ตอนที่ 607 แผนร้าย
“ข้างนอก?”
หลี่หยวนเฟิงตะลึงจนพูดไม่ออก
แสงแดดจ้าทำให้เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
มีแสงแดด แต่ไม่มีดวงอาทิตย์ในทุ่งน้ำแข็ง แสงมาจากค่ายกลบนเพดาน ท้องฟ้าแจ่มใสถูกสร้างขึ้น แต่แหล่งกำเนิดแสงนั้นมองไม่เห็น พวกเขาทำมันจากทางออกนั้นเหรอ?
โฮก!
อสูรร้ายที่หมอบอยู่ที่นั่นสังเกตเห็นการปรากฏตัวของมนุษย์อย่างกะทันหัน อสูรร้ายตัวหนึ่งยืนขึ้น มันดูเหมือนหมาป่ากับสิงโตผสม ดาบคมบนหลังของมันยื่นออกมาขณะที่มันจ้องมาที่ผู้มาใหม่
เสียงคำรามของอสูรร้ายทำให้อสูรที่อยู่ใกล้ๆตื่นตกใจ
อสูรร้ายเหล่านั้นยืนขึ้นทีละตัว มันเป็นภาพที่น่าประทับใจจริงๆ
“ราชาอสูรร้าย…เจ็ดตัว”
ซูผิงรู้สึกโล่งใจ
อสูรร้ายส่วนใหญ่ที่รวมตัวกันในที่ราบอยู่ในระดับกิตติมศักดิ์ มีเพียงราชาอสูรร้ายเจ็ดตัวในหมู่พวกมัน แต่อาจมีราชาอสูรร้ายอื่นซ่อนอยู่ ที่เขาไม่สามารถสังเกตเห็นได้
ราชาอสูรร้ายเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่สภาวะสมุทร มีเพียงราชาอสูรร้ายที่ดูเหมือนหมาป่าเท่านั้นที่ดูเหมือนจะอยู่ในสภาวะว่างเปล่า
“เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
หลี่หยวนเฟิงมีใบหน้าเคร่งขรึมขณะที่มองไปรอบ ๆ เขาคว้าไหล่ของซูผิงและซูหลิงเยวี่ย อากาศรอบตัวพวกเขา
เริ่มบิดเบี้ยว
โฮก!
อสูรร้ายที่ดูเหมือนหมาป่าตัวนั้นคำรามใส่พวกเขาทั้งสาม เมื่อพวกเขากำลังจะหนีไป
อากาศเริ่มบีบทั้งสามคน
หลี่หยวนเฟิงสูดลมหายใจ อากาศสั่นสะเทือน และการโจมตีของอสูรร้ายที่เหมือนหมาป่าก็หายไป หลี่หยวนเฟิงรวมทั้งซูผิงและซูหลิงเยวี่ยหายตัวไปจากจุดนั้น
พวกเขาโผล่ออกมาอีกครั้ง ห่างออกมาหลายพันเมตร
พวกเขาเคลื่อนย้ายเป็นครั้งที่สอง
หวืด! หวืด! หวืด!
พวกเขาออกจากที่ราบในทันที
หลี่หยวนเฟิงใช้เวลาสักครู่เพื่อสูดลมหายใจเมื่อพวกเขามาถึงที่ที่ปลอดภัย ราชาอสูรร้ายไม่ได้ติดตามพวกเขามา
การแบกคนสองคนขณะเคลื่อนย้ายเป็นเรื่องยาก
เขาสามารถฆ่าอสูรร้ายทั้งหมดบนที่ราบได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากทำให้อสูรตัวอื่นตื่นตัว
ราชาอสูรร้ายสภาวะว่างเปล่านั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เขาประจำการอยู่ในถ้ำลึกมาแปดร้อยปีแล้ว และการต่อสู้ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักรบอสูรสภาวะว่างเปล่าที่ดีที่สุด!
“ผมคิดว่านี่คือภูเขาหินทะเล!”
หลี่หยวนเฟิงหยุดกะทันหันเมื่อเขาสังเกตเห็นสภาพแวดล้อม
ซูผิงมองเขาด้วยคำถาม “ภูเขาหินทะเล?”
หลี่หยวนเฟิงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาตื่นเต้นและพูดกับซูผิง “ใช่ ภูเขาหินทะเล! เราอยู่ข้างนอก! เราอยู่ข้างนอกจริงๆ!”
เขายังไม่แน่ใจเพราะมันดูเหนือจริงเกินไป
แต่เขาไม่เคยลืมภูเขาหินทะเล
พวกเขาอยู่ข้างนอก!
“มันดูแตกต่าง ผมคิดว่ามีป่ามากกว่าเดิม แต่ภูเขายังคงเหมือนเดิม นี่คือที่ที่ผมเติบโตมา ที่นี่คือภูเขาหินทะเล ที่นี่คือบ้าน… เมืองฐานกรงเล็บทมิฬอยู่ใกล้ที่นี่มาก!”หลี่หยวนเฟิงตัวสั่นเมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้
แปดร้อยปี!
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะสามารถกลับบ้านได้หลังจากต่อสู้ในถ้ำลึกมาเป็นเวลาแปดร้อยปี!
จริงๆเขาจะต้องเกษียณและกลับบ้านมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เขาไม่ต้องการทิ้งคู่หูในถ้ำลึกของเขา เขาจะต้องช่วยฝึกผู้มาใหม่ด้วย แต่เมื่อผู้มาใหม่คุ้นเคยกับถ้ำลึกและถึงเวลาที่พวกเขาต้องจากไป ผู้มาใหม่ก็กลายเป็นคู่หูของเขาไปแล้ว และเขาก็ลังเลที่จะจากไปโดยไม่มีพวกเขา! เขาไม่อยากปล่อยให้เพื่อนของเขาตาย!
ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เขาจึงไม่เคยออกจากถ้ำลึกเลย
แต่วันนี้ วังวนพาเขาออกมาข้างนอกโดยตรง มายังสถานที่ที่ใกล้กับบ้านของเขา!
ในที่สุดเขาก็สามารถกลับบ้านได้หลังจากผ่านมาแปดร้อยปี!
ซูผิงมั่นใจว่าพวกเขาอยู่ข้างนอกจริงๆ เขารู้สึกว่าในที่สุดเขาก็สามารถหายใจได้อีกครั้ง แต่ความคิดที่ว่าโครงกระดูกน้อยยังคงอยู่ในทางเดินนั้นทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด
หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ ซูผิงกล่าวว่า “พี่หลี่ ไปเตือนหอคอยเกี่ยวกับถ้ำลึก ผมต้องกลับไป ผมต้องหาทางเข้าไปในถ้ำลึกเพื่อช่วยอสูรของผม”
เมื่อคิดว่าอสูรของเขาเสี่ยงมากที่ต้องอยู่ขัดขวางอสูรพันตา มันทำให้หลี่หยวนเฟิงหยุดตื่นเต้นอย่างกะทันหัน เขาพยักหน้า “ผมจะบอกหอคอยเกี่ยวกับถ้ำลึก แต่น้องซู ผมจะไปกับคุณถ้าคุณจะกลับไปในถ้ำลึก ผมอยากไป!”
ซูผิงแย้ง “คุณอยู่ที่นั่นมาแปดร้อยปีแล้ว ถึงเวลาที่คุณต้องพักผ่อนแล้ว”
“ใช่ แต่มันเพิ่งผ่านไปแปดร้อยปีเท่านั้น ผมสามารถอยู่ที่นั่นนานขึ้นอีกหน่อย” หลี่หยวนเฟิงหัวเราะ คำตอบของเขาฟังดูสบายๆ และไร้กังวล
ซูผิงพยักหน้า
หลี่หยวนเฟิงถามว่า “น้องซูคุณมาจากเมืองไหน? ผมจะไปเยี่ยมคุณหลังจากที่ผมแวะไปที่ตระกูลของผมแล้ว” ซูผิงตอบกลับ “ผมมาจากเมืองฐานหลงเจียง ถามคนแถวนั้น แล้วคุณจะพบผม”
“เมืองฐานหลงเจียง? ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับชื่อนั้น ผมคิดว่ามันอยู่ทางเดียวกัน น้องซู ไปเยี่ยมตระกูลกับผมก่อนไหม? ถ้าผมจำไม่ผิด เราจะไปถึงเมืองฐานกรงเล็บทมิฬก่อน ถัดจากนั้นเป็นทางเข้าที่เจ็ดของถ้ำลึกแล้วก็จะเป็นเมืองฐานหลงเจียง”หลี่หยวนเฟิงเสนอ
ซูผิงไม่รู้ว่าหลี่หยวนเฟิงยังจำที่ตั้งของเมืองฐานได้ดี เมื่อเป็นเช่นนี้ซูผิงจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
“ได้สิ” ซูผิงตกลง
สถาบันผู้กล้าอยู่หลังเมืองฐานกรงเล็บทมิฬ เขาสามารถแวะที่นั่นเพื่อคิดบัญชี! ความคิดที่ว่าซูหลิงเยวี่ยหายไปทำให้ซูผิงโกรธ
หลี่หยวนเฟิงเป็นผู้นำทาง ทั้งสามคนตรวจสอบสภาพแวดล้อมขณะที่พวกเขาบินไป คราวนี้พวกเขาไม่ได้เคลื่อนย้าย อสูรร้ายไม่ได้ติดตามพวกเขาแล้ว ซึ่งทำให้โล่งใจอย่างมาก
“ผมคิดว่าราชาอสูรร้ายฉลาดพอที่จะไม่ไล่ตามพวกเรา” หลี่หยวนเฟิงหัวเราะ
ซูผิงพยักหน้า “แต่ผมคิดว่าคุณบอกว่าวังวนในโถงทางเดินน่าจะเชื่อมกับทุ่ง แต่เรามาที่บนพื้นผิวได้ยังไง? ทำไมจึงมีอสูรร้ายมากมายมารวมกันที่นั่น?”
รอยยิ้มของหลี่หยวนเฟิงหายไป “นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมกังวล มันไม่สมเหตุสมผล คุณบอกว่าคุณไม่เห็นนักรบอสูรในตำนานระหว่างทางเข้าไปข้างใน และตอนนี้สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น ผมคิดว่าอสูรเหล่านั้นที่เราเห็นบนพื้นผิวนั่นมาจากถ้ำลึก!”
ซูผิงเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร
เขาเชื่อว่านั่นไม่ใช่แค่ความคิด อสูรร้ายเหล่านั้นมาจากถ้ำลึกจริงๆ! พวกมันมีกลิ่นของถ้ำลึก!
“พวกมันอยู่ที่นั่นแต่ไม่ได้ไปไหน พวกมันแค่รอ ผมคิดว่าพวกมันกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง นี่อาจเป็นหายนะที่รอเวลาอยู่!” หลี่หยวนเฟิงกล่าว ความกังวลซ่อนอยู่ระหว่างคิ้วของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาบอกว่าเขาต้องการกลับไปที่ถ้ำลึกหลังจากไปเยี่ยมตระกูลของเขาแล้ว!
เขาไม่สามารถทำใจให้สบายได้!
ทุกอย่างแปลก!
อสูรร้ายที่อนู่ข้างนอกต้องเป็นกองกำลังแนวหน้าที่ถูกส่งมาจากถ้ำลึกเพื่อปูทาง!
เขาต้องรายงานเรื่องนี้ให้หอคอย และให้พวกเขาส่งนักรบอสูรในตำนานไปฆ่าอสูรร้ายแล้วตรวจถ้ำลึก
“น้องสาวของคุณถือเป็นผู้ให้ข่าวนี้กับเรา!”หลี่หยวนเฟิงกล่าวในทันใด
ซูหลิงเยวี่ยผู้ก้มหน้าก้มตา เธอโทษตัวเองตั้งแต่พวกเขาออกมาจากถ้ำลึก
เธอรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างซูผิงกับอสูรของเขาแน่นแฟ้นแค่ไหน
อสูรของเขาอยู่ในถ้ำลึกเพื่อที่เขาจะได้ช่วยชีวิตเธอ เขาได้แลกชีวิตอสูรของเขากับเธอ
โชคดีที่อสูรของซูผิงนั้นทรงพลังมากพอ มิฉะนั้นจะไม่มีใครได้ออกมา
“คุณอย่าล้อเลียนฉัน ฉันเกือบจะฆ่าคุณแล้ว…” ซูหลิงเยวี่ยลดเสียงของเธอ “ฉันมันตัวนำหายนะ…”
หลี่หยวนเฟิงยิ้ม “นั่นไม่ถูกหรอก พี่ชายของคุณจะไม่เข้าไปในถ้ำลึกเพื่อค้นหาคุณ ถ้าคุณไม่ไปที่นั่น เราก็จะไม่สังเกตเห็นว่าไม่มีนักรบอสูรในตำนานหรือกลุ่มอสูรร้ายที่เราเพิ่งเจอ ตอนนี้เราทราบแล้วว่าอสูรร้ายเหล่านั้นอาจกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าพวกมันต้องการจะทำอะไร แต่มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเราอย่างแน่นอน มันไม่ดีสำหรับมนุษยชาติ แต่เราจะสามารถช่วยโลกได้ถ้าเราสามารถดำเนินการได้ทันเวลา!”
ซูหลิงเยวี่ยเปิดปากของเธอแต่ไม่พูดอะไร เธอฝืนยิ้ม
นั่นฟังดูดี แต่เธอไม่ได้ช่วยอะไร เธอสร้างแต่ปัญหา
ความจริงที่ว่าพวกเขาได้สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดเหล่านั้นนั้นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ซูผิงจ้องมองไปที่เธอ “เธอรู้ว่าทำผิด ดังนั้นในอนาคตจงฉลาดกว่านี้ อย่าทำให้ฉันต้องลำบากอีก”
ซูหลิงเยวี่ยเม้มปาก เธอรู้ว่าเขามีสิทธิทุกอย่างที่จะตำหนิเธอ สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้สอนบทเรียนล้ำค่าแก่เธอ และเธอจะไม่มีวันลืมมัน
เธอใช้เวลาเจ็ดวันในการซ่อนตัวอยู่ในถ้ำลึกตัวคนเดียว นั่นเป็นบทเรียนที่ยากจะลืมเลือน แต่ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าเธอจะมีโอกาสแก้ไขความผิดของเธอ
เธอไม่รู้ว่าซูผิงจะไปช่วยเธอ
“ฉันเข้าใจ…” เธอพูด
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะเถียงเขา แต่การเถียงกับเขาไม่ช่วยอะไรในตอนนี้
”ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้น.” ซูผิงลูบผมของเธอ
หลี่หยวนเฟิงหัวเราะ เขาเห็นกำแพงที่งดงามบนขอบฟ้า “พวกเรามาถึงแล้ว นั่นคือเมืองฐานกรงเล็บทมิฬ !”
ซูผิงจ้องมองไปในระยะไกล และเห็นเมืองใหญ่
มันเป็นเมืองที่สง่างาม ตะไคร่น้ำปกคลุมกำแพงเมือง ดูเหมือนว่ามันนานมากแล้วที่เมืองนี้ไม่มีการต่อสู้
“ในที่สุดฉันก็กลับมา”
หลี่หยวนเฟิงจ้องมองไปที่เมือง ผนัง อิฐ และหินดูคุ้นเคยอย่างมาก ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเขา มองแวบเดียวก็สะเทือนใจ
เขาฝันถึงเมืองฐานแห่งนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เขาฝันถึงผู้คนในเมืองฐาน วันนี้ในที่สุดเขาก็กลับมา!
ตอนที่ 608 ตบจนตาย
เมืองฐานกรงเล็บทมิฬ
ปืนใหญ่ทางไกลหลายกระบอกที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมเล็งไปในระยะไกล มันติดตั้งอยู่บนกำแพงชั้นนอกที่มีคราบตะไคร่น้ำ มีร่องรอยของสงครามหลงเหลืออยู่
นักรบสองสามคนประจำการอยู่ที่กำแพงชั้นนอก พูดคุยกันอยู่
หวืด!
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา
เหล่านักรบต่างตื่นตัว พวกเขามองข้ามมาและเห็นคนสามคนกำลังบินมาที่กำแพงเมืองด้วยความรวดเร็ว ทั้งสามบินตรงเข้ามาในเมืองเหนือหัวพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจจะหยุด
“นักรบอสูรกิตติมศักดิ์สามคน?”
“พวกเขามาจากตระกูลใหญ่หรือเปล่า?”
เหล่านักรบต่างสงสัย
เป็นเรื่องยากที่จะเห็นนักรบอสูรกิตติมศักดิ์สามคนเดินทางด้วยกัน
ฟริ้ว!
หลี่หยวนเฟิงบินไปยังจุดหนึ่งในเมืองฐาน
อาคารต่างๆ ถูกจัดวางอย่างไม่เป็นระเบียบเมื่อมองจากระดับพื้นดิน แต่เมื่อมองจากด้านบนมันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ดูเหมือนกล่องไม้ขีดที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งเป็นภาพที่น่ามอง
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าดินแดนที่แห้งแล้งเหล่านี้จะกลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัย…”
หลี่หยวนเฟิงมองดูอาคารด้วยความงุนงง
ภูเขาและดินแดนรกร้างที่เขาเคยรู้จักไม่มีอีกแล้ว
เมืองนี้มีชีวิตชีวาด้วยประชากรจำนวนมาก แต่นี่ไม่ใช่เมืองฐานที่เขาคุ้นเคย
“ผมว่ามันอยู่ตรงนั้น…”
หลี่หยวนเฟิงหันไปทางทิศทางหนึ่ง เขายังคงจำได้ว่าตระกูลของเขาอยู่ตรงไหน
ไม่นานพวกเขาก็มาถึง แต่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คฤหาสน์ที่เขารู้จัก มันเป็นอาคารสำนักงานที่มีมากกว่าหนึ่งร้อยชั้น
คำบนอาคารกล่าวว่า “ตระกูลหาน”
หลี่หยวนเฟิงรู้สึกสับสน เขายืนอยู่หน้าอาคารสำนักงาน
นักรบอสูรเข้าและออกพร้อมกับอสูรบนไหล่หรือข้างตัวพวกเขา ซูผิง ซูหลิงเยวี่ยและหลี่หยวนเฟิงได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย
นักรบอสูรกิตติมศักดิ์สามคนที่บินมาด้วยกันสมควรได้รับความสนใจอยู่แล้ว
“ดูนั่น นักรบอสูรกิตติมศักดิ์!”
“ฉันได้ยินมาว่าเราจะมีผู้นำบางคนมาที่นี่ พวกเขาเป็นผู้นำคนใหม่ของเราหรือเปล่า?”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น นอกจากนักรบอสูรกิตติมศักดิ์แล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมาที่นี่และเป็นผู้นำเรา?”
หลายคนพูดคุยกันเสียงเบา ขณะที่พวกเขามองทั้งสามด้วยความเคารพ
นักรบอสูรกิตติมศักดิ์จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีไม่ว่าจะไปที่ไหน
หลี่หยวนเฟิงมองไปที่อาคารนั้น เขาขมวดคิ้วแต่ไม่พูดอะไร เขาเข้าไปข้างใน ซูหลิงเยวี่ยและซูผิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามเขาไป
หลี่หยวนเฟิงเห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ชายวัยกลางคนเป็นนักรบอสูรขั้นสูง ดังนั้นหลี่หยวนเฟิงจึงตัดสินใจถามเขาว่า “ขออภัย แต่คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่าตระกูลหลี่ที่เคยอยู่ที่นี่ไปอยู่ที่ไหน?”
”อะไร? ตระกูลอะไรนะ หลี่?”
ชายวัยกลางคนเลิกคิ้ว “ไม่มีตระกูลหลี่ ที่นี่คือบ้านของตระกูลหานและเป็นมานานมากแล้ว”
”นานมากแล้ว?”หลี่หยวนเฟิงถาม “นานแค่ไหน?”
“คุณไม่รู้เหรอ?” ชายวัยกลางคนมองเขาขึ้นลง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามีคนที่ไม่รู้จักตระกูลหานในเมืองฐานกรงเล็บทมิฬ ใครก็ตามที่มีความรู้พื้นฐานจะรู้ว่าตระกูลหานอยู่ที่นี่มาสามร้อยปีแล้ว และอาคารสำนักงานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อสองร้อยปีก่อน
”นานแค่ไหน?”หลี่หยวนเฟิงย้ำคำถามของเขา
ชายวัยกลางคนพูดอย่างไม่พอใจ “คุณไม่รู้หรอ? ถามใครๆก็รู้ ว่าแค่ คุณมาทำอะไรที่นี่?”
หลี่หยวนเฟิงหน้าตึง “ฉันถามว่านานแค่ไหน?!”
แม้แต่ลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เคาน์เตอร์แตก
สถานที่นี้เคยเป็นรากฐานของตระกูลหลี่ พวกเขาจะไม่ยอมยกให้คนอื่น ตระกูลอาจย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่เขาเชื่อว่าอย่างน้อยตระกูลของเขาต้องสร้างห้องโถงบรรพบุรุษไว้ที่นี่ มันไม่ควรเป็นสถานที่ที่ตระกูลอื่นจะได้มาปักหลัก
”ฮะ?”
ชายวัยกลางคนตกใจกับการบดขยี้เคาน์เตอร์อย่างกะทันหัน เขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง มันคล้ายกับการปลดปล่อยพลังดาวจากภายนอกที่นักรบอสูรกิตติมศักดิ์บางคนสามารถทำได้!
ทักษะพิเศษบางอย่างสามารถสร้างผลกระทบแบบนั้นได้เช่นกัน แต่ไม่ค่อยมีใครเห็น
กิตติมศักดิ์?
ชายวัยกลางคนมองหลี่หยวนเฟิงอีกครั้งด้วยความสนใจมากขึ้น
ไม่น่าเป็นไปได้ที่นักรบอสูรกิตติมศักดิ์จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับตระกูลหาน
แน่นอน เว้นแต่ชายคนนี้จะมาจากเมืองฐานอื่น
“คุณครับ คุณเป็นนักรบอสูรกิตติมศักดิ์ใช่ไหม? ช่วยบอกฉายาของคุณได้ไหม? นี่คืออาคารของตระกูลหาน แม้แต่นักรบอสูรกิตติมศักดิ์ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎของเราไม่งั้นจะต้องรับผลที่จะตามมา!” ชายวัยกลางคนกล่าวอ้าง
แม้ว่าชายวัยกลางคนเป็นเพียงนักรบอสูรขั้นสูง แต่เขาได้เห็นนักรบอสูรกิตติมศักดิ์มาพอสมควร
เขาไม่กลัวนักรบอสูรกิตติมศักดิ์คนอื่น เพราะเขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหาน
“ฉายาของฉัน?”
หลี่หยวนเฟิงโกรธมากจนต้องหัวเราะ นักรบอสูรขั้นสูงต้องการทราบฉายาของเขา
“ตามคนดูแลที่นี่มาให้ฉัน”หลี่หยวนเฟิงไม่มีอารมณ์ที่จะเสียเวลากับผู้ชายคนนี้ต่อ
“ผมเป็นคนดูแลที่นี่…”
ชายวัยกลางคนพูดไม่ทันจบประโยคเขาก็กระแทกเข้ากำแพงข้างหลัง วอลล์เปเปอร์ขาดเผยให้เห็นโลหะที่อยู่ภายใน
แม้แต่โครงสร้างโลหะก็ยังงอ นั่นเป็นการกระทำที่คุกคามอย่างมากเพราะอาคารถูกสร้างขึ้นด้วยโลหะผสมพิเศษโดยอสูรตระกูลหินที่มีทักษะเฉพาะตัว
“แกไม่ใช่ หาคนที่รับผิดชอบจริงๆ มาให้ฉัน!”หลี่หยวนเฟิงไม่สนใจที่จะมองชายที่กระอักเลือด เขาหันไปหาคนอื่น หญิงสาวหน้าซีดด้วยความตกใจ
หญิงสาวคนนั้นสามารถรับรู้ถึงการปลดปล่อยพลังงานจากภายนอกได้เช่นกัน เพราะมันโจ่งแจ้งมากเกินไป
“คุณ คุณ…
เธออยากจะพูดว่า “คุณกล้ามากที่ทำร้ายเขา” แต่สภาพที่น่าสังเวชของชายวัยกลางคนทำให้เธอรู้ว่าเธอต้องทำอะไรที่ฉลาด ดังนั้นคำพูดของเธอจึงเปลี่ยนเป็น “ช่วยรอสักครู่ได้ไหม…?”
หญิงสาวโทร และก้าวไปด้านข้าง มองหลี่หยวนเฟิงอย่างประหม่า เธอกลัวว่าเขาจะทำร้ายคนอื่น และเธอจะเป็นคนแรกที่ต้องทนทุกข์หากมันเกิดขึ้น
“แก แกตายแน่!”
ชายวัยกลางคนคลานขึ้นจากพื้นดิน เขาชี้ไปที่หลี่หยวนเฟิงด้วยใบหน้าชั่วร้าย “ไม่มีใครรังแกตระกูลหานได้!”
”หุบปาก!”
ในครั้งนี้ซูผิงเป็นคนตะโกน
เขาไม่ได้ทำอะไรเลยแต่หัวของชายวัยกลางคนเริ่มหมุน มือที่มองไม่เห็นตบเขา การตบนั้นแรงมากจนคอของเขาบิดเบี้ยว และหมุนตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้มลงกับพื้น
ชายคนนั้นไม่หายใจ
หลี่หยวนเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าซูผิงจะโหดร้ายขนาดนั้น เขาแค่พยายามสอนบทเรียนให้ชายคนนั้นโดยการทำร้าย แต่ซูผิงกลับฆ่าเขา!
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว