ปรมาจารย์การแพทย์ นิยาย บท 4

ตอนที่ 4 ครอบครัวตระกูลถัง

ป้าเฟิงตัวแข็งทื่อและสีหน้าของเธอดูแย่ทันที เธอจับตัวฉินจวิ้นไว้แน่นพลางพูดเสียงสั่นว่า "นายน้อยไม่สามารถทำตามใจชอบได้หรอกนะ ตอนนี้ตงไห่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าคนอย่างเราพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมละก็เราคงถูกปฏิบัติแย่ยิ่งกว่าหมาเสียอีก” เฟิงจวนเผชิญกับความลำบากมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน เฟิงจวนผู้น่าสงสารก็ต้องหนีซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา จนเมื่อหลายปีก่อน หญิงวัยกลางคนรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ คงสงบลงแล้ว เธอจึงแอบกลับไปดูที่บ้านหลังนั้น สถานที่นั้นกลายเป็นพื้นที่ที่สวยงาม แม้ว่าสถานที่นั้นจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ให้พวกเขามองแค่ภายนอกเพราะเข้าไปข้างในไม่ได้ก็ตาม และในบางครั้งเฟิงจวนจะแวะมาทำความสะอาดที่นี่ในช่วงตรุษจีน เธอจะเปลี่ยนกลอนประตูและแสดงความเคารพต่อแผ่นป้ายหลุมศพที่ระลึกของเจ้านายของเธอเสมอ แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การกระทำของเธอก็ถูกจับได้และเธอถูกโยนเข้าไปในกรงที่มีสุนัขหลายตัวคอยคุ้มกันเอาไว้ และในยามคืนที่พระจันทร์สาดส่อง ก็จะมีคนโยนเศษอาหารที่เหลือให้เธอบ้าง หรือถ้าพวกเขาอารมณ์ดี พวกเขาจะโยนขนมปังที่เหลือหรือเศษอาหารเข้าไปในกรงและปล่อยให้เธอได้อิ่มท้องบ้าง ถ้าพวกเขาอารมณ์ไม่ดีแล้วละก็พวกเขาก็จะโยนอาหารออกไปนอกกรง เฟิงจวนจะต้องต่อสู้กับสุนัขเพื่อแย่งชิงอาหารเพื่อประทังชีวิต แขนของเฟิงจวนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานแบบนี้มาตลอด คนเหล่านั้นไม่ได้ฆ่าแต่ก็ไม่ได้ปล่อยเธอเป็นอิสระ พวกเขาแค่ต้องการเห็นเธอต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้ต่อไปเท่านั้น เวลาที่อยู่ใกล้ป้าเฟิงนั้นฉินจวิ้นดูสงบลงอย่างมาก แต่ยิ่งเขาดูผ่อนคลายมากขึ้นเท่าไหร่ข้างในของเขาก็ยิ่งสดใสมากขึ้นเท่านั้น ทั้งสองได้รับการต้อนรับการพบกันอีกครั้งด้วยความวุ่นวาย ในขณะที่พวกเขาเข้าไปในตัวบ้าน ข้างในถูกรื้อค้นจนเละเทะไปหมด ฉินจวิ้นอุ้มป้าเฟิงพลางเดินเข้าไปในห้อง เด็กหนุ่มทำความสะอาดเตียงก่อนจะวางให้ป้าเฟิงนอนบนเตียงและจากนั้นเขาก็จับแขนของเธอด้วยมือซ้าย และตรวจชีพจรของเธอด้วยสามนิ้วขวา “นายน้อยจวิ้น...” เมื่อเห็นว่าการกระทำของฉินจวิ้นดูราวกับเป็นมืออาชีพในระหว่างที่ตรวจชีพจรนั้นก็ทำให้เฟิงจวนค่อนข้างประหลาดใจมาก “นายน้อยไปอยู่ที่ไหนตลอดหลายปีที่ผ่านมาเหรอ แล้วมาที่นี่ได้ยังไง” ย้อนกลับไปตอนที่ตระกูลฉินถูกสังหาร หากป้าเฟิงไม่ได้อยู่ข้างนอกกับฉินจวิ้นในตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เขาคงตายไปนานแล้ว และท้ายที่สุดในตอนนั้นพวกมันก็รู้ว่าฉินจวิ้นยังไม่ตายจึงตามไล่ล่าเขา ทั้งสองพลัดออกจากกันขณะหลบหนีจากการตามล่าของพวกมันในคืนนั้น ป้าเฟิงหนีกลับไปบ้านเกิดของเธอในชนบทอยู่เพียงไม่กี่ปี แต่ไม่มีใครรู้ว่าฉินจวิ้นไปอยู่ที่ไหนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอคิดว่าเขาถูกฆ่าไปแล้วด้วยซ้ำ ฉินจวิ้นอธิบาย "ผมได้รับการช่วยเหลือจากหญิงสาวจากตระกูลเยว่ครับ ในตอนนั้นผมอยู่กับพวกเขาในระยะนึงเพื่อซ่อนตัว และจากนั้นผมก็ออกจากตงไห่และได้พบกับปรมาจารย์ผู้รักสันโดษที่ผมติดตามเขาขึ้นไปบนภูเขาและเรียนรู้จากเขาในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา” ฉินจวิ้นเล่าอย่างเรียบง่ายและฟังดูผ่อนคลายมาก แต่เฟิงจวนรู้ว่าฉินจวิ้นต้องผ่านอะไรมามากแน่นอน เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเป็นเชิงว่าไม่ต้องห่วง “อย่ากังวลไปเลยครับป้าเฟิง ถึงร่างกายป้าจะฟื้นตัวเร็ว แต่ว่าป้าต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา แถมยังถูกสุนัขพวกนั้นกัดอีก มันมีความเป็นไปได้สูงเลยที่ป้าจะติดเชื้อ ผมจะสั่งยาให้ก่อน จากนั้นจะทำกัวซาและฝังเข็มในอีกสองสามวันหลังจากนี้ ป้าจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ” เฟิงจวนพยักหน้าอย่างแข็งขัน เธอคาดไม่ถึงเลยว่านายน้อยผู้สูงศักดิ์และฉลาดของเธอต้องผ่านประสบการณ์มากมายเพียงใดจึงจะสามารถเป็นยอดฝีมือตั้งแต่อายุยังน้อยได้ขนาดนี้ ฉินจวิ้นไปซื้ออาหารมาให้เธอจากข้างนอก แน่นอนว่าป้าเฟิงไม่สามารถทานอาหารที่มีรสจัดหรือมันเกินไปได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกโจ๊กไข่รสจืดและต้มยาสมุนไพรให้เธอแทน “บอกผมมาป้าเฟิง ใครขังป้าไว้ในกรง” น้ำเสียงของฉินจวิ้นอาจจะดูเรียบเฉยแต่ความจริงแล้วเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะระงับความโกรธสุดขีดเอาไว้ หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ครอบครัวของเขา ฉินจวิ้นไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เมื่อเห็นว่าป้าเฟิงถูกทรมานอย่างไรเขาก็มุ่งมั่นที่จะแก้แค้นให้เป็นสิบเท่า ป้าเฟิงกุมมือของฉินจวิ้นด้วยสีหน้ากังวล “อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลยนายน้อย เราไม่มีทางชนะเขาหรอก” ฉินจวิ้นทำเพียงแค่คลี่ยิ้มเบาๆ ตอบกลับไป “อย่ากังวลไปครับป้าเฟิง ผมเองก็มีวิธีของผม” คำพูดของฉินจวิ้นนั้นดูแปลกๆ เฟิงจวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็พูดว่า “คนพวกนั้นคือตระกูลถัง” ฉินจวิ้นขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “ตระกูลถัง? นั่นมันตระกูลแม่ของผมนี่ครับ เท่าที่รู้มาทั้งสองครอบครัวแต่งงานกันผ่านการยินยอมทั้งสองฝ่าย ถึงแม้ว่าตระกูลถังจะไม่เคยยื่นมือมาช่วยเหลืออะไรเลยก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ควรมาเหยียบย่ำเราตอนล้ม” เฟิงจวนถอนหายใจ “นายน้อย นับตั้งแต่คุณตาของคุณเสียชีวิต น้องชายของเขาก็เข้ามาปกครองตระกูลถัง นับจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาต้องการตัดสัมพันธ์กับตระกูลฉินและบอกให้บุคคลรับรู้ว่าตอนนี้คนที่เคยเป็นครอบครัวกลายเป็นศัตรูกันเรียบร้อยแล้ว” ฉินจวิ้นกำหมัดแน่น คุณตาของเขาไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับตระกูลฉินด้วยซ้ำ แถมการแต่งงานระหว่างพ่อและแม่ก็เป็นการคลุมถุงชน ความจริงที่ว่าตระกูลถังยังคงเหยียบย่ำตระกูลฉินเรื่อยมา ตลอดเวลาที่ตระกูลฉินมีปัญหาอยู่แล้วนั้นเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป เพราะพวกเขาไม่ปฏิบัติต่อเราเหมือนคนในครอบครัว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะมนุษย์เช่นกัน “เอาล่ะผมเข้าใจแล้วครับ พักผ่อนเถอะครับป้าเฟิง” ฉินจวิ้นดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวป้าเฟิง ก่อนจะปิดประตูเดินออกมา เขาหยิบมีดเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าที่ถืออยู่ก่อนจะใช้มันฆ่าสุนัขตัวร้ายทั้งสามตัวนั้นจนหมดสิ้นกลางสนาม ตัดภาพมาในขณะเดียวกัน ตระกูลถังกำลังสนุกสนานดูมีความสุขเสียเหลือเกิน “พี่ชายวันนี้เป็นวันเกิดของพี่ ฉันเคยคิดไว้ว่าจะฉลองที่ร้านอาหาร แต่เมื่อคิดอีกทีว่าพวกเราเป็นครอบครัวใหญ่มันคงจะดีกว่าถ้าเราจะฉลองที่บ้าน” บุคลที่พูดอยู่นั้นเป็นลูกคนที่สามของตระกูลถัง ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าใหญ่สามของฉินจวิ้นนั่นเอง และในที่ตรงนั้น คนพวกนั้นก็มีศักดิ์เป็นลุงและป้าของฉินจวิ้นกันทั้งนั้น นับตั้งแต่ถังหลงหมิ่นได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าตระกูลถัง เทียนฮ้าวลูกชายคนโตของเขาก็อยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจในที่แห่งนี้ เพราะเขาจะต้องเป็นผู้นำตระกูลต่อไปในอนาคต ดังนั้นโดยปกติแล้วสมาชิกทุกคนในครอบครัวมักพยายามประจบประแจงเขา ณ ห้องโถงขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลถังเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย พวกเขาทั้งหมดมาเพื่อฉลองวันเกิดของถังเทียนฮ้าว "นายท่านถังครับ สถานะของตระกูลถังนั้นกำลังเพิ่มขึ้นในตงไห่ แน่นอนว่าพวกเราจะมีโอกาสได้รับการจัดอันดับให้เป็นสี่อันดับแรกของตระกูลผู้ทรงอิทธิพลที่นี่” “ฮ่าฮ่า ไม่ต้องสงสัยเลย นายท่านถังเก่งมาก ครอบครัวเราก็เติบโตได้ดีมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่จะยืนขึ้นเป็นท็อปโฟร์ จะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป” “ไม่เห็นหรือว่ามีที่ว่างอยู่ในสี่อันดับแรกตระกูลผู้ทรงอิทธิพล นั่นเป็นเพราะมันสงวนไว้สำหรับพวกเรายังไงล่ะ” สี่ตระกูลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของตงไห่นั้น พวกเขามากด้วยความสามารถ อำนาจ และความมั่งคั่งที่สุดในตงไห่ ได้แก่ตระกูลฉี ตระกูลซู่ว และตระกูลฮัว และในตอนนั้นก็ยังมีตระกูลฉิน แต่หลังจากที่ตระกูลฉินถูกกำจัดออกไป ตำแหน่งหนึ่งในสี่อันดับแรกยังคงว่างอยู่ หลายตระกูลต่อสู้เพื่อตำแหน่งนี้มาครอบครอง และหนึ่งในตระกูลที่พยายามมากที่สุดคือตระกูลถัง ถังเทียนฮ้าวผู้ซึ่งเป็นเสาหลักของตระกูลถังในปัจจุบัน เขาอยู่ในช่วงรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จอย่างมากในอาชีพการงาน หากเขาเป็นผู้นำตระกูล มันคงเป็นไปได้สูงที่ตระกูลถังจะเป็นหนึ่งในสี่อันดับแรกอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้น ตระกูลถังและตระกูลฉินผูกสัมพันธ์กันด้วยการแต่งงาน ดังนั้นการเลือกที่รักมักที่ชังจึงเกิดขึ้นเป็นปกติในหมู่พวกเขา นั่นคือเหตุผลที่ตระกูลถังเพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ที่มีต่อตระกูลฉิน และเลือกทำลายล้างตระกูลฉินอย่างไร้ความปราณี ขนาดพี่เลี้ยงเด็กยังต้องถูกสังหาร และนี่ก็เพื่อให้อีกสามตระกูลรับรู้สิ่งที่ตระกูลถังกำลังทำ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้โลกเห็นว่าตอนนี้ตระกูลถังนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลฉินอีกแล้ว ถังเทียนฮ้าวยกแก้วในมือแล้วลุกขึ้น “ขอบคุณทุกท่านมากที่มางานฉลองวันเกิดของผมในวันนี้ อย่ามัวรีรอเลย ดื่มให้เต็มที่” ถังเทียนฮ้าวจิบพลางชูแก้วขึ้นเป็นการแสดงความเคารพต่อแขกในงาน หลังจากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและดื่มอวยพรให้เขาเช่นกัน ขณะที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไปอยู่นั้น บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็เดินเข้ามาและพูดว่า “นายท่านครับมีคนอยู่ที่ประตู เขามีบางอย่างอยู่ในมือและบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อฉลองวันเกิดของคุณ เรื่องก็คือ... เสื้อผ้าของเขามอมแมมดูเหมือนพวกขอทานเสียมากกว่า” สามัญชนไม่สมควรเข้าร่วมงานฉลองวันเกิดของนายท่านถัง ถังเทียนฮ้าวตอบว่า “ไม่เป็นไร คงมาที่นี่เพื่อขออาหารนั่นแหละ ตราบใดที่มาพูดอวยพรก็ให้อาหารเขาแล้วให้กลับไปเถอะ” "รับทราบครับนายท่าน" ขณะที่บอดี้การ์ดกำลังจะหันกลับออกไป เด็กหนุ่มหน้าตาซอมซ่อที่เขาพูดถึงก็เดินเข้ามาแล้ว ฉินจวิ้นยืนอยู่ข้างประตูด้วยสีหน้าเยียบเย็นพลางจ้องมองไปในหมู่แขกในงานก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "ถังเทียนฮ้าว โผล่หางสกปรกของแกออกมา"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ปรมาจารย์การแพทย์