ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 913

บทที่ 913 หลังภัยพิบัติ [ตอนพิเศษ 1]

……….

เทพพ่อมด หนึ่งในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่ามนุษย์

กำเนิดในยุคโบราณของเทพปีศาจ ดำรงชีวิตอยู่กับมนุษย์ ในช่วงที่ปีศาจต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เทพพ่อมดทำลายตัวเองจนไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่เลย

เมื่อเห็นร่างและจิตเดิมของเทพพ่อมดสลายตัวไปและกลับคืนสู่ความว่างเปล่า สวี่ชีอันก็ถอนหายใจเบาๆ ระดับสุดยอดท่านสุดท้ายได้ล่มสลายลง บัดนี้ภัยพับัติครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้นไปอย่างแท้จริงแล้ว

“เยี่ยมมาก กำจัดเทพพ่อมดและยุติภัยพิบัติครั้งใหญ่ จะไม่มีใครสามารถขัดขวางการฟังเพลงของพวกเราที่หอนางโลมได้อีกต่อไป”

ดาบไท่ผิงถ่ายทอดความคิดอันเปี่ยมสุขสู่เจ้าของ

ข้ามีอาวุธเจ้าชะตา อาวุธศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร…สวี่ชีอันโยนดาบไท่ผิงทิ้งไป แล้วหันไปมองทางเมืองจิ้งซานที่อยู่ไม่ไกล

เมืองสูงเด่นเป็นสง่าตั้งตระหง่านอยู่บนที่ราบอย่างโดดเดี่ยว แต่ในเมืองมิได้ว่างเปล่าเช่นนั้น มีกลิ่นอายของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน

เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็มาถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองโบราณทันที

เสาหนามากกว่าสิบต้นรองรับหลังคาโดมอันงดงาม พระราชวังสูงตระหง่าน รูปแบบของมันถูกสร้างขึ้นตามยักษ์ที่มีความสูงกว่าสิบเมตร

หลังจากรู้ว่าเทพพ่อมดเป็นเผ่ามนุษย์ที่เกิดในสมัยโบราณ เมื่อเห็นพระราชวังที่ใหญ่โตโอ่อ่าหลังนี้จึงไม่รู้สึกแปลกใจนัก

เมื่อคิดย้อนกลับไปในช่วงสมัยโบราณ พระราชวังที่เหล่าเทพปีศาจอาศัยอยู่ก็มีขนาดนี้เช่นกัน

ที่ปลายพรมแดงมีบัลลังก์สูง ซ่าหลุนอากู่ที่สวมเสื้อคลุมพ่อมดยืนอยู่ที่บัลลังก์ ที่ด้านล่างบัลลังก์เป็นเหล่าพ่อมดหลายพันคนที่สวมเสื้อคลุมแบบเดียวกัน

พวกเขาก้มศีรษะนั่งขัดสมาธิและสวดคำอธิษฐาน

“เทพพ่อมดฆ่าตัวตายแล้ว”

ตอนที่สวี่ชีอันกล่าว เขายังอยู่ที่ทางเข้าตำหนักใหญ่ แต่หลังจากกล่าวประโยคนี้แล้ว ผู้ที่มีความกล้าหาญและยิ่งใหญ่นี้ก็นั่งอยู่บนบัลลังก์เทพพ่อมดเรียบร้อยแล้ว

เมื่อได้ยินเช่นนี้ พ่อมดหลายพันคนที่อยู่ด้านล่างก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน ไม่มีความโกลาหลแต่อย่างใด มีเพียงความเงียบงันราวกับยอมรับชะตากรรมแล้ว

ในฐานะพ่อมด พวกเขาย่อมสัมผัสได้ถึงการสูญสิ้นของเทพพ่อมด และรู้ว่าเทพพ่อมดถูกเทพพ่อมดคนใหม่นี้บีบคั้นจนตาย

มีพ่อมดจำนวนไม่น้อยที่เก็บงำความขุ่นเคืองและความเกลียดชังอยู่ในใจ นี่เป็นความรู้สึกที่เหมือนกันในตอนนี้ของพ่อมดส่วนใหญ่

เพียงแต่ไม่มีพ่อมดคนใดเกิดความคิดที่จะแก้แเค้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพยุทธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์

มดตัวเล็กจะแก้แค้นเทพเจ้าได้อย่างไร?

ซ่าหลุนอากู่ซึ่งมีเคราสีขาวหนาปกคลุมใบหน้าเกือบครึ่งหนึ่ง หยิบสิ่งของสองชิ้นออกมาจากเสื้อคลุมยาว ก่อนจะก้มโค้งเพื่อส่งมอบมันพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “นี่เป็นของที่เทพพ่อมดทิ้งไว้ก่อนฆ่าตัวตาย บอกว่าด้วยของสิ่งนี้ จะทำให้ฆ้องเงินสวี่ไว้ชีวิตข้า”

สิ่งของทั้งสองชิ้นนั้นคือดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อ

หลังจากจ้าวโส่วสละชีพ ของวิเศษทั้งสองชิ้นนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของเทพพ่อมด เทพพ่อมดไม่ได้ทำลายพวกมัน แต่กลับเก็บรักษาไว้เรื่อยมา

อย่างไรก็ตาม ของวิเศษทั้งสองชิ้นนี้ก็เสื่อมโทรมไปมาก ไม่มีร่องรอยแห่งจิตวิญญาณอันซื่อตรงหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย

โดยพื้นฐาน มันจวนจะใช้การไม่ได้แล้ว หากไม่ได้ทำนุบำรุงด้วยจิตวิญญาณอันซื่อตรงยิ่งใหญ่หลายร้อยปี ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง

สวี่ชีอันโบกมือ เก็บดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อเข้าไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขากวาดสายตามองพ่อมดที่อยู่รอบๆ ภายใต้ความมืดมิดในห้องโถง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสง่างามและสงบว่า “ข้าอนุญาตให้ถ่ายทอดระบบพ่อมดต่อไปได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักเทพพ่อมดเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักพ่อมด อยู่ภายใต้เขตอำนาจของต้าฟ่ง ทุกสิ่งที่ผ่านมาในอดีตก็ให้แล้วกันไป”

เขาหันกลับไปมองซ่าหลุนอากู่ น่าหลันเทียนลู่เจ้าแห่งวัสสาน ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณ อูต๋าเป๋าถ่า และอีเอ๋อร์ปู้ พลางกล่าวว่า “เหนือมนุษย์ทั้งหลาย ตามข้ากลับไปเมืองหลวงและจงใช้เวลาอยู่ในคุกใต้ดินของสำนักโหราจารย์ห้าร้อยปี หลังจากห้าร้อยปี พวกเจ้าทั้งหลายถึงจะเป็นอิสระ”

ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งสี่อย่างเช่นซ่าหลุนอากู่ต่างก็โค้งคำนับเพื่อรับการลงโทษจากเทพยุทธ์

สวี่ชีอันหายตัวไปในตำหนักทันที

หมายเลขสาม ‘เทพพ่อมดฆ่าตัวตาย ภัยพิบัติผ่านไปแล้ว’

หลังจากออกจากตำหนักเทพพ่อมดแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนดาบไท่ผิงที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงและส่งสารไปพลาง

‘ชื่อของข้าจะถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ในอนาคตหรือไม่ ดาบไท่ผิงต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวเพื่อสังหารเทพกู่บรรพกาลและพระพุทธเจ้า’…ดาบไท่ผิงที่อยู่ภายใต้บั้นท้ายถ่ายทอดความเห็น

“ใช่สิ ต่อไปเจ้าก็จะเป็นอาวุธอันดับหนึ่งในใต้หล้า” สวี่ชีอันตบด้ามดาบ

‘รีบกลับเมืองหลวงเถอะ กลับเมืองหลวงไปฟังเพลงที่หอคณิกา’…ดาบไท่ผิงกล่าวความเห็น

“เจ้าเป็นอาวุธอันดับหนึ่งในใต้หล้า ต้องมีจิตสำนึกของอาวุธเทพ กระทำเรื่องเสื่อมทรามเช่นนี้ให้น้อยลงหน่อย” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจริงจัง

‘เช่นนั้นข้าต้องการดาบผู้หญิงสักเล่ม ข้าอยากบำเพ็ญคู่กับนาง’…ดาบไท่ผิงแสดงความปรารถนาที่จะหลับนอนกับ ‘ผู้หญิง’

? สวี่ชีอันตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “นี่เจ้านอกลู่นอกทางตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนทำให้เจ้าหลงผิด?”

สวี่ชีอันย่อมไม่สามารถยอมรับอาวุธติดตามเจ้าของประเภทนี้แน่นอน

ด่านอวี้หยาง ฮว๋ายชิ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองที่รกร้างว่างเปล่า จ้องมองข้อความที่ปรากฏอยู่บนกระจกหยกบานเล็กอย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน แพขนตางอนของนางสั่นไหวเล็กน้อย ร่างบางเซไปพิงกับกำแพงเชิงเทิน

บุคลิกมั่นคงหนักแน่นเฉกเช่นนาง ในเวลานี้ก็ยังมีความรู้สึกอ่อนล้าหลังจากผ่านภัยพิบัติอันยากลำบาก ราวกับท้องฟ้ากลับแจ่มใสหลังพายุโหมกระหน่ำ โลกหวนคืนสู่ความสดใสอีกครั้ง

ความอ่อนล้าเช่นนี้ก่อเกิดมาจากจิตวิญญาณ

เจี้ยนโจว ภายใต้การจัดการของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และฝ่ายขุนนางท้องถิ่น ทั้งคหบดีและประชาชนทั่วไปต่างก็เริ่มโยกย้ายไปทางตะวันออก บนถนนสายหลักของเมืองเจี้ยนโจวเต็มไปด้วยประชาชนที่แบกหามสัมภาระไปกันทั้งครอบครัว ฝูงชนค่อยๆ ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฝูงมดที่ออกหาอาหาร

ตระกูลขุนนางชั้นสูงและพ่อค้า บ้างก็โดยสารรถม้า บ้างก็ขี่ม้านำอยู่ที่ด้านหน้าฝูงชน หากกองทัพไม่ได้จำกัดความเร็วของพวกเขา พวกเขาก็คงจะเป็นเหมือนหมาป่าที่หนีพ้นจากการล่าแล้ววิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้นานแล้ว

ที่ข้างถนนสายหลักทั้งสองข้าง มีทหารม้าของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจว ชาวยุทธภพ และขุนนางฝ่ายราชการแห่งเจี้ยนโจว ยังมีทหารอารักขาของทั้งสามรัฐ อย่าง เซียงโจว จิงโจวและอวี้โจว ซึ่งถูกแบ่งสรรให้อยู่ทั้งสองฝั่งของถนนสายหลักเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของกลุ่มลี้ภัย

เฉาชิงหยางที่เข้าสู่ขอบเขตจอมยุทธ์ขั้นสามแล้วยืนเป็นสง่าอยู่บนก้อนเมฆ คอยมองลงมาเฝ้าดูสถานการณ์โดยรวมของเจี้ยนโจว

“ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษที่อยู่แดนประจิมเป็นอย่างไรบ้าง”

ที่ข้างถนนสายหลัก ฟู่จิงเหมินที่นั่งอยู่บนหลังม้าอดที่จะหันมาพูดกับหยางชุยเสวี่ยซึ่งขี่ม้าอยู่ข้างๆ ไม่ได้

ถึงกระนั้นก็ตาม แต่สีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมอย่างยิ่ง

จอมยุทธ์ขั้นสอง แม้จะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งแล้วยังมีแรงโกรธก็ตาม

แต่ขั้นหนึ่งของทุกระบบหลักล้วนสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขั้นสองได้อย่างง่ายดาย ยกเว้นจอมยุทธ์ขั้นสูงในระบบเดียวกันและจอมยุทธ์ภิกษุในขอบเขตใกล้ๆ กัน

แต่นี่เป็นภายใต้สถานการณ์ปกติ สถานการณ์ปัจจุบันคือ ขั้นสามมีมากมายพอๆ กับสุนัข ขั้นหนึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เทพยุทธ์ครึ่งก้าวรบนำหน้า ระดับสุดยอดลงสนามจัดการด้วยตัวเอง

จ้าวโส่วปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสองที่เพิ่งเลื่อนขั้นก็สิ้นชีพแล้ว บรรพบุรุษก็เป็นจอมยุทธ์ที่ต้องบุกตะลุยโจมตีข้าศึก จะมีชีวิตรอดหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า

เวลานี้ เฉียวเวิงที่อยู่ด้านข้างมองไปที่ฝูงชนจำนวนมากพลางถอนหายใจ “ภัยพิบัติยังไม่สงบ พวกเขาจะหนีไปไหนได้? เถ้าแก่ทุ่มเททั้งกายและใจในการบริหารสมาคมการค้าเจี้ยนโจว หาเงินมาได้มากมายเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด?”

เจ้าลัทธิและหัวหน้าหลายคนที่อยู่รอบๆ เงียบไป

ก่อนที่โค่วหยางโจวจะไป เขาได้แจ้งให้พวกเขาทราบถึงความจริงเกี่ยวกับภัยพิบัติดังกล่าว

หากเป็นคนอื่นพูดว่า จิ่วโจวกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ระดับสุดยอดเป็นตัวแทนสวรรค์ ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าจะถูกกวาดล้าง

เช่นนั้นเหล่าหัวหน้าและเจ้าลัทธิแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะต้องมอบเงินเป็นรางวัลให้อย่างแน่นอน ชื่นชมว่าพูดได้ดี ครั้งต่อไปให้มาอีก

แต่คำพูดนี้เป็นคำพูดของบรรพบุรุษ ความหมายจึงแตกต่างออกไป

เมื่อรวมกับการกระทำของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสองท่านที่ขับไล่พระพุทธเจ้าที่ชายแดนเหลยโจวเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาจึงยากที่จะเชื่อ

ตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป ถึงแม้พวกเขาจะมีฐานะเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ แต่ก็ไม่มีความตื่นตระหนกหรือสิ้นหวังปรากฏให้เห็นภายนอกแม้แต่น้อย แต่กลับแสดงความสามารถในการดำเนินการที่แข็งแกร่งและทัศนคติที่สงบ

แต่ส่วนลึกในใจ ทั้งความสิ้นหวังเกี่ยวกับอนาคต ทั้งความหวาดกลัวภัยพิบัติ ความจริงมีไม่น้อยเลยสักนิด

“สิ่งของเงินทองที่ไม่ได้นำมาตอนเกิดและไม่สามารถเอาไปได้ยามตาย มีอะไรให้น่าเสียดายกัน” ฟู่จิงเหมินตำหนิสุ่มสี่สุ่มห้า

“ภรรยาของข้าน้อยกำลังตั้งครรภ์”

เขาถ่มน้ำลายด้วยสีหน้าดุร้าย ทันใดนั้นก็กล่าวกระซิบอย่างหมดสภาพ

“ช่างเถอะ ไอ้หมาลูกแหง่ใต้หล้า ไม่มาก็ช่างเถอะ”

ทันใดนั้นเอง เซียวเยว่หนูถอนสายตากลับและมองทุกคนที่อยู่รอบๆ “พี่ฉู่เคยบอกว่า หากฆ้องเงินสวี่กลับมาจากโพ้นทะเล ทุกอย่างก็จะคลี่คลายลง!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ ก็มองไปยังฉู่หยวนเจิ่นที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่บินกลางอากาศ

‘ทุกอย่างจะคลี่คลายลง’…ฉู่หยวนเจิ่นทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น นับเป็นโชคดีอย่างที่สุดสำหรับสวี่หนิงเยี่ยนที่สามารถรอดพ้นจากการโจมตีของระดับสุดยอดทั้งสองท่านได้

บทที่ 913 หลังภัยพิบัติ [ตอนพิเศษ 1] 1

บทที่ 913 หลังภัยพิบัติ [ตอนพิเศษ 1] 2

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง