บทที่ 912 เทพยุทธ์ไร้เทียมทาน (1)
……….
“โฮก!!!”
ได้เห็นกับตาว่าท่านโหราจารย์กลายเป็นแสงสว่างผสานเข้าสู่ภายในร่างของสวี่ชีอันแทนที่หลุมดำของฮวง ยังมีภูเขาเนื้อว้าวุ่นที่แหวกว่ายชนกันอยู่กลางอากาศ พร้อมกับส่งเสียงคำรามอันเคืองแค้นและร้อนรุ่ม
กระแสเสียงหลั่งไหล ดังก้องฟากฟ้าบนเกาะเทพมาร
เหล่าพระองค์พุ่งชนเสาแห่งแสงคล้ายกับคลุ้มคลั่ง พลังระดับสุดยอดพัดกระพือสายลมระห่ำ นำมาซึ่งนิมิตฟ้าดิน
หมู่เกาะที่เปรียบได้กับแผ่นดินใหญ่ขนาดย่อมสั่นไหวเล็กน้อย สั่นไหวตามการนำของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เกิดคลื่นน้ำรุนแรงในมหาสมุทรรอบด้าน
โชคดีที่สิ่งมีชีวิตในรัศมีร้อยกว่าลี้สาบสูญไปหมดแล้ว มิเช่นนั้นต้องมี ‘ศพเกลื่อนนับล้าน’ เลือดไหลนองเป็นพันลี้
สวี่ชีอันเมินเฉยความบ้าคลั่งของสองระดับสุดยอด หลับตามองความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ขณะที่ตายจากความอ่อนแรง พลังชีวิตและจิตเดิมของเขาก็ดับสิ้นอย่างสมบูรณ์ มีเพียง ‘อักขระอมตะ’ ภายในร่างยังอยู่
ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
การช่วยชีวิตสวี่ชีอันครั้งนี้ ท่านโหราจารย์กระตุ้นคุณสมบัติของอักขระอมตะ ทำให้เขาฟื้นคืนชีพ
แสงที่ท่านโหราจารย์แปลงกายผสานเข้าไปในทุกอณูส่วนภายในร่าง กระตุ้นอักขระอมตะที่จมลงสู่การหลับใหลเพราะตายจากความอ่อนล้า
ชั่วขณะนั้นปราณของสวี่ชีอันก็เพิ่มขึ้นไม่หยุดและกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้งในเวลาอันสั้น ปราณโลหิตเปี่ยมล้น พลังมหาศาลหลั่งไหลทุกอณูส่วน
ยังไม่จบเท่านี้ แสงสว่างไม่ได้สลายหาย แต่ผสานเข้าสู่อักขระอมตะ
วินาทีต่อมาอักขระอมตะที่เคยแยกตัวเป็นอิสระและไม่ก้าวก่ายต่อกันในอณูส่วน เริ่มเชื่อมต่อและรวมเข้าด้วยกัน ‘ค่ายกลสะเทือนโลกา’ กำลังก่อตัวเป็นรูป
เสินซูคาดเดาไม่ผิด กุญแจสำคัญในการเลื่อนเป็นเทพยุทธ์คือรวบรวมอักขระอมตะภายในร่างเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเข้าทั้งหมด ให้พวกมันผสานรวมเข้าด้วยกัน
เมื่ออักขระอมตะรวมตัวและหลอมรวมได้ถึงหนึ่งในสาม ลมปราณของสวี่ชีอันที่เคยทะยานขึ้นสูงสุดก็ทะลวงขีดจำกัด พลังปราณและพละกำลังของเขาอยู่เหนือเทพยุทธ์ครึ่งก้าวอย่างเป็นทางการ เพิ่มขึ้นถึงจุดที่ไม่มีใครเคยบรรลุมาก่อน
อยู่เหนือกว่าสภาวะระเบิดขณะที่เขาเพิ่งใช้หยกสลายและอยู่เหนือพลังของเทพเจ้ากู่ขณะที่ใช้วิชาสังเวยโลหิตเช่นกัน
กำลังทวีเพิ่มอีกด้วย
เมื่ออักขระอมตะรวมตัวถึงครึ่ง สวี่ชีอันก็ได้รับพลังวิเศษฟ้าประทาน พลังวิเศษฟ้าประทานเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวรุ่นพัฒนา เขาตั้งขอบเขตเองได้ ทุกกฎเกณฑ์จะไม่มีผลในขอบเขตนี้
เขาเป็นเทพ เขาเป็นผู้ครองอำนาจ
สวี่ชีอันนึกถึงความพิเศษของระบบจอมยุทธ์โดยไม่รู้ตัว…สร้างโลกของตัวเอง!
ร่างภาพ ‘ค่ายกลสะเทือนโลกา’ ต่อให้สมบูรณ์แบบ เมื่อมันใกล้จะสมบูรณ์ ประตูสวรรค์บนน่านฟ้าก็ปิดลงช้าๆ เสาแห่งแสงมลายหาย
สวี่ชีอันไม่ได้รับการคุ้มครองอีกต่อไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ พายุหมุนในหลุมดำก็หมุนสุดแรง โจมตีเข้าใส่สวี่ชีอันด้วยพลังดูดอันน่าสะพรึง
ช่องลมภูเขาเนื้อที่วุ่นวายบนฟ้าขับหมอกเลือดและพ่นออกทันที ระหว่างนี้พระองค์จะใช้ทักษะอำพราง กระตุ้นตัณหา และพ่นจื่อกู่ที่อัดแน่นคล้ายควันดำออกมา ร่วมมือกับฮวงก่อกวนเทพยุทธ์ครึ่งก้าว
‘เป๊าะ!’
สวี่ชีอันยกมือขึ้นและดีดนิ้ว
เขตปราณที่มองไม่เห็นขยายตัวในทันใด ดีดตัวออกจากหลุมดำ ขวางควันหนาทึบอยู่ด้านนอกและสกัดกั้นพลังของอั้นกู่และฉิงกู่
เทพเจ้ากู่ที่ใช้วิชาสังเวยโลหิตพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและโจมตีบนเขตปราณอย่างแรง ไม่เพียงแต่ไม่สะเทือนม่านพลัง ตนเองกลับพุ่งชนจนเนื้อตัวเหวอะหวะ แล้วดีดออกไปคล้ายชิ้นเนื้อเละ
บัดนี้โครงร่างสุดท้ายของอักขระอมตะก็เสร็จสมบูรณ์ ค่ายกลสะเทือนโลการวมตัวสำเร็จ
เทพยุทธ์ถือกำเนิด!
‘ตูม ตาม!’
ท้องนภาที่ลอยล่องด้วยเมฆแดงและเมฆเขียวเบาบาง บัดนี้เมฆดำที่หนาแน่นได้ก่อตัวขึ้น เมฆดำทอดยาวไปจนสุดสายตา ราวกับจะบดบังทั่วทั้งจิ่วโจว
เสียงฟ้าร้องแผดคำราม แรงกดดันอันน่าสะพรึงส่งลงมาจากฟ้า เคราะห์สวรรค์ก่อตัว
บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นฮวงหรือเทพเจ้ากู่ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ความหวาดกลัวนี้มาจากเคราะห์สวรรค์ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งมาจากเทพยุทธ์ที่ยืนองอาจอยู่ข้างหน้า
เหล่าพระองค์อายุขัยยืนยาว ถือกำเนิดบนโลกในช่วงแรกที่เปิดสวรรค์ ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันยาวนานพ้นผ่าน ไม่เคยพบเคราะห์สวรรค์ที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน
…
เมืองหลวง
เสียงฟ้าร้องที่เกิดฉับพลันแผดเสียง ม้าที่วิ่งห้อบนถนนตื่นตกใจ ไม่วิ่งพล่านไปทั่วก็คุกเข่าลงกับพื้น
ผู้คนสัญจรนั่งยองกุมศีรษะและปิดหูอย่างไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวจากสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นภายในใจยากจะอธิบาย ต่างตัวสั่นระริก
ภายใต้แรงกดดันจากฟ้าดินอันน่าหวาดกลัวนี้ ขุนนางเรืองอำนาจไม่ต่างอะไรกับประชาชนทั่วไปแม้แต่น้อย
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หอเฮ่าชี่ เว่ยเยวียนยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ สองมือจับราว ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าของเขาแสดงความตื่นเต้นอย่างยากจะควบคุม
ภายในห้องน้ำชา ใบหน้าสวยของหนานกงเชี่ยนโหรวซีดขาว แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา
“ท่านพ่อบุญธรรม นะ นี่มัน…”
เว่ยเยวียนไม่ได้หันหน้า ทอดมองไปทางใต้ แล้วหายใจถี่กระชั้นอย่างเงียบๆ
เทพยุทธ์ถือกำเนิดแล้ว…หนานกงเชี่ยนโหรวสีหน้าซึมกะทือ ไม่รู้ว่าตะลึง ดีใจ ตระหนก หรือว่าหวาดกลัว
ขณะเดียวกัน ณ หอดูดาว
ฉู่ไฉ่เวยกับซ่งชิงยืนอยู่บนแท่นแปดทิศ ทอดมองท้องนภาสูงตระหง่านไร้ขอบเขต ในสายตาของทุกคน ฟ้าสีครามเข้มไม่ต่างจากปกติ ทว่าพวกเขารับรู้ได้ถึงโทสะของวิถีแห่งฟ้าอันน่าสะพรึงที่กำลังสะสมและก่อตัวบนสวรรค์ชั้นเก้า
“ศิษย์พี่ซ่ง เหตุใดจู่ๆ ถึงฟ้าผ่าล่ะ”
ฉู่ไฉ่เวยเงยหน้ามองฟ้าด้วยความหวาดกลัว ในใจคิดว่าหอดูดาวสูงเพียงนี้ หากฟ้าผ่าใส่ตนจนบาดเจ็บจะทำอย่างไร
แล้วหันหน้าหลบอยู่หลังซ่งชิง
ซ่งชิงเอ่ยเสียงเบา
“ท่านโหราจารย์…”
…
เหลยโจว!
หลี่เมี่ยวเจินเหยียบกระบี่บิน สอดส่องสายตาทั่วสารทิศ ความเศร้าในดวงตามิอาจปิดบัง
เมื่อไม่นานมานี้ เมืองที่มีประชากรจำนวนมากถูกก้อนเนื้อกลืนกินไม่เหลือราวกับสึนามิ ประชาชนในเมืองนับหมื่นคนและประชาชนในชนบทรอบข้างดับสูญไปอย่างเงียบงัน กลายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงให้พระพุทธเจ้ารวบรวมผนึกภูผาธารา
นางอดหันหน้ามองสหายข้างกายไม่ได้ โค่วหยางโจว อาซูหลัว จิ้งจอกเก้าหาง และเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ แต่ละคนนิ่งเงียบ สีหน้าหนักอึ้ง
เสินซูนั่งขัดสมาธิอยู่บนความว่างเปล่า โดยชิ้นส่วนแขนขาของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนลอยล่องอยู่ข้างกาย ตอนนี้ชิ้นส่วนแขนขาได้แห้งเหี่ยว แก่นเลือดเนื้อกลายเป็นสิ่งบำรุงที่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวใช้รักษาให้มีชีวิตรอด
แม้จะช่วยชีวิตเสินซูและรักษาพลังต่อสู้ไว้ได้ ทว่าการรบประจัญเป็นเวลานานก็ทำให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวผู้นี้เสียหายอย่างหนัก ไม่มีแรงสู้ต่อในชั่วเวลาสั้นๆ
ดังนั้นกลยุทธ์ฝั่งต้าฟ่งคือ ยอมสละเหลยโจวชั่วคราว รอให้เสินซูฟื้นตัวระดับหนึ่ง ค่อยสู้กับพระพุทธเจ้า
“ดาบทู่ฟันเนื้อก็ไม่รู้ว่าถ่วงเวลาได้นานเท่าไร”
ผู้นำของเผ่าฉิงกู่หลวนอวี้เอ่ยเสียงเบา
“พวกเราสูญเสียสองกำลังสำคัญอย่างนักบวชเต๋าจินเหลียนและเจ้าสำนักจ้าวไป การประมือในรอบหน้า ไต้ซือเสินซูก็จะแพ้เร็วกว่าเดิม”
เมื่อหลี่เมี่ยวเจินที่นิสัยแข็งกระด้างได้ยินก็หันหน้าตวาด
“ถ่วงได้นานเท่าไรก็เท่านั้น เจ้ากลัวตายก็ไสหัวกลับซินเจียงตอนใต้ไป อย่าได้สั่นคลอนขวัญทหารที่นี่”
นางมองเห็นประชาชนนับไม่ถ้วนล้มตาย ทำอะไรไม่ได้ เดิมก็ร้อนรนอยู่แล้ว ยังรู้ว่าหญิงงามของเผ่าพันธุ์กู่กับสวี่ชีอันมีความสัมพันธ์คลุมเครือก็ย่อมไม่เป็นมิตรกับนาง
หลวนอวี้เย้ยหยัน กำลังจะพูดยอกย้อนก็พลันได้ยินอาซูหลัวเอ่ยเสียงขรึม
“พระองค์รวบรวมผนึกภูผาธารา”
พระพุทธรูปที่ยืนอยู่ใน ‘หล่มโคลน’ ไกลออกไป พนมมือทั้งสิบสองคู่ แสงสว่างดวงเล็กเกาะตัวกันบนกลางฝ่ามือที่ซ้อนเป็นชั้น แสงที่สว่างกว่าทะลักออกจากความว่างเปล่าทั่วสารทิศ แล้วบรรจบที่กลางฝ่ามือ
ไม่นานนักแสงสว่างก็กลายเป็นโครงร่างของผนึกขนาดเล็ก
หากผนึกภูผาธาราหลอมรวม พระพุทธเจ้าที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตในเหลยโจวจะกลายเป็นผู้ครองอำนาจของเหลยโจว
จากนั้นตราบใดที่ได้รับโชคชะตา พระองค์ก็จะขัดเกลาเหลยโจวได้อย่างแท้จริงเหมือนกับที่เข้าแทนที่ดินแดนประจิมทิศ
แม้จะเตรียมใจสละเหลยโจวมาแล้ว ทว่าเมื่อเห็นมันตกอยู่ในมือศัตรูจริงๆ แล้วศัตรูอาศัยความแข็งแกร่งนี้ดับมอดสิ่งหนึ่งเพื่อเสริมสร้างอีกสิ่ง ในใจของเหนือมนุษย์ทุกคนยังเต็มไปด้วยความวิตกอยู่ดี
การมองไม่เห็นความหวังนั้นทรมานคนยิ่งกว่าความวิตก รวมถึงความอ่อนแอที่ฝังลึก
“ไม่รู้ว่าฆ้องเงินสวี่อยู่ที่โพ้นทะเลจะเป็นอย่างไรบ้าง…”
หลงถูเอ่ยเสียงทุ้มดัง
สถานการณ์พลันเงียบลง เหนือมนุษย์ทุกคนสีหน้าแปลกพิลึก ไม่แข็งทื่อหรือเศร้าหมองก็ฉุนเฉียว…
พวกเขาเลี่ยงประเด็นสนทนานี้มาตลอด เพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศที่เคยหนักอึ้งจะแย่ลงกว่าเดิม
สวี่ชีอันเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา ไปสู้รบโดยแบกความหวังนี้ไว้ พวกเขามีศรัทธาและความหวังอยู่ในใจ แม้นี่จะเป็นการหลอกตัวเองก็ตาม
หากจะอธิบายให้เข้าใจ สถานการณ์เป็นจริงก็คือเทพยุทธ์ครึ่งก้าวต้องเผชิญสองระดับสุดยอดที่โพ้นทะเล
มีโอกาสชนะหรือไม่
การต่อสู้ระหว่างเสินซูกับพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ระดับสุดยอดหนึ่งคนยังปราบเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ นับประสาอะไรกับระดับสุดยอดสองคน
แม้สวี่ชีอันจะแข็งแกร่งกว่าเสินซู ทว่าระดับไม่ต่างกันจะแกร่งได้ถึงเพียงใด
‘หลงถูเจ้าโง่นี่’…ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ก่นด่าในใจ
อีกด้านหนึ่ง ผนึกภูผาธาราในมือพระพุทธรูปแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักผลึกเล็กที่ฝังด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน พื้นหลังดำสนิท และสลักด้วยลวดลายอันซับซ้อนก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...