บทที่ 99 เดินทางสู่ทุ่งสีชาด
บนยอดเขาที่เจ็ด นายท่านเจ็ดมองไปทางมหาสมุทรอย่างเย็นชา นานกว่าจะดึงสายตากลับมา
“มา เดินหมากต่อ”
ผู้ติดตามรับคำ หลังจากจัดวางหมากเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“นายท่านเจ็ด องค์ชายสามกับเด็กน้อยทางนั้น…”
นายท่านเจ็ดปรายตามองผู้ติดตามแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ
“เจ้าสนใจเด็กน้อยเหลือเกินนะ”
ผู้ติดตามก้มหน้า ไม่พูดอะไร
“ไม่เลือกวิธีการคือนิสัยของเจ้าสาม ปกติใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วในใจไม่มีความรู้สึกอะไร นี่เป็นวิธีที่เขาทำตัวให้โดดเด่นที่ล่างเขา เดินมาถึงหน้าข้า และก็เป็นสิ่งที่ข้าชื่นชมในตัวเขา
“ส่วนเด็กน้อยจะมองความคิดของเจ้าสามทะลุหรือไม่ จะขบคิดอะไรบางอย่างจากเรื่องนี้ได้หรือไม่ก็ดูสติปัญญาของเขาแล้ว ในโลกาวินาศเช่นนี้คนโง่มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเท่าไร”
นายท่านเจ็ดพูดจบก็มองไปทางท้องฟ้าก่อนที่อรุณรุ่งจะมาเยือน ใกล้สว่างแล้วเต็มทีตรงนั้น
ใต้ท้องฟ้า ในท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า สวี่ชิงนั่งอยู่บนกระดานเรือเวท แววตาแฝงแววครุ่นคิด ในเสี้ยวพริบตาที่แสงสาดมายังร่างของเขาจากดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้น แสงอรุณรุ่งขับไล่ความมืดมิดไป แววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนมาเป็นล้ำลึก
‘หนึ่ง สามสิบปีก่อนมนุษย์ทำสงครามกับเผ่าเงือก หลังจากนั้นเผ่าเงือกได้กลายมาเป็นพันธมิตร ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายภายนอกดูย่อมปรองดองแต่แท้จริงแล้วแตกแยก อีกทั้งวันนั้นที่ร้านศิษย์ยอดเขาที่หก สีหน้าของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกเมื่อได้เห็นองค์หญิงสองก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว อธิบายได้ว่าองค์หญิงเมื่อสามสิบปีที่แล้วคงจะสังหารเผ่าเงือกไปมหาศาล
‘สอง ลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดน่าจะไม่ขัดต่อความประสงค์ของอาจารย์ ท่าทีขององค์หญิงสองที่มีต่อเผ่าเงือกก็บ่งบอกถึงปัญหา เช่นนั้นองค์ชายสามฆ่าเผ่าเงือก ก็ใช่ว่าจะทำความเข้าใจไม่ได้
‘เช่นนั้น เหตุใดองค์ชายสามจึงเชิญเผ่าเงือกมาเมืองเจ็ดเนตรโลหิต มาแล้วก็ฆ่า…อีกทั้งยังลงมือต่อหน้าข้าอีกด้วย
‘นี่คือองค์ชายสามมีจุดประสงค์อื่น หากข้าเป็นองค์ชายสาม สถานการณ์ใดที่ข้าจะทำแบบนี้กัน แล้วสถานการณ์ใดข้าถึงฆ่าคนต่อหน้าผู้มาเยือน’
สวี่ชิงหรี่ตา หลังจากนั้นครู่หนึ่งในใจก็มีคำตอบ
‘มีเพียงแค่สถานการณ์เดียวเท่านั้นคือข้าจะเอาจุดอ่อนของเผ่าเงือกไปขูดรีดเผ่าเงือก ถึงได้ทำเช่นนี้ หากไม่มีจุดอ่อน ก็สร้างมันขึ้นมา! ในขณะเดียวกันก็จะฆ่าต่อหน้าคนที่มาเยือน เพราะข้าจะทำให้คุณค่าของการฆ่ามีค่าขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกับที่ขูดรีดเผ่าเงือก ก็ซื้อบุญคุณนับว่าคุ้มค่า
‘เงื่อนไขคือ คนที่มาเยือนคนนี้จะต้องมีคุณค่า’
สวี่ชิงนึกถึงภาพที่นายกองพูดเรื่องบนเกาะกิ้งก่าทะเลคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม อีกฝ่ายมีเส้นสายสำหรับสืบข่าวที่ตนไม่รู้
นายกองมีได้ ไม่แน่ว่าองค์ชายสามก็มีเหมือนกัน
นอกจากนั้น สวี่ชิงนึกถึงกลิ่นอายที่จับพุ่งเป้ามายังตนบนผิวน้ำในวันนั้นที่ตนหนีมาจากเกาะกิ้งก่าทะเล วันนั้นเขาอยู่ใต้ทะเล มองไม่เห็นว่าเป็นใคร ตอนนี้ในดวงตาฉายประกายวาววาบขึ้นมา มีการคาดเดาที่มากยิ่งขึ้น
‘อีกทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตยอมให้เกิดเรื่องนี้ เช่นนั้นก็อธิบายได้เพียงว่า…จะทำสงครามกับเผ่าเงือกแล้ว!
‘ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต้องไปจากที่นี่ระยะหนึ่ง!’
สวี่ชิงไม่แน่ใจว่าการวิเคราะห์ของตัวเองถูกต้องโดยสมบูรณ์หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงวางแผนจากไปช่วงหนึ่ง ดูว่าเรื่องนี้มีอะไรตามมาภายหลังหรือไม่ หากทุกอย่างสงบ เช่นนั้นตนค่อยกลับมาก็ไม่สาย
ในเมื่อเขาขาดแค่ก้าวสุดท้ายก็จะเป็นผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นสิบแล้ว จากนั้นหากทะลวงระดับสร้างฐานได้ ก็จะมีสิทธิ์ขึ้นเขา อีกทั้งยังมีสิทธิ์ได้รับการแบ่งผลประโยชน์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตด้วย
หนึ่งเดือนอย่างน้อยจะได้รับปันผลเป็นห้าพันก้อนหินวิญญาณ อีกทั้งขอเพียงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตดำรงอยู่ก็จะได้รับต่อไป นี่ทำให้สวี่ชิงใจหวั่นไหวนานแล้ว แน่นอนว่าเทียบกันแล้วมีชีวิตต่อไปสำคัญกว่า
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ลังเล เลือกที่จะจากไปคอยสังเกตการณ์ก่อน
อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าฉวยโอกาสช่วงนี้ไปจัดการเรื่องใหญ่ที่ฝังอยู่ในใจตนมานานแล้วได้พอดี
ประกายเย็นเยือกในดวงตาสวี่ชิงกะพริบวูบ เขาจะถอนหนามอีกชิ้นหนึ่งที่ฝังอยู่ในใจมานานแล้วให้สิ้นซาก
นั่นก็คือ…บรรพจารย์สำนักวัชระ
ไม่ฆ่าคนคนนี้ กลางคืนสวี่ชิงยากจะข่มตาหลับ
หลังจากที่ตัดสินใจแบบนี้แล้ว สวี่ชิงก็ไม่เสียเวลา ในเสี้ยวพริบตาที่ฟ้าสางก็เก็บเรือเวท ร่างเพียงไหววูบก็มุ่งหน้าไปยังกรมปราบพิฆาต
“จะอย่างไรสำนักวัชระก็เป็นสำนักหนึ่งเหมือนกัน ต่อให้พลังจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่การย้ายของพวกเขาก็ยากจะเก็บซ่อนร่องรอย การเคลื่อนไหวของทุกอย่างในขอบเขตขั้วอำนาจสำหรับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว ล้วนไม่มีอะไรที่เป็นความลับ”
ในช่วงเวลานี้ที่สวี่ชิงมาสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของกรมปราบพิฆาต เขามีสิทธิ์อ่านเอกสารในกรม รู้ว่าสิ่งที่บันทึกส่วนใหญ่ในนั้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในขอบเขตสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
แม้จะละเอียดไม่เท่ากรมข่าวกรอง แต่สวี่ชิงสืบค้นได้ง่ายกว่าไปกรมข่าวกรอง
ดังนั้น ไม่นานหลังจากที่เขามาถึงกรมปราบพิฆาต ก็พุ่งตรงไปที่เก็บเอกสาร
และชื่อเสียงของเขาในกรมปราบพิฆาตมากกว่าข้างนอก ทุกอย่างนอกจากที่เขาแสดงความสามารถตอนภารกิจนกเขาราตรีแล้ว ยิ่งมาจากหัวของนักโทษประกาศจับหัวแล้วหัวเล่า
ดังนั้นลูกศิษย์ที่อยู่ส่วนเก็บเอกสารจึงเกรงใจเมื่อเขามาเยือนเป็นอย่างมาก ปล่อยให้สวี่ชิงอ่านข้างในคนเดียว ไม่นาน ในที่สุดสวี่ชิงก็หาเบาะแสที่อยากได้เจอจากข้อมูลสะเปะสะปะที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่ค่อยให้ความสำคัญ
“ไปพึ่งลัทธินอกวิถีอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงมองเอกสารข้างหน้า ดวงตาค่อยๆ หรี่ลง คนของลัทธินอกวิถีล้วนเป็นพวกบ้าคลั่ง ท่าทีของขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มีต่อลัทธินอกวิถีคือทั้งเกลียดทั้งกลัว ดังนั้นหลายครั้งจึงล้วนหลีกเลี่ยงให้ไกล ไม่ค่อยติดต่อสัมพันธ์กับพวกเขาเท่าไร
‘น่าจะไม่ได้ย้ายเพราะข้า แต่เป็นเพราะของกำนัลแสดงคำขอโทษขององค์หญิงสองสาหัสหนักหน่วง ทำให้หลังจากที่สำนักวัชระจ่ายแล้วก็เสียหายหนัก ยิ่งเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ดังนั้นจึงไม่กล้าอยู่ในพื้นที่ขั้วอำนาจเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว’
สวี่ชิงลูบคาง จำทิศทางที่เกี่ยวกับสำนักวัชระที่เขียนไว้ในเอกสาร แล้วจึงไปจากกรมปราบพิฆาต
เดินอยู่บนถนนเขตท่าเรือ สวี่ชิงพึมพำครู่หนึ่ง ก็ไปหลายร้าน ขายของต่างๆ ที่ได้มาจากเกาะกิ้งก่าทะเลและคราบกิ้งก่าทะเลบางส่วน ทั้งยังซื้อของจำเป็นสำหรับเดินทางออกข้างนอกบางอย่าง กระทั่งสมุนไพรพิษก็ซื้อมากมาย
สุดท้ายเขายืนอยู่ข้างนอกร้านขายของวิเศษอักขระโดยเฉพาะร้านหนึ่ง หลังจากคิดๆ แล้ว ก็สะกดความเจ็บปวดใจต่อหินวิญญาณ แล้วเดินเข้าไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ตอนเขาเดินออกมา ในตัวเขาก็มีของวิเศษอักขระที่ใช้พิเศษชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ของวิเศษอักขระที่เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายและหน้าตาได้ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบมากแต่ก็มากพอให้สวี่ชิงใช้ได้ในครั้งนี้



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา