ปรมาจารย์การแพทย์ นิยาย บท 6

ตอนที่ 6 รุ่นพี่

ย้อนกลับไปในอดีตตระกูลถัง ตระกูลจู้และตระกูลอื่นๆ ที่โดดเด่นน้อยกว่าไม่กี่ตระกูลสามารถเติบโตได้เพราะว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฉิน ราวๆ สิบกว่าปีที่แล้วเมื่อตระกูลฉินถูกกำจัดมีเพียงตระกูลจู้เท่านั้นที่ได้ช่วยพวกเขาไว้ ส่วนที่เหลือทำราวกับว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าไป ไอ้พวกตระกูลฉี ตระกูลฮัว ตระกูลซู่ว และตระกูลถังที่เนรคุณ แน่นอนว่าฉินจวิ้นจะทำให้คนเหล่านี้ชดใช้ทั้งหมด เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมา และเป็นครั้งแรกที่โทรหาหมายเลขที่เขาบันทึกไว้นานแล้วแต่กลับไม่เคยคิดที่จะโทรเลยสักครั้ง... ในไม่กี่วินาทีต่อมาปลายสายก็รับสาย เสียงปลายสายดูประหม่าเล็กน้อย "รุ่นพี่ใช่รึเปล่าครับ” คนที่รับสายคือรุ่นน้องของฉินจวิ้นในตอนที่เขาฝึกงาน... เยว่ซวนหยวนอาจารย์ของฉินจวิ้น ในช่วงแรกเริ่มเขามักจะออกเดินทางไปทั่ว แล้วเขายังรับคนเป็นศิษย์มากหลายต่อหลายคนและนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ บรรดาศิษย์ที่ได้รับการร่ำเรียนจากเขานั้นกลายเป็นผู้มีอำนาจหรือได้รับความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างเหลือเชื่อ แต่ทว่าเนื่องจากพวกเขาไม่มีพรสวรรค์พิเศษอะไรนอกเหนือจากนี้ ทำให้อาจารย์สอนเคล็ดลับให้พวกเขาเพียงหนึ่งหรือสองอย่างเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน ฉินจวิ้นนั้นแตกต่างออกไปมาก เขาถือว่าเป็นศิษย์หลักของเยว่ซวนหยวนเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าเขาจะเข้ามาทีหลังและอายุน้อยกว่าคนอื่น ๆ แต่เขาสามารถเรียนรู้ทักษะจากอาจารย์และพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นศิษย์ที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่ง นี่คือสาเหตุที่คนบางกลุ่มเรียกฉินจวิ้นว่ารุ่นพี่ถึงแม้ว่าบางคนจะแก่กว่าเขาถึง 20 ปีก็ตามที แต่สำหรับพวกเขาแล้ว อำนาจและความมั่งคั่งในโลกวัตถุนิยมนั้นไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของพวกเขา ฉินจวิ้นสามารถเป็นเจ้าของทุกสิ่งภายใต้ดวงอาทิตย์ได้อย่างง่ายดายหากต้องการและพวกเขาอิจฉาในความสามารถ อีกทั้งเขายังเป็นคนเดียวที่ในการรับความรู้ทั้งหมดที่อาจารย์มอบให้ได้อย่างง่ายดาย... ในตอนนั้นฉินจวิ้นสามารถเรียนรู้ได้เร็วและเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดได้อย่างง่ายดายและนำไปใช้ได้อย่างดี ดังนั้นใคร ๆ ก็ต่างพากันรับรู้ได้ว่าเขาเก่งกาจแค่ไหน ราวกับเรียนรู้กับอาจารย์มานานแสนล้านปียังไงยังงั้น นอกจากความอิจฉาแล้วนั้นรุ่นน้องกลุ่มนี้กลับเคารพและเทิดทูนเขามากเช่นเดียวกับที่พวกเขาเคารพอาจารย์ของพวกเขา... บุลคลปลายสายนั้นก็คือซุนเจี้ยนหมิ่น รุ่นน้องของฉินจวิ้น ซึ่งเคยฝึกงานกับอาจารย์ด้วยกัน แถมเขายังเป็นศิษย์คนแรกที่เริ่มฝึกงานกับอาจารย์ และตอนนี้เป็นหนึ่งในบุคลสำคัญของตงไห่ แต่ฉินจวิ้นกลับดูสงบและนิ่งมากยามเมื่อเขาพูดคุยกับคนใหญ่คนโตอย่างเขา “ใช่ ฉันกลับมาที่ตงไห่แล้ว” ซุนเจี้ยนหมิ่นนั้นงานยุ่งมากและเขาเคยพบรุ่นพี่อย่างฉินจวิ้นแค่เพียงครั้งเดียวเมื่อสิบปีก่อนเท่านั้น นี่หมายความว่ากำลังจะได้เจอกันอีกอย่างนั้นเหรอ “รุ่นพี่ครับ ไม่ว่าตอนนี้จะอยู่ที่ไหนผมจะส่งคนขับรถไปรับนะ ไม่สิ ผมจะไปรับคุณเอง!” แน่นอนว่าซุนเจี้ยนหมิ่นจะเคารพแต่คนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเท่านั้น ซึ่งในหานตงนั้นมีไม่ถึงห้าเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับซุนเจี้ยนหมิ่นแล้วมันเป็นเกียรติสำหรับเขาเหลือเกิน ถ้าได้เป็นคนขับรถให้รุ่นพี่ของเขา “ไม่ต้องลำบากหรอก ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านน่ะ แต่มีบางอย่างที่ฉันต้องการให้นายตรวจสอบให้หน่อย” “เอาล่ะ รุ่นพี่กำลังมอบงานให้ผมสินะ” ฉินจวิ้นกล่าวต่อว่า “ช่วยตรวจดูที ศพของตระกูลฉินที่ถูกฆาตกรรมเมื่อสิบปีก่อนนั้นถูกฝังอยู่ที่ไหน” ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อมา ซุนเจี้ยนหมิ่นก็ติดต่อกลับมา “โอเค เข้าใจแล้ว” แล้วฉินจวิ้นก็วางสายไป ซุนเจี้ยนหมิ่นที่ยังไม่หายจากอาการตกใจ มันจะเป็นความโชคดีที่เขาได้ใช้ทั้งชีวิตแล้วล่ะ ฉินจวิ้นไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เท่านั้นแต่ยังเชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้อีกด้วย ทำไมกันนะรุ่นพี่จึงละทิ้งโอกาสดีๆ และกลับไปที่ตงไห่แทน ตระกูลฉินเมื่อสิบปีก่อนเหรอ... เมื่อสิบปีที่แล้ว ซุนเจี้ยนหมิ่นยังไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในหานตงแบบนี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นที่นั่นเลย ว่าแต่รุ่นพี่น่ะ.. นามสกุลของเขาคือฉินเหมือนกันนี่ ฉินเหรอ... ซุนเจี้ยนหมิ่นตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเขาพยายามต่อชิ้นส่วนปริศนาเข้าด้วยกัน อย่าบอกนะว่า รุ่นพี่เป็นสมาชิกของตระกูลฉิน!!! จู่ๆ ความหนาวเย็นก็ไหลลงมาตามไขสันหลังทำให้ขนลุกไปทั้งตัว ถ้ารุ่นพี่มาจากตระกูลฉินจริงละก็ ตงไห่......จะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน ซุนเจี้ยนหมิ่นคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาทันทีเพื่อโทรหาเมิ่งเหวินกังรุ่นน้องของเขา และยังเป็นชายผู้มั่งคั่งที่สุดในมณฑลหานตงและยังเป็นมหาเศรษฐีของจีนอันดับที่หกอีกด้วย เขาฝึกงานช้ากว่าซุนเจี้ยนหมิ่นสองปีแต่ก็เป็นรุ่นน้องคนที่สี่ของฉินจวิ้นเช่นกัน "คุณซุนอะไรทำให้นึกถึงฉันกันล่ะ” เมิ่งเหวินกังยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซุนเจี้ยนหมิ่นพูดขึ้น "รุ่นพี่กลับมาแล้วนะ" "รุ่นพี่คนไหน" "หยุดเลยนะ พวกเรามีรุ่นพี่กี่คนกันห้ะ” “หมายความว่าเขาคนนั้นกลับมาแล้วเหรอ!” เมิ่งเหวินกังตกใจมากเพราะนอกจากซุนเจี้ยนหมิ่นแล้ว รุ่นพี่อีกคนของเขานั้นคือคนผู้นั้นคนที่ติดตามอาจารย์มาสิบปี รุ่นพี่กลับมาแล้วงั้นเหรอ...กลับไปที่ตงไห่เหรอ "นี่...คุณชายซุน รุ่นพี่ได้ติดต่อไปเหรอไง” ซุนเจี้ยนหมิ่นตอบกลับ "ใช่ เขามาขอให้ฉันตรวจสอบบางอย่างน่ะ เช่นเรื่องในอดีตของตระกูลฉิน แถมนามสกุลของรุ่นพี่ก็คือฉินเช่นกัน แล้วตอนนี้เขาได้เดินทางกลับไปยังตงไห่แล้ว ฉันกลัวว่ามัน....” เมิ่งเหวินกังเกิดและเติบโตที่ตงไห่ ดังนั้นเขาจึงรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดในท้องที่เป็นอย่างดี แต่เขาไม่คาดมาก่อนเลยว่ารุ่นพี่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉินนั่น ให้ตายเถอะตระกูลฉี ตระกูลฮัวและตระกูลซู่ว พวกเขาตายแน่ "คุณชายซุน ช่วยแจ้งรุ่นพี่ด้วยว่าถ้าหากเขาต้องการความช่วยเหลือละก็...ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนเขาเลยล่ะ” หลังจากวางสาย ซุนเจี้ยนหมิ่นก็โทรหาอีกคน หวังจินไห่ หนึ่งในรุ่นพี่ที่เคยฝึกงานของท่านอาจารย์ซวนหยวนเหมือนกัน ซึ่งรับผิดชอบกองกำลังทหารตะวันออกเฉียงใต้ นายพลระดับสูงผู้อายุยังน้อยเขาได้รับรางวัลมากมายแถมเป็น 'เทพ' ในวงการทหารในยุคปัจจุบันอีกด้วย "รุ่นพี่ผมซุนเจี้ยนหมิ่นนะ' "คุณชายซุน นายเรียกฉันว่าอะไรนะ” “รุ่นพี่กลับมาที่ตงไห่แล้วล่ะ” "อะไรนะ" หวังจินไห่ผงะไปทันที ถึงแม้ว่าในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมดเขาเป็นรุ่นพี่ที่อาวุโสที่สุดและมีอำนาจมากที่สุด แต่มักจะมีคนหนึ่งจะอยู่เหนือเขาและแม้แต่เขาเองก็ยังให้ความเคารพนับถือเช่นกัน บุคคลนั้นถือว่าเป็นศิษย์พี่ที่ซึ่งติดตามอาจารย์มาตลอดสิบปีที่ผ่านมา ฉินจวิ้นนั่นเอง “รุ่นน้องเอ๋ย ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในหานตง แต่จะพยายามกลับไปโดยเร็วที่สุดเพื่อพบกับรุ่นพี่” คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ร่ำรวยและมีอำนาจมาก แต่ในสายตาของพวกเขาการได้พบกับฉินจวิ้นก็ถือเป็นเกียรติอย่างสูงสุดมากเลยทีเดียว ตัดมาอีกด้านนึง ถึงแม้ว่าป้าเฟิงในตอนนี้จะยังอ่อนแอแต่เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดทำความสะอาดและดูแลความเรียบร้อยในคฤหาสน์ฉิน ตั้งแต่ที่เธอได้กลับมา “นายน้อยกลับมาแล้วเหรอคะ” ป้าเฟิงรู้สึกโล่งใจที่เห็นฉินจวิ้นกลับมาอย่างปลอดภัย ตระกูลฉินไม่ใช่ตระกูลฉินอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อก้าวเข้ามาในตงไห่ และตระกูลถังถึงแม้แต่ในสายตาของตระกูลฉินนั้นก็เป็นตระกูลที่มั่นคงซึ่งไม่มีใครกล้าแตะต้องเช่นกัน “ป้าเฟิง ไม่ต้องกังวลไป ในอีกสองสามวันพวกมันจะต้องมาคุกเข่าต่อหน้าป้าและขอการให้อภัยจากป้าแน่นอน” ป้าเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งยิ้มแห้งไปให้ ถ้ามันง่ายอย่างที่นายน้อยคิดแบบนั้นก็ดีสิ พวกเขาเป็นถึงตระกูลถัง ต่อให้ฟ้าดินถล่มยังไงพวกเขาจะมาขอโทษพี่เลี้ยงธรรมดาๆ ได้ยังไงกัน อย่างน้อยเราควรขอบคุณเขาด้วยซ้ำ ถ้าพวกเขาจะเมตตาหยุดสร้างปัญหาให้กับนายน้อยและปล่อยให้เราอยู่อย่างสงบสุขเสียที และในขณะที่ป้าเฟิงกำลังจะเตรียมอาหาร จู่ๆ ก็มีรถมาถึงที่บ้านของพวกเขา หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวก้าวออกมาจากรถออดี้สีดำ เธอสวมกระโปรงสั้นรัดรูปและเสื้อเบลเซอร์แขนสั้น ถึงจะดูบอบบางแต่สง่างามเหลือเกิน ผมยาวสลวยของเธอถูกปล่อยสยายไปด้านหลัง เธอคือจู้หลินหลิน จากตระกูลจู้นั่นเอง “จวิ้น นั่นจวิ้นใช่ไหม” มันก็นานมากเหลือเกิน พวกเขาไม่ได้พบกันเป็นเวลา 10 ปีน่าจะได้ รูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองเล่นด้วยกัน พวกเขาก็อายุแค่เพียงสิบสองเท่านั้น “จวิ้น ฉันเองนะ หลินหลินไง!” รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นที่หน้าของฉินจวิ้น “หลินหลิน ฉันไม่ได้เจอเธอมาสิบปีแล้วสินะ ตอนนี้ฉันจำเธอแทบไม่ได้แล้ว” พลันเมื่อสบตามองไปที่ชายหนุ่มร่างสูงที่หล่อเหลาราวกับลูกรักพระเจ้าที่ยืนตรงหน้าเธอนั้น ฉับพลันหลินหลินก็รู้สึกเศร้ากับชะตากรรมที่ตระกูลฉินต้องทนทุกข์ทรมานเสียเหลือเกิน นอกจากจู้หลินหลินที่มาแล้วยังมีอีกสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ ซึ่งก็คือผู้อาวุโสของตระกูลจู้นั่นเอง ชายวัยกลางคนเดินก้าวไปข้างหน้าพลางขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นฉินจวิ้น “นายยังมีความกล้าที่จะกลับมาอีกเหรอไง นี่ไม่รู้หรือว่าตระกูลฉินมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในตงไห่ขนาดไหน นี่นายกำลังพยายามทำให้ตระกูลจู้ตกต่ำด้วยใช่ไหม” ชายคนนี้คือจู้หมิง ผู้อาวุโสที่สุดในครอบครัวและถือเป็นลุงใหญ่ของหลินหลิน สุขภาพของจู้ซานต้าวไม่สู้ดีนักและแย่ลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นจู้หมิงจึงกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวในตอนนี้ จู้หลินหลินที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วทันที “ลุงใหญ่คะ กำลังพูดอะไรน่ะ? หมายความว่ายังไงที่ทำให้ตระกูลจู้ตกต่ำ รู้รึเปล่าจวิ้นไม่ได้เหยียบไปบ้านเราด้วยซ้ำหลังจากที่เขากลับมาที่นี่น่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ปรมาจารย์การแพทย์