ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 90

บทที่ 90 การปลุกสายเลือด

วันนี้ซูเฉินก็ยังคงฝึกอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง ด้วยการใช้ออกนัยน์ตาวิญญาณ วิชาหนวดอากาศและผู้พิทักษ์แห่งเม็กซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาระยะหนึ่ง การประยุกต์ใช้ทักษะต้นกำเนิดของซูเฉินก็ได้ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้แต่นัยน์ตาวิญญาณของเขาก็มาถึงขั้นประสบความสำเร็จระดับเล็ก

ในขณะที่ซูเฉินกำลังฝึกอยู่ จู่ ๆ ก็มีแสงวาบออกมาจากทางด้านหลังของเขา

ซูเฉินไม่ได้หันกลับไป ทันใดนั้นวงแสงกลมก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบตัวเขาไว้ มันคือผู้พิทักษ์แห่งเม็ก และในขณะที่เขาป้องกันการลอบโจมตี มือของซูเฉินก็สะบัดไปทางด้านหลังในจังหวะเดียวกัน จากนั้นหนวดอากาศก็ทะยานออกไปในอากาศ ต่อมาซูเฉินก็หันตัวกลับอย่างรวดเร็ว มือของเขาเหยียดตรงอยู่เบื้องหน้าช่วงอกของเขา ลูกไฟขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและกระแทกออกไป

“อ๊ะ!” เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากป่า เงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นไปในอากาศ พลิกตัวอยู่ 2-3 ครั้งเพื่อหลบลูกไฟ ลูกไฟชนเข้ากับต้นไม้ก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นและทำให้ต้นไม้ทั้งต้นล้มลง

กู่ชิงลั่วค่อย ๆ ลอยกลับลงพื้น ท่วงท่าของนางช่างสง่างามและมีเสน่ห์ น่าเสียดายที่เด็กสาวไม่รู้ถึงเสน่ห์ของตัวเอง นางมองดูลูกไฟที่เพิ่งบินผ่านไปด้วยความตกใจ พลางเอามือป้องปากขณะที่พูดขึ้นว่า “นั่นมันทักษะอะไรกัน?”

“ทักษะลูกไฟ” ซูเฉินตอบขณะที่เขาดึงมือกลับ

“พลังของมันดูไม่อ่อนแอเลย” กู่ชิงลั่วรู้สึกสนใจ

“ มันเป็นวิชาโบราณอาร์คาน่า ข้าสามารถใช้ออกได้ครั้งละลูกเท่านั้นและยังจำเป็นจะต้องร่างรูปแบบพลังต้นกำเนิดขึ้นก่อน สนใจ ? ข้าสามารถสอนให้เจ้าได้นะ”

“หืม มันจะทรงได้เทียบเท่ากับฝ่ามือดอกไม้บินของตระกูลกู่หรือเปล่า?” กู่ชิงลั่วคว้าใบไม้จากต้นไม้มาหนึ่งกำมือ แล้วยิงไปหาซูเฉิน

ใบไม้ธรรมดาตามธรรมชาติไม่อาจมีพลังได้มากเท่ากับลูกไฟ แต่ใบไม้ที่บินได้จำนวนหนึ่งนี้เมื่อถูกปาออกมา กลับมีพลังใกล้เคียงกับกระสุนพลังต้นกำเนิด

ซูเฉินตกใจกับการโจมตีจากกู่ชิงลั่ว เขาสามารถหลบพวกมันไปได้เพียงครึ่งเดียว ยังดีที่ผู้พิทักษ์แห่งเม็กยังคงทำงานอยู่ หลังจากเสียงปะทะครู่หนึ่ง การป้องกันของผู้พิทักษ์แห่งเม็กก็พังทลายลง

โชคดีที่กู่ชิงลั่วออมมือไว้ มิฉะนั้นซูเฉินคงจะได้รับบาดแผลแล้ว

“ช่างทรงพลัง!” ซูเฉินชื่นชม “น่าเสียดายที่ข้าไม่มีฝ่ามือดอกไม้บิน”

“อย่างน้อยเจ้าก็มีก้าวย่างหมอกอสรพิษ” กู่ชิงลั่วหัวเราะ ขณะที่นางยกเท้าขึ้นเตะซูเฉิน

ซูเฉินขยับตัวหลบไปด้านข้าง เขาเห็นกู่ชิงลั่วก้าวขึ้นไปในอากาศและไล่ตามเขามา

“หือ ? ก้าวย่างหมอกอสรพิษของเจ้าไปถึงระดับที่สามารถเหาะเหินขึ้นไปในอากาศได้ชั่วคราวแล้วหรือ ?” ซูเฉินตกใจ ความเร็วในการพัฒนาของเด็กผู้หญิงคนนี้น่าประทับใจอย่างมาก สำหรับฝ่ามือดอกไม้บินที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับกระสุนพลังต้นกำเนิดยังพอจะเป็นที่เข้าใจได้ แต่แม้กระทั่งก้าวย่างหมอกอสรพิษของนางก็ทรงพลังเช่นกัน ?

“เจ้าบอกได้เพียงแค่ได้ยิน? น่าประทับใจจริง ๆ ข้ายังทำได้เพียงไม่กี่ก้าวในกลางอากาศ มันยังค่อนข้างไกลจากระดับที่สามารถเหาะเหินได้ชั่วคราวนัก” กู่ชิงลั่วตอบ คำกล่าวของนางช่างเรียบง่าย แต่การแสดงออกนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ไม่อาจปิดบังได้มิด แต่เนื่องจากพูดคุยจึงทำให้ลมหายใจของนางไม่เสถียร และไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้อีกต่อไป

“เพียงแค่นั้นก็น่าประทับใจแล้ว” ซูเฉินกล่าวด้วยความจริงใจ

แม้ว่าจะเป็นเพียงไม่กี่ก้าว แต่นางก็สามารถผละจากพื้นสู่ท้องฟ้าได้แล้ว

หากผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดต้องการจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาจำจะต้องมีทักษะต้นกำเนิดประเภทการบิน ไม่เช่นนั้นก็ต้องฝึกฝนไปให้ถึงด่านสู่พิสดารเสียก่อน

แม้ว่าก้าวย่างหมอกอสรพิษจะเป็นเพียงแค่ทักษะท่าร่างเท้า แต่มันก็รวมความเร็ว ความคล่องตัวและควาสามารถในการบินเอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดขั้นต่ำหรือขั้นสูงก็สามารถใช้งานได้

การที่กู่ชิงลั่วสามารถก้าวเดินในอากาศได้บ้างแล้ว หมายความว่าในอนาคตเมื่อไปถึงด่านกลั่นโลหิต หรือด่านก่อเกิดลมปราณขั้นปลาย นางอาจจะสามารถเหาะเหินขึ้นไปในอากาศได้ชั่วคราวได้แล้ว ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ทักษะอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ จะถูกนับว่าเป็น 1 ใน 3 วิชาสัมบูรณ์ของตระกูลกู่

กู่ชิงลั่วหัวเราะขณะที่ตอบว่า “ไม่เลย ไม่เลย ข้าก็เพียงแค่โชคดีเท่านั้น ไม่นานมานี้สายเลือดของข้าได้ตื่นขึ้นมาแล้ว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงสามารถมาถึงขั้นนี้ได้”

ตระกูลกู่เป็นกลุ่มสายเลือดโบราณ

ต้นกำเนิดสายเลือดของพวกเขาได้รับมาจากเครื่องมือสกัดสายเลือด ดังนั้นพวกมันจึงสามารถสืบทอดต่อให้คนรุ่นหลังได้ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาแตกต่างจากกลุ่มที่มีสายเลือดผสมและไม่จำเป็นต้องใช้โอสถสืบสายเลือดใด ๆ พวกเขาเพียงแค่ต้องรอให้สายเลือดตื่นขึ้นมา แล้วพวกเขาก็จะมีพลังสายเลือดของตนเองตามธรรมชาติ

การปลุกเลือดนั้นมีหลายวิธี บางคนอาจต้องใช้ชีวิตได้ทั้งชีวิตโดยที่สายเลือดไม่ตื่นขึ้น บางคนอาจต้องทำงานหนักเพื่อกระตุ้นให้มันตื่น มีแม้กระทั่งคนที่สายเลือดตื่นขึ้นมาโดยทำเพียงแค่งีบหลับ

แม้แต่กระบวนการปลุกเลือดก็ยังแตกต่างกัน บางคนรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งราวกับถูกกรีดแทง ในขณะที่บางคนไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย

ระดับการตื่นขึ้นของสายเลือดก็แตกต่างกันเช่นกัน ปกติแล้วโอกาสในการปลุกสายเลือดสำเร็จครั้งแรกของพวกเขาจะอยู่ที่ประมาณ 5% เท่านั้น ยิ่งระดับการปลุกเลือดสูงขึ้นก็ยิ่งมีแข็งแกร่งมากขึ้น ทว่าไม่เคยมีสายเลือดของใครสามารถปลุกพลังได้ 100% ภายใต้สถานการณ์ปกติ สายเลือดจะถูกปลุกขึ้นมาเพียง 30% หรืออย่างมากที่สุดก็เพียง 50% เพราะหากมีผู้ใดก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ไป คนผู้นั้นก็จะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่พวกมันจะกลายเป็นสัตว์อสูรอย่างไม่อาจหวนคืนได้

กู่ชิงลั่วคือผู้โชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย

สายเลือดของนางได้ตื่นขึ้นในคืนหนึ่งขณะที่กำลังนอนหลับ ไม่มีอาการป่วยและไม่มีการทรมาน ไม่มีความเจ็บปวดแต่อย่างใด

การตื่นขึ้นครั้งแรกของกู่ชิงลั่วมากเกินพอที่จะทำให้ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าความแข็งแกร่งของซูเฉินจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เด็กหนุ่มก็ไม่มั่นใจที่จะกล่าวว่าการพัฒนาของเขานั้นเร็วกว่ากู่ชิงลั่ว

กล่าวได้เพียงว่ากลุ่มสายเลือดโบราณก็คือกลุ่มสายเลือดโบราณ พวกเขาทั้งหมดย่อมทรงพลังมากอย่างแน่นอน

ขณะที่ซูเฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นกระแสปราณไหลผ่านผิวหนังของกู่ชิงลั่ว

ซูเฉินเคยเคยเห็นกระแสปราณนี้มาก่อน เขาได้เห็นมันในวันที่กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง และเมื่อตอนที่เขากำลังเฝ้าดูกู่ชิงลั่วฝึกฝนอยู่ในห้องของนาง

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมา เขาก็ไม่ค่อยได้เจอสถานการณ์นี้อีกเลย

ตอนนั้นซูเฉินยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับดวงตาคู่ใหม่นี้มากนัก แต่ตอนนี้เขาค่อย ๆ เข้าใจพวกมันบ้างแล้ว

ดูเหมือนว่าดวงตาคู่ใหม่ของซูเฉินจะมีความสามารถในการมองเห็นรายละเอียดและการมีอยู่ของพลังงาน นัยน์ตาจับความเคลื่อนไหวที่เขามี มันเป็นเพียงส่วนเสริมของความสามารถนั้น ความสามารถที่แท้จริงของมันคือการที่สามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดซึ่งมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

เมื่อซูเฉินรวบรวมพลังต้นกำเนิดมาไว้ที่ดวงตาของเขา เด็กหนุ่มจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของดวงตาขึ้นไปได้อีกขั้น ทว่ามันก็จะเพิ่มภาระให้กับดวงตาด้วยเช่นกัน ซูเฉินจึงไม่สามารถใช้งานมันแบบนั้นได้นานนัก

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วพลังต้นกำเนิดในร่างกายจะถูกปกคลุมไว้ด้วยชั้นผิวหนังและมองเห็นได้ยากมาก

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ …

จากนั้นครู่หนึ่งซูเฉินก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาจึงได้ลองถามออกไป “เมื่อครู่ที่เจ้าใช้ฝ่ามือดอกไม้บินกับก้าวย่างหมอกอสรพิษ เจ้าได้เปิดใช้พลังสายเลือดของเจ้าด้วยใช่หรือไม่?”

“ใช่!” กู่ชิงลั่วพยักหน้าอย่างจริงจัง

“ตอนนี้ความเชี่ยวชาญในการควบคุมทักษะต้นกำเนิดทั้ง 2 ของข้ายังไม่เพียงพอ ข้าจึงจำเป็นต้องกระตุ้นพลังสายเลือดในระดับที่สูงขึ้นเพื่อที่จะทำเช่นนั้น แต่ในอนาคตเมื่อข้ามีความเชี่ยวชาญมากพอ ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องกระตุ้นพลังสายเลือดมากมาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ว่าข้าจะฝึกฝนมากแค่ไหน มันก็ยังคงต้องยืมพลังของเลือด มิฉะนั้นพลังจะไม่แตกต่างจากจุดที่เจ้าใช้ออกมาในยามนี้มากนัก”

ไม่ใช่แค่ผู้ที่อยู่ในด่านกลั่นโลหิตเท่านั้น แต่ผู้ที่อยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณก็สามารถเปิดใช้งานพลังสายเลือดได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามมีเพียงผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตเท่านั้นที่จะสามารถแสดงพลังของสายเลือดของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ กู่ชิงลั่วยังไม่ได้บรรลุเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิต นางเลยไม่สามารถแสดงพลังสายเลือดของนางได้อย่างเต็มที่ และจำเป็นต้องกระตุ้นสายเลือดของเธอให้มากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในระดับเดียวกัน

“ทักษะการดูดซับของตระกูลกู่ เกี่ยวข้องกับสายเลือดของเจ้าหรือไม่?”

“นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ ทักษะการดูดซับของตระกูลกู่ข้า นอกจากการดูดซับพลังต้นกำเนิดมาเพื่อขัดเกลาร่างกายแล้ว หน้าที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการกระตุ้นสายเลือด มิฉะนั้นหากเราพึ่งพามรดกเพียงอย่างเดียว สายเลือดนี้ก็คงสูญหายไปตั้งแต่รุ่น 3 แล้ว” กู่ชิงลั่วอาจได้รับการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มามาก ดังนั้นนางจึงสามารถเข้าสู่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ได้ทันที

เป็นไปตามที่คาดไว้

ซูเฉินเข้าใจในทันที

เป็นสายเลือด!

มันคือพลังสายเลือดที่ปรากฏบนร่างกายของกู่ชิงลั่ว เมื่อนางเปิดใช้งาน

เพราะกู่ชิงลั่วเปิดใช้งานสายเลือดของนาง พลังต้นกำเนิดในเลือดจึงหนาแน่นขึ้น จนเป็นสาเหตุให้ซูเฉินสามารถรับรู้ถึงมันได้ และครั้งสุดท้ายที่เขาได้เฝ้าดูการฝึกของกู่ชิงลั่ว สายเลือดได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้วบางส่วน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงสามารถมองเห็นการไหลของกระแสปราณบนร่างกายของนางได้

ตอนนี้ทั้ง 2 คนได้หยุดซ้อมกันแล้ว สายเลือดของกู่ชิงลั่วค่อย ๆ กลับสู่สภาวะสงบ การไหลของกระแสปราณบนร่างกายของนางก็เริ่มหายไปอีกครั้ง ซูเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรวมพลังต้นกำเนิดไปที่ดวงตาของเขาเพื่อเฝ้าดูต่อไป

ทันใดนั้นซูเฉินก็ได้ความคิดบางอย่าง

ซูเฉินต้องการดูว่าสายเลือดที่ถูกกระตุ้นนี้ทำงานอย่างไร ถึงได้ทำให้ร่างกายของกู่ชิงลั่ว มีความแข็งแกร่งมากจนไม่อาจจินตนาการได้

เขาจึงพูดว่า “ข้าเพิ่งได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวใหม่ ๆ มา 2-3 อย่าง อยากจะลองประมือกับข้าดูเสียหน่อยหรือไม่?”

“ได้!” ดวงตาของกู่ชิงลั่วเปล่งประกายขึ้นทันทีทันใด

ไม่มีการพูดต่อให้เสียเวลาเปล่า พวกเขา 2 คนเริ่มต่อสู้กันอีกครั้งและคราวนี้ซูเฉินไม่ได้ออมมือ เขาใช้ออกนัยน์ตาวิญญาณ, วิชาหนวดอากาศและผู้พิทักษ์แห่งเม็ก และทุกทักษะที่เขาคิดได้ ในทำนองเดียวกันกู่ชิงลั่วก็ตอบโต้กลับด้วยวิชาสัมบูรณ์ของตระกูลกู่ การประมือจึงไม่สามารถกำหนดผู้ชนะได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

หลังจากที่สายเลือดของนางตื่นขึ้น ความแข็งแกร่งของกู่ชิงลั่วเพิ่มขึ้นอย่างมาก และนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะทดสอบตัวเอง อย่างไรก็ตามในเมืองหลินเป่ยนี้ไม่มีคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับนางมากนัก เมื่อต้องเผชิญกับทักษะต้นกำเนิด 6-7 อย่างที่ซูเฉินสามารถควบคุมได้ ทั้ง 2 ก็กลายเป็นต่อสู้ฝึกมือกันในทันที นี่ทำให้กู่ชิงลั่วตื่นเต้น ในตอนแรกนางเอาแต่วุ่นวายไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อพวกเขาสู้กัน นางก็จริงจังมากขึ้น

ส่วนซูเฉิน เด็กหนุ่มก็คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงในสายเลือดของกู่ชิงลั่ว เขาสามารถมองเห็นกระแสความร้อนไหลพุ่งพล่านอย่างต่อเนื่องในร่างกายของอีกฝ่าย มันส่งผลให้พลังต้นกำเนิดในร่างกายของนางเปลี่ยนไป ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนใครนั้นได้ช่วยสนับสนุนความสามารถอันเหลือเชื่อของกู่ชิงลั่ว

อย่างไรก็ตาม หากมันไม่ใช่รูปแบบพลังต้นกำเนิดหรือตราประทับ เช่นนั้นมันคืออะไรกัน?

ซูเฉินไม่รู้ แต่ในขณะที่เขาเฝ้าสังเกตอย่างต่อเนื่อง ซูเฉินก็รู้สึกถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่คืบคลานเข้ามาหาเขา

ความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นบนร่างกายของซูเฉินและฝีเท้าของเขาก็เพิ่มความเร็วขึ้น สง่างามมากขึ้น ความเร็วของเขาเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นซูเฉินก็ก้าวขึ้นไปกลางอากาศ เขาไม่ร่วงกลับลงไปที่พื้น แต่เขากลับเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วในกลางอากาศ และหลบการโจมตีของกู่ชิงลั่วไปได้

แม้ว่าในเวลาต่อมาซูเฉินจะร่วงกลับลงไปที่พื้น หากแต่ภาพที่เกิดขึ้นมันก็มาพอแล้วที่จะทำให้กู่ชิงลั่วตกตะลึง

“เจ้าทำได้อย่างไร ?”

ซูเฉินเงียบลง

เขาส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้”

“ลองอีกครั้ง !” กู่ชิงลั่วกระตุ้นเขา

การก้าวขึ้นไปบนอากาศเป็นเส้นแบ่งระหว่างการใช้ออกก้าวย่างหมอกอสรพิษของผู้ที่มีสายเลือด กับการใช้ออกก้าวย่างหมอกอสรพิษของผู้ที่ไม่มีสายเลือด

ผู้ที่ไม่มีสายเลือดไม่ว่าจะฝึกฝนมากแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุมาถึงระดับนี้ ! ได้

ซูเฉินลองพยายามอีกครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถทำได้

“บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ” กู่ชิงลั่วยักไหล่

ไม่ว่าจะมีสายเลือดหรือไม่ก็ตาม โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเรื่องวิธีการใช้พลังต้นกำเนิดของแต่ละคน ดังนั้นความจริงที่ว่าบางครั้งแม้จะมีความบังเอิญเกิดขึ้น มันก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร

เพียงแค่ว่าซูเฉินนั้นไม่พอใจเล็กน้อย

เขายังคงเฝ้าดูกู่ชิงลั่ว

หลังจากการซ้อม กู่ชิงลั่วดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของนางแดงจากการออกแรง การไหลเวียนของปราณที่อยู่ใต้ผิวหนังชัดเจนอย่างมากเพราะการกระตุ้นสายเลือด

น่าเสียดายที่เสื้อผ้าของนางบดบังร่างกายเอาไว้ ทำให้ซูเฉินไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

หากไม่มีเสื้อผ้า หากเขามองเห็นได้ชัดเจนขึ้น นั้นจะดีสักแค่ไหน?

ซูเฉินรู้สึกลังเลและทรมาน

ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถระงับความกระหายที่รุนแรงในใจได้

ซูเฉินตัดสินใจ

เด็กหนุ่มพูดขึ้นว่า “เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ? ถ้าเหงื่อออกเยอะนัก งั้นก็ไปล้างตัวเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)