ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 3

บทที่ 3 ไม่ยอมแพ้ (2)

ซูเฉินค่อย ๆ ยกหินถ่วงสลับซ้ายขวา เด็กชายหมุนตัวของเขาและก่อท่าร่างแปลก ๆ ก่อนจะเก็บแขนขวากลับ …

ในลานบ้าน ซูเฉินถือหินถ่วงไว้ในมือของตนเองและเริ่มใช้แปดวิธีการฝึกกายพร้อมโคจรทักษะรวมพลังวิญญาณขั้นพื้นฐานไปด้วย

แปดวิธีการฝึกกายเป็นทักษะการฝึกกายที่พบมากที่สุดในหมู่มนุษย์ กล่าวได้ว่ามันเป็นรากฐานสำคัญของการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ทักษะรวมพลังวิญญาณขั้นพื้นฐานคือวิธีการดูดซับพลังงานเข้ามาเสริมสร้างร่างกาย

ด้วยการผสมผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน นี่จะทำให้ร่างกายของผู้ฝึกแข็งแกร่งขึ้นจนกลายรากฐานสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังวิญญาณในอนาคตได้อย่างมั่นคง

ขณะที่ซูเฉินกำลังฝึกซ้อม เด็กชายก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังของเขา

“ท่านพ่อ ?” เขาหยุดยกหินถ่วงในมือแล้วหันศีรษะกลับไป

เสียงของซูเฉิงอันดังขึ้น “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าว่าเสียงฝีเท้าของข้าคล้ายกับลุงสามของเจ้ามาก และมันยากที่จะแยกแยกออกได้หรอกหรือ ? แล้วทำไมตอนนี้เจ้าถึงได้คิดว่าเป็นข้ากันล่ะ ?”

ซูเฉินตอบว่า “แม้ว่าเสียงฝีเท้าของพ่อและลุงสามนั้นคล้ายกันมาก แต่ลุงสามเขาฝึกดาบตะวันฉาย ตอนนี้คือเวลาเที่ยงตรง เป็นช่วงเวลาที่มีพลังหยางสูงสุดของวัน ด้วยเหตุนี้ลุงสามควรจะกำลังฝึกฝนอยู่และไม่ยอมออกมาง่าย ๆ ดังนั้นจึงมีเพียงท่าน ท่านพ่อ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น บิดาของซูเฉิงอันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

บรรพบุรุษอวยพรให้ลูกชายเขาเป็นเด็กฉลาด แต่สวรรค์กลับอิจฉาซูเฉินและมอบความโชคร้ายให้เขาได้เผชิญ

แม้ถูกขังอยู่ในความมืด ซูเฉินก็ไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้ผู้เป็นบิดาอย่างเขารู้สึกมีความสุขและไม่สบายใจไปพร้อม ๆ กัน ความขัดแย้งที่อยู่ในใจทำให้ซูเฉิงอันไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไร

ในที่สุดซูเฉินก็ทำลายความเงียบลง “ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงมาหาข้าที่นี่ ?”

ซูเฉิงอันนั่งลงและกล่าวว่า “ตามมา ข้าต้องการพูดบางอย่างกับเจ้า”

ซูเฉิงอันพาลูกชายของตนออกมาจากลานฝึก และนั่งลงที่ศาลาพักผ่อน

ซูเฉิงอันไม่ได้พูดเข้าประเด็นในทันที กลับกันเขากับเลือกที่จะถามลูกชายเกี่ยวกับประสบการณ์และความเข้าใจจากการฝึกฝน ซึ่งซูเฉินก็ให้คำตอบแก่บิดาของเขาอย่างครบถ้วน

“เจ้ามั่นใจว่าเจ้าจะเข้าสู่ขอบเขตก่อพลังในสามปีงั้นหรือ ? ไม่เลว ไม่เลว” ซูเฉิงอันพยักหน้าย้ำ ๆ

ขอบเขตก่อพลัง เป็นขั้นแรกจากเจ็ดขั้นของพลังต้นกำเนิด หลังจากเข้าสู่ขอบเขตก่อพลังแล้วนี่จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังวิญญาณที่แท้จริง สำหรับขั้นฝึกกาย นั่นก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ยังไม่อาจนับว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดขั้นพลังต้นกำเนิด

แม้ว่าซูเฉิงอันจะกล่าวอย่างชื่นชม แต่สีหน้าของเขากลับดูไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย

ซูเฉิงอันมองลูกชายของเขาด้วยดวงตาที่มีร่องรอยความโศกเศร้าอยู่ด้านใน

หลังจากนั้นไม่นานซูเฉิงอันก็พูดขึ้นว่า

“เฉินเอ๋อร์ เจ้านั้นน่าเหลือเชื่อจริง ๆ แม้แต่ข้าเองก็ยังประหลาดใจ แม้ว่าชะตากรรมจะทำร้ายเจ้า เจ้าก็ไม่หลงทางไปในความสิ้นหวัง แต่กลับยืนหยัดขึ้นอีกครั้งและพยายามอย่างหนัก บิดาคนนี้ของเจ้าช่างไร้ประโยชน์ ณ ตอนนั้นข้ามิอาจปกป้องเจ้าได้ ส่วนหลังจากนั้นข้าก็ไม่สามารถหาหมอเทวดามารักษาเจ้าให้หาย แม้แต่ร่องรอยของผู้ลงมือ ข้าก็หาอะไรไม่พบเลย”

ซูเฉินยิ้ม “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้นเลย ปีที่ผ่านมาท่านพ่อกับท่านแม่ต้องทนลำบากอย่างมากเพื่อข้า แม้ว่าลูกคนนี้จะมองไม่เห็น แต่ในหัวใจของข้าก็ยังคงสัมผัสได้”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นซูเฉิงอันก็ถอนหายใจ “มันดีจริง ๆ ที่เจ้าเข้าใจเรา เมื่อคืนลุงสองของเจ้ามาหาข้า … เกี่ยวกับเรื่องการประเมินสิ้นปี”

มือของซูเฉินที่กำลังยกถ้วยน้ำชาชะงักค้าง และกล่าวว่า “เขาต้องการให้ข้าถอนตัวจากการแข่งขันสิ้นปี ?”

โลกต้นกำเนิดนั้นเป็นโลกที่วุ่นวาย ดินแดนกว่า 6 ส่วนถูกสัตว์ปีศาจครอบครอง ส่วนที่เหลืออีก 4 ถูกแบ่งโดยเผ่าพันธุ์ที่มีภูมิปัญญานับสิบ ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเพียงหนึ่งในนั้น

ในโลกที่ห้อมล้อมไปด้วยศัตรู กองกำลังที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญ

ดังนั้นในโลกต้นกำเนิดใบนี้ ความแข็งแกร่งจึงเป็นตัวกำหนดระดับสถานะของแต่ละคน ผู้มีพลังจะถูกผู้คนเคารพนับถือ

เพื่อส่งเสริมให้เด็ก ๆ ในรุ่นต่อ ๆ ไปพยายามพัฒนาตนเอง พวกตระกูลใหญ่จึงสร้างกฎการประเมินสิ้นปีของแต่ละตระกูลขึ้น เพื่อทดสอบเด็กรุ่นหลังและดูว่าใครคือผู้แข็งแกร่งที่สุด

เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มันก็ได้กลายเป็นประเพณี ไม่ว่าจะเกิดในตระกูลเก่าแก่หรือตระกูลที่พึ่งก่อตั้ง หากพวกเขามีทรัพยากร พวกเขาก็จะทำการประเมินแบบเดียวกัน อย่างมากที่สุดพวกเขาเพียงแค่เปลี่ยนรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แตกต่างกันไป

วัตถุประสงค์ของการประเมินนั้นง่ายมาก เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเหล่าผู้เยาว์เหมือนกับการสอบในห้องเรียน สาเหตุที่หลายตระกูลไม่ใช้การต่อสู้เป็นวิธีทดสอบก็เพราะมันก่อให้เกิดอันตรายได้ง่าย และมักนำไปสู่การเกิดความขัดแย้งในภายหลัง แม้ว่าการแข่งขันจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ความขัดแย้งภายในคือหายนะ

ดังนั้นตระกูลส่วนใหญ่จึงใช้วิธีการวัดระดับความแข็งแกร่งรายบุคคลแทน แต่ละคะแนนจะถูกกำหนดโดยความแข็งแกร่งของทักษะที่พวกเขาใช้

ตระกูลซูก็ใช้วิธีการนี้เช่นกัน

ในช่วงสิ้นปีของทุกปี เหล่าผู้สืบทอดรุ่นเยาว์ของตระกูลซูจะได้รับการทดสอบ เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของพวกเขาแต่ละคน

ในการประเมินครั้งก่อน ๆ ซูเฉินเป็นผู้ครองตำแหน่งผู้ชนะมาโดยตลอด

หลังจากที่ซูเฉินสูญเสียการมองเห็น หลายคนคิดว่าเขาน่าจะเลือกยอมแพ้ไป

แต่ใครจะคิดว่าหลังจากผ่านไปเพียง 2-3 เดือนซูเฉินจะหายจากภาวะซึมเศร้า ทั้งยังก้าวหน้าได้เร็วขึ้นกว่าผู้อื่นอีกด้วย

ดังนั้นเด็กชายจึงยังคงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นสาม

กล่าวคือหากการประเมินในปีนี้ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ซูเฉินจะเป็นผู้ครองตำแหน่งผู้ชนะอีกครั้ง

นี่ทำให้หลายคนรู้สึกอึดอัดใจ

การที่มีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นสามเป็นคนตาบอด นับเป็นเรื่องขายหน้าอย่างยิ่ง

แต่สำหรับเหล่าผู้เฒ่ารุ่นสองทั้งหลาย พวกเขาไม่ได้มองแค่นั้น เพราะมันมีเรื่องของผลประโยชน์จากการประเมินเข้ามาเกี่ยวด้วย ตามธรรมเนียมแล้ว ผู้ชนะในแต่ปีจะได้รับทรัพยากรมากมายจากตระกูลซู เพื่อทำให้ผู้แข็งแกร่งกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และนี่เองก็คือการปฏิบัติตามปกติของตระกูลส่วนใหญ่ !

ในโลกใบนี้ที่ซึ่งขีดจำกัดสูงสุดของพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเพียงคนเดียวย่อมมีประโยชน์ยิ่งกว่าผู้อ่อนแอกลุ่มใหญ่ !

ในศาลา ซูเฉิงอันผู้เป็นบิดาพยักหน้าอย่างจริงจัง “เฉินเอ๋อร์ ลูกเคยเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลซูของเรา หากไม่เกิดอุบัติเหตุกับเจ้าแล้ว ผู้นำในอนาคตของตระกูลคงจะเป็นเจ้า ไม่ว่าท่านปู่ของเจ้า ลุงสอง ลุงสาม ป้าสี่ หรือผู้เฒ่าสาขาอื่น ๆ ของเจ้า พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เห็นพ้องต้องกัน”

“แต่น่าเสียดายที่กลับเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับข้า” ซูเฉินขัดจังหวะขึ้น “ข้าไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป ดังนั้นถึงแม้ว่าข้าจะฝึกฝนมากขึ้นหรือแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าข้าก็ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งที่อยู่ขั้น 3 ของการฝึกกายได้ ดังนั้นตัวข้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำตระกูลอีกต่อไป”

น้ำเสียงที่นิ่งสงบของซูเฉิน ทำให้ราวกับว่าตัวเขานั้นไม่ใช่เด็กอายุ 13 ปี

ซูเฉิงอันถอนหายใจอีกครั้ง “ใช่”

“นั้นคือสาเหตุหลักที่ลุงสองคิดมันคงเป็นการสิ้นเปลืองหากมอบทรัพยากรให้กับข้า ?”

“……ใช่”

ซูเฉินฉลาด เด็กชายฉลาดมากจนเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย

สิ่งนี้ทำให้ซูเฉิงอันรู้สึกผ่อนคลายและอึดอัดใจในเวลาเดียวกัน

“เหตุที่สิ่งนี้เกิดขึ้น เป็นเพราะพี่น้องคนอื่นไม่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะข้าได้ ?” ซูเฉินถามต่อไปและเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)