ตอนที่ 1 ฉันสามารถช่วยเขาได้
“อัตราการเต้นของหัวใจอยู่แค่ 45 อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนัก ผู้ป่วยอยู่ในอาการโคม่า” “อัตราการหายใจของผู้ป่วยลดลง ขอเพิ่มปริมาณออกซิเจนด่วน” “เตรียมการกระตุ้นหัวใจเลยนะ” "หมดหวังแล้วล่ะ เตรียมตัวติดต่อหาครอบครัวเขาเลยเถอะ” ในขณะเดียวกัน แพทย์ชั้นนำหลากหลายคนมารวมตัวกันรอบเตียงผ่าตัดภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งแรกของเมืองตงไห่ เหงื่อกาฬผุดขึ้นตามใบหน้าของพวกเขาเต็มไปหมด ชายที่นอนโคม่าอยู่บนเตียงผ่าตัดนั้นซึ่งก็คือ จู้ ซานต้าว หรือที่รู้จักกันในนาม ท่านอาวุโสจู้ เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตงไห่ เขามีบุคลิกที่น่าเกรงขามและเป็นเหมือนผู้มีอำนาจและมีอิทธิพลที่สุด และแน่นอนว่าหากชายอาวุโสคนนี้เป็นอะไรไปล่ะก็ คอของพวกหมอเหล่านี้ได้หลุดออกจากบ่า ถึงกับพ้นวิชาชีพนี้ก็เป็นแน่ “พวกเราควรทำยังไงดี คนไข้เข้าสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันที่หัวใจห้องล่างซ้าย และมีอาการช็อคจากภาวะโรคหัวใจ ไม่สามารถหายใจเองได้ ไม่มีทางรอดแน่” “ต่อให้ทำการผ่าตัดต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น มันหมดหวังแล้ว เราช่วยเขาเอาไว้ไม่ได้จริงๆ” “แล้วเราจะทำยังไงดีละครับตอนนี้” "ไม่มีทาง มันสายเกินไปสำหรับคนไข้รายนี้ ถ้าเขาเสียชีวิตบนเตียงผ่าตัด ก็ถือว่าผิดหลักปฏิบัติทางการแพทย์ของเราเช่นกัน มีกี่คนที่คิดว่าสามารถรับมือกับความโกรธเคืองของตระกูลจู้ได้กันเล่า” เสียงบรรดาเหล่าหมอในห้องผ่าตัดเงียบลง คนเหล่านี้ล้วนเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงของเมืองตงไห่ แต่ตอนนี้พวกเขาเลิ่กลั่กกันจนทำอะไรไม่ถูก ประการแรกเลย ภาวะหัวใจห้องล่างด้านซ้ายล้มเหลวเฉียบพลันเป็นโรคที่ซับซ้อนซึ่งรักษาได้ยากมากในตอนนี้ ประการที่สอง เนื่องจากอาการที่กำเริบกระทันหันและผู้ป่วยมาถึงช้าเกินไป ประการที่สาม ผู้อาวุโสจู้นั้น ด้วยวัยชรา และอายุที่มากขนาดนั้น การผ่าตัดไส้ติ่งก็ยังเสี่ยงมากเกินไป นับประสาอะไรกับการผ่าตัดหัวใจ นี่มันเสี่ยงมากกว่าเสียอีก พวกเราพยายามอย่างเต็มที่แล้วในฐานะแพทย์เท่าที่จะทำได้ นั่นคือข้อเท็จจริงที่พวกเขาจะกล่าว ต่อให้เป็นถึงผู้อาวุโสจู้ที่อำนาจขนาดนั้นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายได้เช่นกัน เหล่าแพทย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขาทำได้แค่เพียงเตรียมรับแรงปะทะจากความโกรธของตระกูลจู้เท่านั้น ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า "ท่านประธานจู้ครับ ทางเราพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะยื้อชีวิตผู้อาวุโส ผมเสียใจแต่มันไม่ทันจริงๆ” ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานที่พวกเขาเรียกว่าประธานจู้นั้น เขาคือจู้หย่ง ลูกชายคนที่สองของผู้อาวุโสจู้ วัย 50 ปีและเป็นซีอีโอของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของสกุลจู้ และแน่นอนว่าหลังที่ได้ข่าวร้ายจากหมอ จู้หย่งคว้าคอเสื้อของหมอด้วยความโกรธทันที "พูดบ้าอะไร? คุณพ่อดูสบายดีก่อนจะเข้าห้องผ่าตัดเสียอีก หมายความว่ายังไงที่บอกว่ามันสายเกินไปห้ะ” ดร.หลิวกลัวจนขาสั่นไปหมด "ทะ...ท่านประธานจู้ครับ... ผู้อาวุโสนั้นมีภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลวเฉียบพลัน เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ครับ เพราะมาถึงช้าเกินไป แม้แต่หมอที่เก่งมากในตอนนี้ก็ไม่สามารถช่วยได้ ผมขอโทษสำหรับการสูญเสียในครั้งนี้ หักอกหักใจเสียเถอะครับ ” “พล่ามบ้าอะไรของแกวะ” จู้หย่งตะโกน เขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้หรอก เขาเพิ่งมีช่วงเวลาดีๆ กับมื้ออาหารแสนอร่อย แถมยังพูดคุยกับพ่ออย่างออกรส แต่ไม่ถึงสองชั่วโมงต่อมา ชายชราก็นอนอยู่บนเตียงผ่าตัดเสียดื้อๆ แบบนั้น จู้หย่งโกรธจนตัวสั่นพลางกวาดสายตามองไปยังบรรดาเหล่าแพทย์ชั้นสูงทั้งหมด “ใครหน้าไหนก็ได้ รักษาพ่อของฉันเดี๋ยวนี้ อยากได้อะไรฉันจะให้ทุกอย่างตามที่ขอ” หมอหลิวย่นคิ้วขมวดจนเป็นปม ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าอำนาจของตระกูลจู้เหลือล้นแค่ไหน ก็ยังอดหัวเสียกับการกระทำของจู้หย่งไม่ได้ “กรุณาอย่าเสียงดังที่นี่ครับท่านประธานจู้ ผมเป็นศัลยแพทย์หัวใจชั้นนำในโรงพยาบาลรัฐในละแวกนี้ และในเมืองตงไห่ทั้งหมด ถ้าผมไม่สามารถช่วยเขาได้ ก็ไม่มีใครอื่นที่ทำได้แล้วละครับ” เขาไม่ผิดที่พูดแบบนั้น ด็อกเตอร์หลิวสร้างผลงานที่โดดเด่นในด้านโรคหัวใจมาโดยตลอด และเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดฝีมือในตงไห่ ไม่สิ น่าจะพูดว่าระดับจังหวัดมากกว่า คำพูดของจู้หย่งทำให้เขาโกรธมาก เมื่อหลิวปู้ฟาน 'วิเคราะห์' ผู้ป่วยว่าหมดหวัง ก็หมายความว่าไม่มีความหวังอีกต่อไป จู้หย่งมองกวาดสายตาอีกรอบ "ไม่มีหน้าไหนช่วยได้เลยน่ะเหรอ" ทันทีที่สิ้นคำพูด เสียงเย็นชาก็ดังมาจากทางเดิน "ผมสามารถรักษาเขาได้" น้ำเสียงเบาบางแต่กลับแทรกซึมทุกถ้อยคำ ทันใดนั้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มในชุดลำลอง เขาค่อยๆ เดินมาพร้อมกับเป้ที่สะพายไว้ด้านหลัง เด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ถึงแม้ว่าผมของเขาจะยุ่งเหยิงนิดหน่อยก็ยังดูดี ดวงตาคู่สวยจ้องมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ใบหน้าของเขาดูเฉยเมยไม่สนโลกแต่กลับมีบรรยากาศที่ดูลึกลับเช่นกัน จู้หย่งตัวแข็งทื่อ เด็กหนุ่มคนนี้ดูคุ้นๆ เสียเหลือเกิน แต่ดันนึกไม่ออกเสียนี่ "พูดอะไรออกมากัน" ฉินจวิ้นเดินตรงไปหาจู้หย่ง “ผมกำลังบอกว่าผมรักษาเขาได้” ดวงตาของจู้หย่งเป็นประกายอย่างมีหวัง “แน่ใจแล้วใช่ไหมที่พูดมา” หลิวปู้ฟ่านพูดแทรกขึ้นทันที “เด็กไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้มาจากไหน จะมาสร้างความวุ่นวายที่นี่ได้ยังไง เข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน” ดูจากภายนอกรูปลักษณ์และคำพูดของฉินจวิ้นนั้นทำให้หมอหลิวมั่นใจว่าเด็กคนนี้เป็นนักต้มตุ๋นแน่นอน เขาเพิ่งพูดไปอยู่ว่ามันไม่มีหวังแล้วสำหรับคนไข้รายนี้ แต่ตอนนี้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้กำลังพ่นเรื่องไร้สาระและยืนยันว่าสามารถช่วยผู้ป่วยได้นั้นราวกับการตบหน้าหมอหลิวอย่างแรงเลยทีเดียว แต่ฉินจวิ้นกลับเมินหมอหลิวและยังคงยืนยันกับประธานจู้ต่อไปว่าเขาจะเป็นคนรักษาผู้อาวุโสเอง “ลุงจู้ เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ ถ้าผมไม่เข้าไปตอนนี้ คงหมดหวังแน่” ลุงจู้งั้นเหรอ? จู้หย่งถึงกับนิ่งและงง เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนรู้จักจริงๆ สินะ แต่เขากลับจำไม่ได้เลยสักนิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ปรมาจารย์การแพทย์