บทที่ 26 ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
เมื่อเห็นดังนั้น นัยน์ตาซูเฉินยังคงมองนิ่ง ไร้ความโกรธเกรี้ยวใด เขาทำตัวราวกับเป็นคนตาบอดจริง ๆ
จากนั้นไม่นาน หมิงชูก็นำโจวหงมา
ในความทรงจำของซูเฉิน โจวหงเป็นชายร่างสูง เนื้อตัวกำยำ คนผู้นี้เป็นคนเคร่งขรึม มีท่าทางสงบนิ่งอยู่ตลอด ทว่าตอนนี้ เขากลับดูผอมแห้ง หน้าตากระเซอะกระเซิง ท่าทางที่ดูมีอายุมากขึ้นและเครารกรุงรังของเขาแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากที่ต้องเผชิญหลังถูกปลดออก เมื่อหมิงชูบอกเขาว่านายน้อยต้องการให้เขากลับไปเป็นคนขับรถม้า เขาก็ตื่นเต้นจนควบคุมตนเองไม่อยู่ เขากึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาซูเฉิน ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วร้องขึ้น “โจวหงคนบาป ทักทายนายน้อยสี่ขอรับ!”
ซูเฉินเอ่ยเสียงเบา “เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอดีตไปแล้ว เจ้าเองก็ได้รับบทลงโทษแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะเรียกใช้เจ้าดังเดิม ทำงานให้ดีเล่า”
โจวหงตอบกลับเสียงดัง “ข้าจะรับใช้นายน้อยอย่างซื่อสัตย์จนวันตายขอรับ!”
“ดี เช่นนั้นไปเตรียมรถมาเถอะ” ซูเฉินกล่าว
โจวหงรีบไปเตรียมรถม้าทันที แม้จะไม่ได้จับบังเหียนมาถึงสามปี แต่ท่วงท่ายังคงลื่นไหล เขาปลอบม้าจนสงบอย่างรวดเร็ว จากนั้นกระโดดขึ้นไปนั่งตรงที่คนบังคับม้า รอซูเฉินขึ้นไปยังรถม้าด้านหลัง
ซูเฉินเดินไปสองสามก้าว ก่อนจะหยุดฝีเท้า ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นก็เดินมาทางซูเยว่ ระหว่างที่เดินก็เอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเสี่ยวจิ่วที่ช่วยพูดให้ข้าไม่ถูกพวกบ่าวไพร่รังแกเลย”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปหาซูเยว่และคำนับให้เขา
ซูเยว่สะบัดพัดในมือตนก่อนหัวเราะ “ไม่จำเป็นหรอกท่านพี่ พี่สี่รีบขึ้นรถม้าไปจัดการธุระให้ทันเวลาเถิด”
“ได้อย่างไรกัน? ถ้าไม่ได้เสี่ยวจิ่วช่วยไว้ วันนี้ข้าคงไม่ต้องออกไปไหนเสียแล้ว อย่างนี้เป็นไง น้องเก้าไปกับข้าดีหรือไม่? ข้าจะเลี้ยงชาน้องเก้าสักถ้วย” ซูเฉินพูดพร้อมคว้าข้อมือซูเยว่ไว้
เขายืนอยู่ตรงหน้าซูเยว่ ซูเฉินขยับตัวเร็วมาก เขาคว้าข้อมือซูเยว่ไว้โดยง่ายด้วยอีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว
ใบหน้าซูเยว่เผยแววลนลานออกมา “ไม่จำเป็นหรอก ข้ายังมีเรื่องให้ต้องไปจัดการ”
พูดไปเขาก็รีบถอยตัวออกห่าง สะบัดข้อมือออกจากมือ ซูเฉิน
ทว่าหากนับเรื่องพละกำลังแล้ว เขาถือว่าอ่อนแอกว่า ซูเฉินมาก จะสะบัดซูเฉินออกไปได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร?
ซูเฉินจับข้อมือซูเยว่ไว้ไม่ยอมคลาย บนใบหน้าแต้มรอยยิ้มบาง “อะไรหรือ? พี่สี่ขอร้องเจ้าดี ๆ เจ้าไม่คิดจะไว้หน้าพี่บ้างหรือ?”
มือที่จับข้อมือซูเยว่ไว้ดังคีมเหล็กที่หนีบลงบนข้อมือ ทำให้ซูเยว่ไม่อาจหนีไปไหนได้
ซูเยว่ยิ่งลนลานหนักกว่าเก่า เริ่มตีแขนซูเฉินอย่างแรง “ปล่อยข้า!”
ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “ดูท่าน้องเก้าจะไม่อยากขึ้นไปบนรถม้างั้นสินะ แต่ว่าข้าอยากเห็นจริง ๆ ว่าตอนที่น้องเก้าขึ้นไปบนรถม้าจะเป็นอย่างไร…… โจวหง!”
ซูเฉินพลันตะโกนขึ้นเสียงดัง
โจวหง ที่กำลังนั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนบังคับรถม้าตอบในทันใด “ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ!”
ซูเฉินไม่แม้แต่จะหันไปมอง เขาคว้าข้อมือซูเยว่ ก่อนจะโยนร่างเขาไปยังทิศทางที่เสียงโจวหงเปล่งมา ร่างซูเยว่ปลิวเข้ารถม้าด้านหลังโจวหง
ร่างของซูเยว่กระเด็นไปกระแทกกับรถม้าเสียงดังสนั่น แรงกระแทกส่งผลให้รถม้าที่ใกล้จะพังอยู่รอมร่อทลายลงมาเสียงดังลั่น ไม่เพียงเท่านั้น เข็มเงินที่ซ่อนอยู่ในรถม้าเองก็โผล่ออกมา ทิ่มแทงร่างซูเยว่ด้วยเช่นกัน
“อ๊า!” ซูเยว่กรีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
“นายน้อยเก้า!” โม่ต้าเหยียนตกตะลึง ตวัดสายตามอง ซูเฉินอย่างโกรธแค้น “สารเลวซูเฉิน เจ้ากล้า……”
ซูเฉินตอบกลับคำพูดนั้นด้วยการก้าวไปข้างหน้า ทิ้งรอยเท้าลึกไว้บนทางเดินหิน จากนั้นร่างของเขาก็ลอยขึ้นมา ซัดพลังเข้าใส่โม่ต้าเหยียนทันที แรงซัดส่งผลให้โม่ต้าเหยียนถอยไปสองสามก้าวก่อนจะกระอักเลือดออกมา
แท้จริงแล้ว หากนับเรื่องพละกำลังเพียงอย่างเดียว โม่ต้าเหยียนนับว่าแข็งแกร่งกว่าซูเฉินอยู่เล็กน้อย ถึงคนทั้งคู่จะมีขั้นพลังอยู่ในด่านหลอมกายาขั้น 9 เหมือนกัน นี่เป็นด่านสุดท้ายก่อนผู้ฝึกยุทธ์จะทะลวงด่านไปยังด่านก่อเกิดลมปราณ ทว่าโม่ต้าเหยียนไม่คิดว่าซูเฉินจะลงมือโจมตีรวดเร็วเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นเพียงคนตาบอด แต่กลับสามารถโจมตีได้อย่างแม่นยำและรุนแรงนัก
จังหวะที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว การซุ่มโจมตีของซูเฉินทำให้กระดูกซี่โครงเขาหักไปหนึ่งท่อนทันที ความเจ็บปวดทำให้เขาสายตาพร่ามัวไปชั่วขณะ
ทว่าซูเฉินไร้เมตตายามตนได้เปรียบ เขาพลิกตัว คว้าแขนโม่ต้าเหยียนก่อนจะบิดแขนเขา หักแขนขวาของโม่ต้าเหยียนโดยพลัน ถึงโม่ต้าเหยียนจะเตะสวนอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาทำให้ร่างกายช่วงล่างอ่อนเปลี้ย แรงเตะจึงมีเพียงครึ่งเท่านั้น ซูเฉินรับลูกเตะอย่างรุนแรง จากนั้นสวนกลับด้วยการส่งลูกถีบเข้าที่หัวเข่าของโม่ต้าเหยียน
เปรี๊ยะ แรงของลูกถีบของซูเฉินส่งผลให้ขาโม่ต้าเหยียนหักทันใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)