ตอนที่ 5 ความโหดเหี้ยม
ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบ สิ้นคำพูดของฉินจวิ้นที่ทำให้ทั้งคนทั้งงานนิ่งเงียบราวกับคนตายในยามค่ำคืน นั่นเขากล้าเรียกชื่อเต็มของนายท่านถังเฉยๆ แบบนั้นเชียวเหรอ เขาคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วกระมัง แถมเขายังบอกให้นายท่านถังไปหาอีก ไอ้เด็กเหลือขอนี่มาจากไหน ถึงมารนหาที่ตายแบบนี้กันล่ะ แม้แต่ขอทานข้างถนนหรือคนโง่ปัญญาอ่อนเพียงใดก็รู้ว่าจะไม่ควรรุกรานหรือเหิมเกริมกับนายน้อยตระกูลถังเช่นนี้ การทำกริยาหยาบคายเช่นนี้กับถังเทียนฮ้าวในวันเกิดของเขาก็เท่ากับเป็นการขอพรให้ตัวเองตายไวขึ้นก็เท่านั้น ใบหน้าของถังเทียนฮ้าวมืดลง ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาหลายปีแล้ว ไอ้ขอทานนี่ช่างบังอาจนัก วอนหาที่ตายเร็วซะแล้วสินะ ยังไม่ทันที่ถังเทียนฮ้าวจะได้เอ่ยอะไรออกมา บรรดาเหล่าบอดี้การ์ดก็วิ่งมาเพื่อจะชาร์จเข้าตัวฉินจวิ้นทันที มือข้างนึงถูกยกขึ้นเพื่อจะต่อยเข้าที่ใบหน้าของฉินจวิ้น บอดี้การ์ดของตระกูลถังนั้นเป็นทหารไม่ก็นักศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาล้วนมีพลังมหาศาลและบังเอิญว่าบอดี้การ์ดคนนี้ได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และเคยรับราชการในกองทัพอีกด้วย นักสู้ที่เก่งกาจหลายต่อหลายคนก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้เลย หมัดของเขานั้นไม่ได้รับการออมมือแต่อย่างใด มันสามารถสร้างความเสียหายให้กับใบหน้าเล็กๆ ของฉินจวิ้นได้เต็มๆ เลยเชียวล่ะ ใครก็ตามที่กล้าก่อความวุ่นวายในวันเกิดของนายท่านถังมันสมควรตายแล้วละ ทันทีที่หมัดพุ่งเข้าหาเป้าหมายสิ่งที่พบเขากลับเป็นเข็มสีเงินที่บางเท่าเส้นผมแทน ปั่ก... คิดว่าหมัดนั้นจะซัดฉินจวิ้นให้ร่วงแต่กลับไม่ ทว่าในชั่วพริบตา คนที่อยู่บนพื้นกลับเป็นตัวบอดี้การ์ดเสียเอง ไม่มีใครทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น สำหรับทุกคนแล้วบอดี้การ์ดเพียงแค่เหวี่ยงแขนของเขาและจบลงที่ลงไปนอนพื้นโดยหมดสติพร้อมกับน้ำลายฟูมปากก็เท่านั้น และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเข็มบางนั่นเจาะเข้าไปในกำปั้นของบอดี้การ์ดและทำให้เขาล้มลง การเคลื่อนไหวของฉินจวิ้นนั้นรวดเร็วมากจนไม่มีใครสามารถโต้กลับได้ทันท่วงที พอเห็นว่าบอดี้การ์ดฝีมือดีที่สุดของตระกูลถังลงไปนอนอยู่บนพื้นแล้วทำให้ทุกคนเริ่มให้ความสนใจกับเจ้าหนูที่ดูซอมซ่อที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาขึ้นมา เด็กหนุ่มถือถังที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงที่มีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจนถังเทียนห่าวขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย "แกเป็นใครกล้าดียังไงมาป่วนบ้านฉัน” ฉินจวิ้นเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง สายตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ฉันจะพูดครั้งนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น ไสตูดของแกมาที่นี่เดี๋ยวนี้ไอ้เวร” แต่ไม่ว่าอย่างไรการได้เห็นว่าฉินจวิ้นเอาชนะบอดี้การ์ดคนนั้นได้อย่างง่ายดายเพียงใดก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนหวาดกลัวกันทั้งหมด เด็กคนนี้ร้ายกาจเกินไป ถังเทียนฮ้าววางแก้วไวน์ลงและลุกขึ้น ถึงแม้ว่าฉินจวิ้นจะดูต่างจากคนอื่นแต่ถังเทียนฮ้าวก็ยังไม่ได้หวาดเกรงเท่าไหร่ เขาเชิดหน้าขึ้นสูงและเดินอกผายอย่างมั่นใจ ชายผู้นั้นเดินไปหาฉินจวิ้นด้วยท่าทีที่ผ่าเผยสมกับเป็นตระกูลหนึ่งในสี่ตระกูลชั้นนำ “แกแน่ใจนะว่ากล้าก่อเหตุในงานฉลองวันเกิดของฉัน แกรู้หรือไม่ว่ากำลังจะนำอะไรมาสู่ตัวเองน่ะ” ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นจบลง ฉินจวิ้นยกมือขึ้นพลางตบไหล่ถังเทียนฮ้าวเบา ๆ การตบเบาๆ ที่ดูเหมือนจะเบาแต่ไหล่ของถังเทียนฮ้าวรู้สึกหนักอึ้งมากเหลือเกิน ปึ้ก... ด้วยการตบไหล่เพียงผิวเผินแค่นั้น แต่กลับทำให้เข่าของถังเทียนฮ้าวทรุดลงถึงพื้นเสียงดังตุบ ทุกคนตกตะลึงไปทันที นายท่านถังกำลัง...คุกเข่างั้นเหรอ ถังเทียนฮ้าวตัวสั่นเมื่อความเจ็บปวดจากหัวเข่าแผ่ไปทั่วร่างกายของเขา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่ฟันของเขาพูดพล่ามอย่างไม่สามารถควบคุมได้ มันเป็นเพียงการตบไหล่เบาๆ ของฉินจวิ้นแต่ชายคนนั้นรู้สึกเหมือนถูกภูเขาทับ เขาไม่มีทางป้องกันตัวเอง ไอ้สารเลวนี่ ฉินจวิ้นมองไปที่ถังเทียนฮ้าวพลางพูดอย่างเย็นชาว่า "แกบังอาจขังป้าเฟิงเอาไว้ในกรง คงไม่รู้สินะว่าจะต้องเจอกับอะไร” สังเกตได้เลยว่ามันเป็นคำเดียวกับที่ถังเทียนฮ้าวพูดกับเขา แต่เขาก็เอามันสาดกลับไปที่คนพูดเช่นกัน ท่าทีของถังเทียนฮ้าวเปลี่ยนไปทันที ป้าเฟิง... ไอ้หมอนี่กำลังพูดถึงพี่เลี้ยงของตระกูลฉินคนนั้นหรือเปล่า ถังเทียนห่าวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยในขณะที่ยังคงแสดงสีหน้าเจ็บปวดอยู่ "แกเป็นใครกันแน่" ฉินจวิ้นไม่ตอบคำถามนั้นแต่กลับพูดว่า “ให้เวลาสามวัน พวกแกทั้งครอบครัวต้องคุกเข่าลงต่อหน้าป้าเฟิงและขอโทษเธอซะ ไม่อย่างงั้นรอรับกรรมของตัวเองได้เลย” เมื่อสิ้นสุดคำพูดของฉินจวิ้นจบลง ฝูงชนทั้งหมดในงานก็โกลาหล พูดอะไรน่ะ นี่เด็กนั่นกำลังบอกให้ทั้งตระกูลของนายท่านถังคุกเข่าแล้วขอโทษเนี่ยนะ กำลังคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ฉินจวิ้นพูดต่อไปอีก “ได้ยินว่าวันนี้เป็นวันเกิดของแกสินะ ดังนั้นจะมามือเปล่าก็คงจะเสียมารยาท เอาเลือดหมานี่ไปก็แล้วกัน” ไม่พูดเปล่าฉินจวิ้นก็ยกถังเลือดสุนัขสดๆ เอียงราดเทลงไปทันที เลือดส่งกลิ่นเหม็นคาวนั้นไหลรดไปตั้งแต่ศีรษะของถังเทียนฮ้าว และของเหลวโสโครกก็ไหลลงอาบไปทั่วร่างกายเต็มไปหมด ถึงแม้การเคลื่อนไหวของฉินจวิ้นจะเชื่องช้าแต่ทางฝั่งของถังเทียนฮ้าวยังคงนิ่งสนิท เพราะถ้าเขาขยับช่วงเข่าของเขาจะเจ็บอย่างมาก เป็นเวลาหลายนาทีที่ภายในโถงคฤหาสน์ยังคงเงียบสนิทจนแม้แต่เข็มหล่นลงบนพื้นก็ยังได้ยิน ทุกคนในที่นั้นต่างเบิกตากว้างในขณะที่ฉินจวิ้นเทเลือดสุนัขทั้งถังลงบนหัวของถังเทียนฮ้าวโดยที่ไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว ในช่วงจังหวะที่เกิดขึ้นไม่มีใครกล้าหยุดเขาสักคน แน่นอนใครมันจะไปกล้าละ ขนาดผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถูกเล่นงานจนล้มลงกับพื้น แล้วคนสติดีๆ ที่ไหนเขาจะเอาตัวเองเข้าไปสอดในสถานการณ์แบบนี้กันเล่า ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านถังเองก็ยังนิ่งไม่ตอบโต้ แล้วทำไมพวกเขาจึงต้องทำอะไรด้วยเล่า ถ้าถังเทียนฮ้าวสามารถอ่านความคิดของพวกเขาได้ เขาคงจะกระอักเลือดไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับแต่มันขยับไม่ได้ต่างหาก เมื่อเห็นว่าถังว่างเปล่า เลือดถูกเทออกไปจนหมดฉินจวิ้นก็โยนมันลงบนพื้นและเช็ดมือด้วยผ้าสีขาวที่เขาพกติดตัวอยู่เสมอ “จำคำที่ฉันพูดไว้นะ ถ้าไม่ทำตามที่บอกในสามวัน ก็เตรียมตัวรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ได้เลย” จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไป เมื่อพอไปถึงประตูก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “อ่อ แล้วก็นะ นามสกุลของฉันคือฉิน ฉินจากตระกูลฉิน” "เร็วเข้า เอาน้ำมาสิ” ทุกคนกลับมารู้สึกตัวหลังอีกครั้งหลังจากที่ฉินจวิ้นออกไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว พวกเขารีบคว้าน้ำมาล้างเลือดออกจากร่างของถังเทียนฮ้าวอย่างรวดเร็ว “พยุงนายท่านเร็ว” ทุกคนต่างอดทนต่อกลิ่นเหม็นของเลือดสุนัขที่มีจากตัวถังเทียนฮ้าวและพยายามยกตัวเขาขึ้น ในตอนนี้ขาทั้งสองข้างของเขาชาไปหมดแล้วและไม่รู้สึกอะไรใดๆ อีกต่อไป ขาของเขาต่างออกไปจากปกติ มันราวกับว่ามันไม่ใช่ขาของเขาอีกต่อไป กระดูกข้อต่อของเขาต้องหักเป็นแน่หากไม่ได้รับการรักษาในทันที ตอนนี้อาจจะสูญเสียขาไปเลย “120 โทร 120 เดี๋ยวนี้” ใช้เวลาไม่นานนัก ถังเทียนฮ้าวและผู้คุ้มกันที่บาดเจ็บก็ถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาล มันควรจะเป็นการเฉลิมฉลองวันเกิดที่สนุกสนานแท้ๆ แต่นายท่านคนนั้นกลับอยู่ในสภาพย่ำแย่และเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวเลือดสุนัข สมาชิกตระกูลถังที่เหลืออยู่รวมถึงแขกคนอื่นต่างก็ชำเลืองมองซึ่งกันและกันแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉินแห่งตระกูลฉิน ตระกูลฉินที่ชายหนุ่มพูดถึงอาจเป็นตระกูลฉินเมื่อสิบปีก่อนก็ได้ แต่ตระกูลนั้นได้ถูกฆ่าล้างตระกูลไปแล้วนี่ ทำไมยังมีคนเหลืออยู่ได้ล่ะ ถ้าเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นลูกหลานของตระกูลฉินจริงละก็ เขาคงจะไม่วางมือกับเรื่องนี้แน่ การที่ตระกูลถังหันหลังให้กับครอบครัวของพวกเขาแถมยังเหยียดหยามความลำบากของพวกเขาอีก บางทีตอนนี้พวกเขากำลังแบกรับความทรมานอยู่ก็เป็นได้... ฉินจวิ้นไม่รู้สึกเจ็บปวดใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ในตลอดเวลาระหว่างที่เขาเดินออกจากบ้านตระกูลถัง...ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นครั้งนึงเคยเป็นครอบครัวของเขา แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นไอ้พวกเดรัจฉานที่น่าขยะแขยงในสายตาของเขามากกว่า ยามเมื่อตระกูลฉินประสบปัญหาพวกเขาไม่เคยขอความช่วยเหลือจากตระกูลถังเลยสักครั้ง แถมยังไม่เคยต้องการสร้างภาระให้กับใครอีกด้วย แต่กลับโชคร้ายเหลือเกินที่โดนฆ่าล้างแบบนั้นทั้งครอบครัวและนั่นเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้...รอยยิ้มอันเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินจวิ้นขณะที่เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า...ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้นเปราะบางราวกับเศษกระดาษ และอะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงบ่อยราวกับกระดานหมากรุกที่จะพร้อมรีเซ็ตเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าคุณยากจนหรือลำบากคุณจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย ถึงแม้ว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ก็ตาม แต่กลับกันถ้าคุณรวยละก็ ญาติห่างๆ จะแห่แหนมาหาแม้ว่าจะอยู่บนภูเขาในป่าลึกก็ตาม นี่เป็นเพียงเปราะบางในความสัมพันธ์ของมนุษย์นั่นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ปรมาจารย์การแพทย์