ซูผิงฟังอย่างตั้งใจ
“ก่อนอื่น เจ้าต้องรู้กลไกเบื้องหลังโลกใบเล็ก และสิ่งที่จำเป็นในการสร้างโลกใบเล็กขั้นพื้นฐานก่อน”
(ที่ปรึกษา)อาจารย์หนุ่มอธิบายอย่างอดทนว่า “พูดง่ายๆ ว่า เมื่อเจ้าเชี่ยวชาญกฎอย่างเต็มที่ จะสามารถใช้เพื่อสร้างศูนย์กลางของโลกใบเล็ก และกฎอื่นๆ จะเป็นรากฐานของโลกใบเล็ก!
“พลังของโลกใบเล็กขึ้นอยู่กับรากฐานของมัน ยิ่งมีการรวมกฎเข้าไปมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม โดยพื้นฐานแล้ว ศูนย์กลางก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างโลกใบเล็กแม้จะไม่มีรากฐานก็ตาม มันสามารถรองรับพลังศรัทธาพิเศษได้”
“พลังศรัทธาพิเศษ?” ซูผิงรู้จักพลังแห่งศรัทธา แต่รู้สึกสับสนกับคำอธิบายนี้ พลังศรัทธาไม่เคยถูกมองว่าเป็น “สิ่งธรรมดา” ในสหพันธ์ อาจารย์หนุ่มหมายถึงพลังที่แตกต่างหรือว่าเขาคิดว่ามันสำคัญกว่า?
”ใช่แล้ว หากเจ้าเพิ่มศูนย์กลางของโลกใบเล็กด้วยพลังศรัทธา เจ้าจะสามารถควบคุมพลังของมันได้! นั่นคือโลกใบเล็กที่พื้นฐานที่สุด”
อาจารย์หนุ่มกล่าวต่อไปว่า “โลกใบเล็กของอัจฉริยะส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นด้วยกฎที่พวกเขาเชี่ยวชาญอย่างเต็มที่เป็นรากฐาน โลกใบเล็กของเจ้าจะยี่งแกร่งหากเจ้าเข้าใจกฎสูงสุดสี่ข้ออย่างเต็มที่และใช้กฎเหล่านั้นเพื่อสร้างรากฐาน”
“หากเจ้าเชี่ยวชาญกฎสูงสุดทั้งสี่อย่างอย่างเต็มที่ โลกใบเล็กของเจ้าที่สร้างขึ้นจากกฎเหล่านั้นจะสมบูรณ์แบบ!
“อันที่จริง เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามมากเกินไปตอนย่อโลกใบแรก หากเจ้าทำเช่นนั้น การสร้างโลกใบที่สองจะยากขึ้นมาก”
อาจารย์หนุ่มเหลือบมองซูผิงและพูดเสริมว่า “ยกตัวอย่างเช่น ข้ามีโลกใบเล็กสามใบ ใบแรกอยู่บนพื้นฐานของกฎหลายข้อ รวมทั้งกฎสูงสุดสี่ข้อ
“โลกใบที่สองอยู่บนพื้นฐานของกฎสูงสุดสี่ข้อที่ข้าเชี่ยวชาญอย่างเต็มที่ สิ่งนี้ทำให้โลกที่สองของข้าแข็งกว่าใบแรก พวกมันสามารถเสริมสร้างซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องกลืนกัน
“ถ้าเจ้าเชี่ยวชาญกฎสูงสุดทั้งสี่ในโลกใบแรก เจ้าจะต้องต่อสู้กับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเพื่อสร้างโลกใบที่สองขึ้น เพื่อไม่ให้โลกใบเล็กทั้งสองไม่หลอมรวมเข้าด้วยกัน เมื่อพวกมันทำเสร็จแล้ว สนามพลังพิเศษระหว่างพวกมันจะหยุดนิ่ง”
ซูผิงตกตะลึง เขาไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญกฎสูงสุดสี่ช้อในโลกใบแรกอย่างครบถ้วนหรอ?
“อาจารย์ครับ ถ้าเป็นเช่นนั้น การสร้างโลกใบที่สองจะไม่ง่ายกว่าหรือถ้าข้าสามารถโลกแรกด้วยวิธีธรรมดา” ซูผิงถาม
อาจารย์หนุ่มส่ายหัวและกล่าวว่า “เจ้าต้องเข้าใจกฎสูงสุดสี่ข้อในโลกใบแรก ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เจ้าจะไม่สามารถรับสนามพลังพิเศษของโลกใบที่สองได้”
ซูผิงเข้าใจ จากนั้นเขาจึงถามว่า “แล้วท่านใช้อะไรสร้างโลกใบที่สาม?”
อาจารย์หนุ่มมองมาที่เขาและพูดว่า “ข้าได้โลกใบที่สามมาด้วยโชค ข้าได้รับการกระตุ้นพิเศษจากหัวใจของสัตว์ประหลาด ซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับกฎสูงสุดสี่ข้อ ข้าเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น นั่นคือวิธีที่ข้าย่อโลกใบที่สามที่ทรงพลังยิ่งกว่า”
“การกระตุ้น?”
”ใช่แล้ว เจ้าอาจพยายามเข้าใจกฎสูงสุดสี่ข้อและทำให้โลกใบแรกของเจ้าสมบูรณ์แบบก่อน จากนั้นเจ้าภุงสามารถควบคุมกฎสูงสุดสี่ข้อได้อย่างเต็มที่ และสร้างโลกใบที่สอง นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนทำ ศิษย์ของเราทุกคนสามารถย่อโลกใบเล็กได้สองใบ อย่างไรก็ตามการย่อใบที่สามเป็นเรื่องยาก เจ้าต้องค้นหาการกระตุ้นใหม่!” ที่ปรึกษากล่าว ซูผิงเข้าใจ
ดังนั้นการกระตุ้นคือสิ่งสำคัญจริงๆ!
เทพโบราณนั้นบรรลุโลกใบเล็กเจ็ดใบโดยได้รับการกระตุ้นมากมายที่มีพลังเท่ากับกฎสูงสุดสี่ข้ออย่างงั้นหรอ? ซูผิงตกตะลึง กฎสูงสุดสี่ข้อได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดากฎทั้งหมด มันยากที่จะหากฎอื่นใดที่ดีเท่าพวกมัน
“มีอีกวิธีหนึ่งในการย่อโลกใบเล็ก”
อาจารย์หนุ่มกล่าวต่อ “นั่นคือการหาสมบัติพิเศษ มีบางสิ่งในโลกนี้ที่มีพลังพิเศษ เจ้าสามารถใช้มันเป็นรากฐานสำหรับโลกใบเล็กได้ถ้าเจ้าพบมัน เท่าที่ข้ารู้ ใบไม้แต่ละใบของต้นไม้โลกพันวิถีที่ก่อความโกลาหลนั้นมีโลกใบเล็ก เจ้าสามารถสร้างโลกใบเล็กได้หากเจ้าได้ใบของมันมาสักใบ”
“ต้นไม้โลกพันวิถี?” ซูผิงตกตะลึง
มันน่าสะพรึงกลัวที่ใบไม้แค่ใบเดียวสามารถสร้างโลกใบเล็กได้ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสร้างโลกใบเล็กได้นับพันสิถ้าข้าเจอต้นไม้?” ซูผิงอดไม่ได้ที่จะถาม
อาจารย์หนุ่มส่ายหัว “แน่นอนว่าไม่ อย่างที่ข้าพูด โลกใบเล็กของเจ้าต้องแตกต่างกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มันหลอมรวมกัน ใบของต้นไม้นั้นส่วนใหญ่เหมือนกัน แม้ว่าเจ้าจะได้รับมาร้อยใบ ก็จะมีเพียงใบเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าย่อโลกใบเล็กได้”
เขาส่ายหัวด้วยท่าทางแปลก ๆ ขณะที่กล่าวเสริม “ทำไมข้าถึงบอกเจ้าเรื่องนี้นะหรอ? แม้แต่เทพโบราณก็ยังไม่สามารถหาสมบัติดังกล่าวได้ ข้าแค่ยกตัวอย่าง มีของอื่น ๆ อีกมากมายที่มีผลพิเศษ แต่เจ้าจะต้องโชคดีจึงจะได้มันมา
“น่าเสียดายที่เจ้าเป็นมนุษย์ ไม่งั้นเจ้าคงสามารถพึ่งพาความช่วยเหลือจากตระกูลของเจ้าในการสร้างโลกใบที่สาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นตระกูลขั้นสูง” เขาเหลือบมองซูผิงและส่ายหัว มนุษย์เป็นเพียงสายพันธุ์ชั้นต่ำในแดนเทพอาเคี่ยน แต่มียอดฝีมือที่เป็นมนุษย์อยู่นอกอาณาจักรอยู่เทพจึงให้มนุษย์มีชีวิตรอดเพราะยอดฝีมือเหล่านั้น
“ถ้าเช่นนั้น ตระกูลระดับสูงมีสมบัติเช่นนี้หรือไม่?” ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย เขาจำเจ้าชายที่ท้าทายเขาและอิจฉาขึ้นมาในทันใด การเป็นเจ้าชาย ผู้ชายคนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในตระกูลของเขา มันจะง่ายมากที่จะสร้างโลกใบเล็กสามใบ เพราะเขาเข้าใจกฎสูงสุดทั้งสี่ข้อแล้ว
เขาจะสามารถมีโลกใบเล็กได้มากกว่านี้ ถ้าเขามีโอกาสอื่น หรือถ้าเขามีความสามารถ
นั่นเป็นข้อได้เปรียบของตระกูลใหญ่ ฉันไม่สามารถเทียบกับพวกเขาได้ ซูผิงถอนหายใจและจดจ่อกับการบ่มเพาะของเขาเอง
เขาเกือบจะเสร็จสิ้นการควบคุมกฎสูงสุดสี่ข้อแล้ว เขาตั้งใจจะใช้ผลเห็นแจ้งกับกฎแห่งการทำลายล้าง สำหรับกฎแห่งชีวิต เขาตัดสินใจที่จะรอให้ภาพร่างดาวดวงที่เจ็ดวาดเสร็จก่อน
กฎเหล่านั้นได้หลอมรวมเป็นโลกใบแรก ดูเหมือนว่าฉันจะต้องมองหาสิ่งใหม่ เพื่อสร้างโลกใบที่สองหรือเพื่อทำความเข้าใจกฎที่หายากยิ่งขึ้น ซูผิงค่อยๆ วางแผน สำหรับเขา การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่ามาก อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตามืดบอดอีกต่อไป
งานนี้มีความท้าทาย แต่ตอนนี้เขารู้วิธีที่จะทำให้สำเร็จ
“ขอบคุณสำหรับการชี้แนะครับ” ซูผิงขอบคุณอาจารย์หนุ่มอย่างจริงใจ ที่ปรึกษาสอนเขาอย่างอดทนโดยไม่เลือกปฏิบัติ
”ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติที่อัจฉริยะอย่างเจ้าจะปรากฏขึ้นท่ามกลางมนุษย์ มีเทพไม่กี่องค์เท่านั้นที่สามารถย่อโลกใบเล็ก ในขณะที่มีระดับเท่าเจ้า พยายามต่อไป บางทีการเติบโตของมนุษยชาติอาจจะขึ้นอยู่กับเจ้า” ที่ปรึกษากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซูผิงยิ้ม เขารู้ว่าอาจารย์หนุ่มเพียงแค่ล้อเลียนเขา แต่เขาไม่สนใจ เขาบอกลาที่ปรึกษาและกลับไปที่วังในขณะที่รอการท้าทาย
ไม่นานคนใช้คนสวยก็กลับมา ดูเหมือนนางจะมีเรื่องน่ายินดี “ท่านซูผิง เจ้าชายที่ท้าทายท่านถูกนำตัวไปหาคณะตรวจสอบ การท้าทายจะต้องเลื่อนออกไปก่อน”
”ฮะ?”
ซูผิงรู้สึกประหลาดใจ “มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไปถามๆดูแล้ว มันเกิดอุบัติเหตุกับเจ้าหญิงตระกูลสายฝน ทุกคนในตระกูลโกรธจัด คณะกรรมการตรวจสอบกำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่” คนใช้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซูผิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและจำได้ว่าสี่ผู้สูงศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลสายฝนมาที่สถาบัน และมีเพียงคนเดียวที่ผ่านการทดสอบ เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิง? นางคือคนไหน?”
คนใช้มองไปรอบๆ และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ ข้าได้ยินมาว่ามีบางอย่างผิดปกติระหว่างการบ่มเพาะของนาง เป็นเจ้าหญิงของตระกูลสายฝนที่ไปที่สำนักสวรรค์ยุทธ์”
“สำนักสวรรค์ยุทธ์…”
ดวงตาของซูผิงเย็นชา นางเป็นเจ้าหญิงคนเดียวที่มีคุณสมบัติอย่างงั้นหรือ? เขาได้ยินมาว่าการแข่งขันระหว่างลูกหลานตระกูลใหญ่นั้นโหดร้าย แต่เขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะสามารถฆ่าเจ้าหญิงได้ในขณะที่อยู่ในสถาบันวิถีสวรรค์!
ไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นๆ กำลังถูกสอบสวน พวกเขาได้รับประโยชน์จากการตายของเจ้าหญิง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่กังวลว่าเทพโบราณในตระกูลของพวกเขาจะรู้เข้าหรอ? เว้นแต่ผู้สนับสนุนของพวกเขาจะทำอะไรบางอย่าง… ซูผิงตระหนักว่าตระกูลใหญ่เหล่านั้นไม่สามัคคีกัน
อย่างไรก็ตาม มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่ส่ายหัวและหยุดคิดเรื่องนี้เพราะเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาบอกลาคนใช้และบอกนางว่าเขาจะบ่มเพาะอย่างสันโดษอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตายเมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้
เขาใช้การคืนชีพแบบสุ่ม และเดินเตร่ไปมาในแดนเทพพร้อมกับอสูรของเขา
แดนเทพอาเคี่ยนนั้นกว้างใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามที่นี่ต่างจากอาณาจักรโกลาหลแห่งอันเดธ สถานที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่โดยเทพหรือเผ่าพันธุ์บริวารร มีเมืองอยู่ทุกที่ ดังนั้นซูผิงจึงไม่พบพื้นที่รกร้างที่เหมาะสมสำหรับการฝึก จนกระทั่งหลังจากการคืนชีพติดต่อกันสองสามครั้ง
ดูเหมือนว่าอาณาจักรโกลาหลแห่งอันเดธจะเป็นสถานที่ที่ดีกว่าสำหรับการบ่มเพาะ ฉันสามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาดได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ซูผิงคิด
ซูผิงออกจากแดนเทพอาเคี่ยนและกลับไปที่ร้านของเขาในอีกสองสามวันต่อมา
ซูผิงใช้เวลาช่วงนั้นทำความคุ้นเคยกับแดนเทพอาเคี่ยนมากขึ้นแทนที่จะแค่ต่อสู้ เขาเห็นสิ่งใหม่ๆมากมาย ความรู้บางครั้งก็มีความสำคัญมากกว่าความแข็งแกร่ง
ค่ายกลและทักษะของแดนเทพอาเคี่ยนนั้นยอดเยี่ยมมาก พวกมันเป็นทักษะด้านดวงดาวที่ดีกว่ามาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าเทพจะยืนอยู่เหนือเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ว่าซูผิงจะไม่ชอบเทพเพราะอคติทางเชื้อชาติ แต่โจแอนนาและอาจารย์หนุ่มก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเทพทุกองค์ไม่เหมือนกัน
ซูผิงชื่นชมเทพอย่างแท้จริงเมื่อพูดถึงการบ่มเพาะและเทคนิคลับ เพราะพวกเขาก้าวหน้ากว่าของสหพันธ์มาก
ซูผิงกลับมาที่ร้านก็มืดแล้ว เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้นในโถงต้อนรับ ร้านปิดแล้ว เห็นได้ชัดว่าวันนี้มีลูกค้าจำนวนพอสมควร โจแอนนาและท่านหญิงเขียวอยู่บนโซฟา และถังยู่หรานดูเหมือนจะต่อสู้อยู่ในสนามรบเสมือนจริง
ทั้งสองคนไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ต่อการมาถึงอย่างกะทันหันของซูผิง
“เจ้าหนู ทำไมแกไม่จำเป็นต้องผ่านการลงทัณฑ์จากสวรรค์ล่ะ?”
ซูผิงเรียกอสูรน้อยซึ่งเพิ่งผ่านระยะตรัสรู้ แต่มีความสูงมากกว่าสิบสองเมตรแล้ว เขาได้ตรวจสอบระดับของมันแล้ว ตามการระบุของระบบ อสูรของเขาได้เข้าสู่สภาวะว่างเปล่าหลังจากใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในแดนเทพอาเคี่ยน!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขางุนงงก็คือการที่อสูรก้าวข้ามไปสู่สภาวะสมุทรโดยไม่กระตุ้นการลงทัณฑ์จากสวรรค์ย้อนกลับไปในแดนเทพอาเคี่ยน มันทะลวงผ่านไปสภาวะสมุทรจากระดับเก้าด้วยวิธีธรรมชาติ
ซูผิงไม่เห็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์ เมื่อมันไปถึงสภาวะว่างเปล่าเช่นกัน
เป็นไปได้ไหมที่แม้แต่สวรรค์ไม่กล้าลงโทษมัน? ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของซูผิง นับตั้งแต่ที่เขาได้เรียนรู้ว่าสวรรค์มีเจตจำนง เขาเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการลงทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งไม่เป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่เขาคิดในตอนแรก
“โบร๋ว!”
อสูรน้อยพยักหน้าให้ซูผิงดูเหมือนจะภาคภูมิใจในความก้าวหน้าของตัวเอง
ซูผิงชำเลืองมองมันและส่งมันไปที่ห้องอสูร ตรงไปยังคอกเลี้ยงดู
อสูรโกลาหลยอมรับว่าซูผิงเป็นเจ้าของหลังจากไปสำรวจแดนเทพ มันยังคุ้นเคยกับ สุนัขมังกรดำโครงกระดูกน้อยและอสูรอื่นๆ
มันทะลวงมาถึงสภาวะว่างเปล่าเท่านั้น แต่ก็ยังกล้าพอที่จะโจมตีอสูรระดับดวงดาวและบุกเข้าไปในโลกใบเล็กของเจ้าดวงดาว ซูผิงส่ายหัว เขาคิดว่าเขามีความสามารถมากแล้ว เขาทำให้เทพอมตะตกใจเมื่อเขาย่อโลกใบเล็กในขณะที่ยังอยู่ในสภาวะชะตากรรม
อย่างไรก็ตาม เขาเทียบอะไรกับอสูรน้อยไม่ได้เลย
ข้อเท็จจริงที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ อสูรเพิ่งฟักออกมาเมื่อสองสามวันก่อน!
ดูเหมือนว่าฉันต้องบ่มเพาะให้มากขึ้น มิฉะนั้นอสูรจะนำหน้าฉันในไม่ช้า ซูผิงรู้สึกวิกฤต มันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่หากอสูรของเขาโตเร็วเกินไปและหลุดพ้นจากสัญญาของเขา..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว