ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 73

บทที่ 73 พลังบุกทะลวง

หมอกหนาบดบังสายตาและการได้ยิน

ยามเมื่อมีหมอกหนาเช่นนี้ทำให้ความสามารถในการได้ยินเสียงลดลงต่ำมาก ซูเฉินที่ปกติพึ่งประสาทสัมผัสในการได้ยินเสียงจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่

หรืออีกฝ่ายอาจจงใจให้เป็นเช่นนี้?

ทำให้คนตาบอดคนหนึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจได้ยินเสียงเพื่อสร้างแรงกดดันไม่มีที่สิ้นสุดในใจคน

เป็นการชดใช้หนี้? เป็นคำเตือน? เป็นคำขู่? หรืออาจจะมีความหมายอื่นแฝงอยู่กัน?

ซูเฉินไม่อาจรู้ได้

และไม่ใส่ใจ

ถึงการมองเห็นและการได้ยินจะได้รับผลกระทบจากหมอกหนา ซูเฉินก็ยังสัมผัสได้ว่าไม่ไกลจากตนมีการต่อสู้อันดุเดือดกำลังดำเนินอยู่ ปาหลงและลี่หมิงถังนั้นราวกับแสงอาทิตย์สว่างโชติช่วงท่ามกลางพยับหมอก ถึงร่างของคนทั้งคู่จะถูกหมอกหนาปกคลุมไว้แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังต้นกำเนิดที่คอยผลักดันหมอกหนาให้ออกไปให้พ้นทาง

การปะทะกันระหว่างผู้มีขั้นพลังด่านทะลวงลมปราณนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก แรงซัดพลังระหว่างการต่อสู้สามารถขจัดหมอกหนาออกไปได้ ดังนั้นจึงสามารถเห็นและได้ยินอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน กำแพงอิฐนั้นดูราวกับเป็นกำแพงดินเหนียวไปเลยเมื่อถูกพลังซัดจากการต่อสู้ปะทะ กระทั่งตัวสิงห์หินหน้าประตูร้านยังถูกทำลายแตกเป็นเสี่ยง ๆ การต่อสู้นั้นดุเดือดมากจนกระทั่งหมอกหนายังไม่อาจลดความรุนแรงของการต่อสู้ลงได้

ในด้านของพละกำลัง ปาหลงได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด

รูปแบบการต่อสู้ของเขานั้นทั้งอิสระ มีพลัง และแข็งแกร่ง ดาบใหญ่ที่ซัดลงไปแต่ละครั้งเต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาล ถึงจะไม่รวดเร็วทว่าเป็นการโจมตีที่มีกำลังซัดมาก เทียบกันแล้วลี่หมิงถังนั้นคล่องแคล่วกว่า พยายามทิ้งระยะห่างออกจากคู่ต่อสู้แล้วใช้ห่วงเหล็กบินในการโจมตี ห่วงเหล็กนี้เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดชนิดหนึ่งที่จะกลับมาหาเจ้าตัวเมื่อโจมตีเสร็จ ยังสามารถใช้เป็นเกราะแขนยามต่อสู้ระยะประชิดได้อีกด้วย

ทว่าเจ้าห่วงเหล็กนี่ดูท่าจะไร้ผลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปาหลง ดาบใหญ่ของปาหลงสับเข้าที่แขนของลี่หมิงถัง ก่อเกิดประกายไฟลั่นขึ้นฟ้าราวกับช่างตีเหล็กกำลังตีเหล็ก ใบหน้าของลี่หมิงถังซีดลง พยายามลดแรงสะเทือนของการโจมตีเมื่อครู่

ทั้งสองฝ่ายเคยประมือกันมาก่อน ลี่หมิงถังพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ก่อนจะถูกบีบให้ต้องหลบหนีไป ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการต่อสู้หรือพื้นฐานพลัง ลี่หมิงถังก็ด้อยกว่าปาหลง ดังนั้นอารามนิรันดร์จึงส่งปาหลงมาในการต่อสู้ครั้งนี้

สถานการณ์อีกด้านนั้นยิ่งได้เปรียบกว่ามาก

ตรงนั้นมีเพียงผู้มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตสองคน และด่านก่อเกิดลมปราณสามคน แถมเหล่าคนชุดดำยังมีระดับพลังสูงกว่าคู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงได้เปรียบกว่ามาก ทว่าคนชุดดำด่านกลั่นโลหิตคนหนึ่งดูท่าจะมีทักษะการต่อสู้อ่อนด้อยกว่าอีกสองคนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเจอกับการโจมตีอันดุเดือดจากพวกโจรก็ทำได้เพียงรั้งไว้เท่านั้น และดูแล้วท่าจะต้านทานได้อีกไม่นาน

เมื่อเห็นดังนั้น ซูเฉินจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “กังเหยียน ทำลายกำแพงตรงด้านนั้นเสีย จากนั้นรีบวิ่งกลับมาหาข้า”

กังเหยียนก้มหัวรับคำสั่ง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่กำแพงที่ซูเฉินชี้

กำแพงนี้เป็นกำแพงระหว่างร้านนามทองคำกับร้านอื่น ๆ ข้างเคียง เบื้องหลังกำแพงนั้นมีกองโจรซุ่มอยู่มากมาย หากแต่เพราะหมอกหนาพวกมันจึงไม่รู้ว่าเกิดการปะทะกันอยู่ ทว่าหากกำแพงถูกทลายลง ถึงจะตาบอดแต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น บวกกับร่างใหญ่กำยำของกังเหยียนแล้ว พวกมันจะรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและพุ่งเข้ามาตะโกนเสียงดังทันที

กังเหยียนหมุนตัวแล้วออกวิ่งทันทีโดยมีคนกลุ่มใหญ่วิ่งไล่หลังมา ทว่าไม่นานพวกมันก็พบว่าหัวหน้ากำลังแย่ ดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วย พวกที่หัวไวหน่อยก็คว้านกหวีดออกมาเป่าเรียกกำลังเสริม เสียงของนกหวีดสามารถตัดผ่านหมอกได้ ทำให้กองโจรที่ซุ่มอยู่แถวถนนรู้ตัวและเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วย

เห็นดังนั้น เยี่ยเม่ยก็ตะโกนขึ้น “ซูเฉิน ทำอะไรของเจ้า?”

แผนการฆ่าล้างที่สมบูรณ์ถึงเพียงนี้กลับถูกซูเฉินพังในพริบตา

ซูเฉินกลับเอ่ยตอบน้ำเสียงสบาย “ก็แค่ผู้ฝึกตนด่านก่อเกิดลมปราณเพิ่มมาอีกสองคนแล้วก็ผู้ฝึกยุทธ์อีกราวสิบคนเองมิใช่หรือ? อย่างมากก็ต้องใช้แรงจัดการอีกสักหน่อย เหตุใดต้องใส่ใจด้วย? อีกอย่างหากข้าไม่ล่อพวกมันออกมา ข้าจะเข้าไปค้นสมบัติภายในได้อย่างไร?”

พูดจบก็พากังเหยียนเดินเข้าไปในร้านนามทองคำ

“ระยำเอ๊ย ไอ้หนุ่มเหลี่ยมจัดคนนี้” ทุกคนต่างก็สบถออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น

ถึงทุกคนจะตัดสินกันแล้วว่าให้แบ่งส่วนแบ่งกันทว่าในความเป็นจริงกลับไม่มีใครเชื่อใจใคร

ไม่ว่าใครก็อยากเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสสมบัติก่อน

สำหรับปาหลงและคนอื่น ๆ พวกเขามีกำลังคนมากจึงได้เปรียบ

ทว่าพวกเขาไม่คิดว่าซูเฉินจะชั่วร้ายเช่นนี้ จงใจล่อกองโจรที่ดักซุ่มออกมาเพิ่ม ทำให้การต่อสู้ยาวนานยิ่งขึ้น ดังนั้น ซูเฉินและกังเหยียนจึงเป็นสองคนแรกที่เดินเข้าไปในร้าน

ในขณะที่ทุกคนต่างก็ก่นด่าซูเฉินกับแผนการชั่วร้ายอยู่ หากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นเพราะกองโจรนั้นดุร้ายยิ่งนัก แต่ละคนต่อสู้เต็มกำลัง ดังนั้นจึงไม่อาจเอาชนะได้ในเวลาอันสั้น

ในตอนนั้น ซูเฉินก็เดินเข้าร้านนามทองคำไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่ต้องตรวจค้นอันใดให้มากความ ซูเฉินตะโกนสั่งกังเหยียนในทันที “กังเหยียน!”

“รับทราบ!” กังเหยียนวางหีบเหล็กลงบนพื้น เมื่อเปิดหีบออกด้านในคือเกราะทองคำ ยามเมื่อหีบเหล็กถูกเปิดออกตัวชุดเกราะก็ลุกขึ้นยืนราวกับคนผู้หนึ่ง กางแขนขาออกก่อนจะพุ่งเข้าใส่ร่างของกังเหยียน สวมเกราะให้กังเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า กระทั่งตาทั้งสองข้างยังมีเกราะผลึกน้ำปกป้องอยู่

“ฮ่าห์!” กังเหยียนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับพลังเต็มเปี่ยม ผืนดินใต้เท้าถึงกับเกิดรอยแยก

จังหวะนั้นเอง กังเหยียนก็ก้มหัวลง ก่อนจะพุ่งชนกำแพงตรงหน้า เขาสับฝีเท้าวิ่งด้วยความรวดเร็วก่อนจะเริ่มทำลายตึกทั้งหลัง

ถูกต้อง

คือพลังบุกทะลวง!

นี่คือกลยุทธ์ที่ซูเฉินเลือกมาเพื่อใช้ค้นหาสมบัติโดยเฉพาะ เป็นวิธีที่เรียบง่ายและรุนแรง แต่ก็ได้ผลมากที่สุดเช่นกัน

เด็กหนุ่มไม่สนของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในร้าน ที่สนคือคลังสมบัติที่ซ่อนอยู่หรือหีบสมบัติและสิ่งล้ำค่าอื่น ๆ

ต้องรีบค้นหาคลังสมบัติก่อนที่การต่อสู้จะสิ้นสุดลง!

ปึง!

พวกเขาพังห้องเข้าไปห้องหนึ่ง

ไม่มีสิ่งใด

ทั้งสองจึงพังเข้าไปในห้องอีกห้อง ยังคงไม่มีสิ่งใด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)