย่างมีน้ำอดน้ำทน
“ในขั้นตอนการหลอม ใส่ดอกเชียนหนิวราตรีในปริมาณที่เหมาะสมลงไปเล็กน้อยก็จะเพิ่มความบริสุทธิ์ได้นิดหน่อย”
เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็เผยท่าทีคล้ายครุ่นคิด หลังจากนั้นก็เอ่ยปากถามอีกครั้ง สีหน้าท่าทางเกรงใจมาก แต่ความไม่สบอารมณ์ในใจสวี่ชิงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง การได้รับความรู้ในความเข้าใจของเขาจะได้ไปเปล่าๆ ไม่ได้
อีกฝ่ายทำเช่นนี้เกินควรไปหน่อยแล้ว
ศิษย์พี่ติงก่อนหน้าเข้าใจหลักเหตุผลนี้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ถามล้วนมอบของที่มีราคาในระดับหนึ่ง
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ตอบคำถาม กลับย้อนถามเรื่องเกี่ยวกับยา
“เลือดสีฟ้าของแมงดาพรายปรารถนามีวิธีอะไรที่ทำให้ความเป็นพิษของมันสูงขึ้นอีกทั้งรักษาได้นานขึ้นหรือ”
กู้มู่ชิงครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยตอบมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“จุดนี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อน สิ่งที่ท่านอาจารย์สอนล้วนเป็นสมุนไพรหยางทั้งสิ้น ข้าว่า…หากเป็นข้า ข้าจะเติมชายอดหิมะลงไป ใช้ความหนาหนักของชายอดหิมะเพิ่มความเป็นพิษของแมงดาพรายปรารถนา”
สวี่ชิงได้ยินดังนั้นดวงตาก็จ้องเพ่ง หลังจากพึมพำครู่หนึ่งจิตใจก็เกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย คำตอบของอีกฝ่ายเปิดแนวความคิดให้เขา ดังนั้นแล้วจึงถามอีกครั้ง
“ชายอดหิมะมีสรรพคุณเป็นกลาง แต่ก็มีความเป็นพิษในระดับหนึ่ง จะทำให้ความเป็นพิษของมันเป็นตัวกระตุ้นยาได้อย่างไร”
“เอ๋ เป็นพิษอีกแล้วหรือ ข้าคิดก่อน…บางทีอาจจะใช้หญ้ากระดุมทองเค้นมันออกมาได้กระมัง” กู้มู่ชิงเอ่ยไปอย่างไม่แน่ใจ แต่คำตอบของนางสำหรับสวี่ชิงแล้วก็ยังคงเปิดโลกทัศน์ให้เขาได้
นี่ทำให้ความสนใจของสวี่ชิงเพิ่มมากขึ้น เริ่มคุยเรื่องยากับกู้มู่ชิง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของทั้งสองคนฉายความแปลกประหลาดหน่อยๆ คำถามที่สวี่ชิงถามส่วนมากล้วนเป็นสายยาพิษ ส่วนกู้มู่ชิงส่วนมากถามด้านยา
ทว่ากลับไม่ส่งผลกระทบ มีความรู้สึกได้รับการพิสูจน์ซึ่งกันและกันรางๆ กระทั่งว่ายิ่งพูดคุยต่างก็ยิ่งกระจ่างขึ้นในทันที จนสุดท้ายกู้มู่ชิงก็เดินเข้าไปในที่มืดเสียเลย พูดคุยเจ้าคำข้าคำกับสวี่ชิงไม่หยุด
เวลาไหลผ่านไป
คนทั้งสองที่อยู่ในเงามืดท่ามกลางแสงอาทิตย์ ฝ่ายชายหล่อเหลา ฝ่ายหญิงสดใสมีชีวิตชีวา เหมือนเป็นภาพที่งดงามมากภาพหนึ่ง มีเพียงจางซานที่เหมือนชาวนาแก่ๆ ที่อยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ไม่ค่อยเข้ากับภาพนี้เลย
ตอนนี้ตาจางซานเบิกโพลงพูดไม่ออก มองคนทั้งสองอย่างเหม่อลอย หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ถอนหายใจยาว แอบพูดในใจว่าหน้าตาดีได้เปรียบอย่างมากจริงๆ
ในใจยิ่งหล่นวูบ พลางขบคิดว่าการว่าจ้างเดินเรือออกทะเลครั้งนี้ของตนคงไม่ใช่ว่าล่มแล้วกระมัง แต่เมื่อคิดว่าสวี่ชิงเพิ่งจะกลับมาจากทะเล มีความเป็นไปได้สูงว่าคงไม่ออกทะเลอีก คราวนี้ถึงได้โล่งใจ แต่ก็ยังเอ่ยปากขึ้นอย่างอดไม่ได้อยู่ดี
“เอ่อ…ศิษย์น้องสวี่ ไม่เช่นนั้นเจ้าเอาเรือเวทมาให้ข้าก่อน ข้าจะไปหลอมให้เจ้า ข้าว่าเจ้าสองคนคงคุยกันไม่จบง่ายๆ”
สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็ประสานหมัดคารวะจางซาน เอาเรือเร็วออกมาส่งไปให้
จางซานหลังจากที่ยกมือรับขวดใบเล็กที่บรรจุเรือเวทมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง มองเรือเวทที่เสียหายไม่มีชิ้นดีอย่างอึ้งตะลึง
“เรือเวทเล่า นี่คือเรือเร็วที่ข้าใส่ให้เจ้าในเรือเวทไม่ใช่หรือ”
“แตกแล้ว” สวี่ชิงเอ่ยนิ่งสงบ จากนั้นก็หันไปถามกู้มู่ชิงเรื่องวิถียาพิษ
จางซานสูดลมหายใจ มองขวดเล็กในมือ ในใจตระหนักได้ว่า การเดินเรือออกทะเลครั้งนี้ของสวี่ชิงคงจะเจอเรื่องอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเป็นแน่
เวลาสองชั่วยามก็ผ่านไปเช่นนี้เอง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา