บทที่ 53 หลางเตา
หลางเตา เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดในขั้นที่ห้าของด่านก่อเกิดลมปราณ หรือก็คือด่านก่อเกิดลมปราณขั้นกลาง
นอกจากนี้หลางเตายังมีพี่น้องอีก 2 คน ที่รู้จักกันในนามหงหยิงและซานเสี่ยว ทั้งสองอยู่ในขั้นที่สามและสี่ของด่านก่อเกิดลมปราณตามลำดับ ในแง่ของระดับการบ่มเพาะนั้นถือได้ว่า 3 พี่น้องนี้แข็งแกร่งกว่าซูเฉิน
การดื่มเหล้าแล้วไม่จ่าย นั่นเป็นเรื่องเล็ก
อย่างไรเสียเหล้าก็ไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น
ทว่าความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ นับว่าเป็นอีกเรื่อง
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการยั่วยุและก็เป็นการทดสอบในขณะเดียวกัน
ในโลกนี้ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง แต่คนโง่ที่พยายามกินทุกอย่างโดยไม่รู้จักสังเกตก่อนมักจะจบลงด้วยการถูกกินเสียเอง
ดังนั้นก่อนกลืนเหยื่อพวกเขาจำต้องทดสอบมันก่อน
พวกเขาต้องการดูว่าอีกฝ่ายเป็นชิ้นเนื้อที่สามารถล่าได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังว่าอีกฝ่ายเป็นชิ้นเนื้อที่อ่อนแอจริงหรือไม่ มีรสชาติที่ดีพอหรือไม่ และสุดท้ายพวกเขาจำเป็นต้องดูว่ามีสุนัขหรือหมาป่าตัวอื่นกำลังจ้องชิ้นเนื้อเดียวกันนี้อยู่หรือไม่ด้วย …
ดังนั้นทุกคนเฝ้าสังเกตอย่างตั้งใจ
เพื่อดูว่าซูเฉินจะจัดการกับหลางเตาและความดื้อรั้นของเขาอย่างไร
หากซูเฉินจัดการอย่างอ่อนโยนเกินไป ผู้คนอีกมากก็จะเขามารีดไถเด็กหนุ่มในรูปแบบเดียวกันอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายก็จะกล้าลงมือทำสิ่งเดียวกัน พวกเขาจะเริ่มจากขออาหารและเครื่องดื่มฟรีก่อน ถัดจากนั้นก็จะเริ่มเป็นการขอสิ่งที่พวกเขาต้องการไปฟรี ๆ แล้วในท้ายที่สุดพวกเขาก็เรียกเก็บเงินที่เรียกว่า “ค่าคุ้มครอง” ส่วนซูเฉินก็จะกลายเป็นคนจ่ายเงินให้พวกเขาแทน
แน่นอนว่าซูเฉินสามารถเลือกที่จะตอบโต้กลับด้วยกำลังได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องการจัดการกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้ง 3 ที่กำลังทดสอบตนอย่างไร
ซูเฉินมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง? สมบัติลับ? หรืออย่างอื่น?
ไม่มีใครรู้ แต่เพื่อจัดการกับปัญหานี้อย่างเหมาะ เด็กหนุ่มจำต้องเปิดเผยกลยุทธ์บางอย่าง
เมื่อเห็นกลวิธีของเขา ทุกคนก็จะรู้เองว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
การทดสอบเล็ก ๆ นี้เป็นวิกฤติครั้งแรกของซูเฉิน
หากสามารถเอาตัวรอดได้ เขาก็จะสามารถทำธุรกิจต่อไปได้อย่างสงบสุข จนกว่าจะเกิดวิกฤติครั้งต่อไป
การปล่อยผ่านไปไม่ได้ช่วยอะไร ไม่งั้นอีกทางเลือกที่ดีที่สุดของซูเฉินก็คือการจากไปกับเงินที่เขาได้รับในตอนนี้
แม้ว่าซูเฉินจะยังเด็ก แต่ประสบการณ์ของเขาก็มากเกินพอ
มันมากพอที่จะช่วยซูเฉินให้เข้าใจถึงวิธีประเมินความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ และคาดเดาความคิดที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของคนเหล่านั้นได้
เพียงแค่ช่วงเวลาพริบตาเดียว ซูเฉินคิดแผนไว้เรียบร้อยแล้ว
เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว เย็นนี้ข้าจะมาจัดการเอง”
“ขอรับ” หลี่ชู่ตอบรับและจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อตกดึก บรรยายกิจการของโรงเตี๊ยมดาราโรยก็เริ่มคึกคักขึ้น
“คนงานเหมือง” ที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน ต่างก็มายังสถานที่พักผ่อนเพียงแห่งเดียวของหุบเขามรกต คนพวกนี้ต่างใช้เงินจำนวนเล็กน้อยที่พวกเขามีอยู่ในกระเป๋าเพื่อซื้อเหล้า หากด้านในไม่มีที่ว่างเหลือพวกเขาก็จะนั่งกันข้างนอก ซูเฉินได้สร้างศาลาที่พอสำหรับคนหลายร้อยคนไว้ด้านนอกของโรงเตี๊ยม ดังนั้นจำนวนคนงานที่เขาจ้างมาจึงได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่ว ผู้คนก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ภาษาหยาบคายลอยเต็มอยู่ในอากาศ บางครั้งที่หญิงสาว 2-3 คนเดินผ่านไป ก็มักจะมือของพวกบ้ากามบางคนยื่นออกมา ทำให้เกิดเสียงร้องประหลาดใจและเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม วันนี้กลับต่างจากที่ผ่านมา
ผู้ที่อยู่คอยบริการอยู่ที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ไม่ใช่ผู้ดูแลร้าน แต่เป็น‘หน้ากากปีศาจ’เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้
เนื่องจากซูเฉินสวมหน้ากากเอาไว้ ผู้คนจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ สิ่งที่พวกเขาเห็นคือหน้ากากปีศาจที่น่ากลัวและน่าขนลุก กับมือคู่หนึ่งที่ยังดูเป็นมือของคนหนุ่มสาวเท่านั้น
“เหตุใดคืนนี้เถ้าแก่ถึงได้มาเสิร์ฟเหล้าด้วยตัวเองกันเล่า?” คอเหล้าคนหนึ่งถามขึ้นพลางหัวเราะ
“ข้าเพียงแค่ไม่มีอะไรให้ทำ ข้าเลยออกมาดูรอบ ๆ ฆ่าเวลาก็เท่านั้น” ซูเฉินตอบแบบสบาย ๆ
“ถ้าเถ้าแก่อยากฆ่าเวลาจริง ๆ ไม่ลองมาใช้เวลากับข้าที่หลังร้านดูล่ะ? ป่าตรงนั้นมีที่ค่อนข้างกว้างและมีทิวทัศน์ดีใช้ได้เลยนะ” หญิงสาวผู้แต่งตัวแบบนุ่งน้อยห่มน้อยเย้ายวนใจ เดินเข้ามาใกล้และทำทีเล่นหูเล่นตาใส่ซูเฉิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่คณิกาเสี่ยวฟู่หรง เจ้าพยายามจะหลอกล่อหน้ากากปีศาจอีกแล้วหรือ?” คอเหล้าบางคนหัวเราะ
หญิงสาวผู้นี้เป็นที่รู้จักในนามเสี่ยวฟู่หรง นางเป็นหนึ่งในนางคณิกาของที่นี่ หญิงสาวให้ความสนใจในตัวซูเฉินอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีโอกาสเสี่ยวฟู่หรงหยอกล้อและยั่วยวนเขา น่าโชคไม่ดีที่ซูเฉินไม่เคยมอบความสนใจใด ๆ ให้แก่นางเลย
ซูเฉินมักจะเพิกเฉยกับการหลอกล่อของพวกผู้หญิงอยู่เสมอ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรก็ตาม ซูเฉินก็ทำเพียงแค่เช็ดแก้วเหล้าไปเงียบ ๆ เท่านั้น เขากำลังทำตามหน้าที่ที่คนงานสมควรทำ
ทว่าใครบางคนนั้นไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ อย่างเห็นได้ชัด
“น่าเสียดายที่ ‘สิ่งนั้นของมัน’ ดูเหมือนจะใช้การไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมมากแค่ไหน มันก็ไม่อาจแข็งขึ้นมาได้หรอกนะ!” น้ำเสียงห้าวหาญดังขึ้นมาจากข้างนอก
ประโยคนี้นับว่าเกินขอบเขตของการล้อเล่นไปแล้ว
‘มันมาแล้ว!’ ทุกคนร้องตะโกนในใจอย่างพร้อมเพรียง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)