ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว นิยาย บท 695

ตอนที่ 695 รวมตัว
  หน้าที่ได้รับการตัดสินในระหว่างการประชุม
  เมื่อทุกอย่างได้รับมอบหมาย หลี่หยวนเฟิงกับเย่อู่ซิวก็มุ่งหน้าไปที่หอคอยเพื่อโน้มน้าวกู่ซือผิงให้ร่วมมือกับซูผิง
  หลี่หยวนเฟิงต้องการจะไปคนเดียว แต่เย่อู่ซิวกังวลว่าชายคนเดียวที่สภาวะว่างเปล่าจะไม่ถูกกู่ซือผิงมองว่าสำคัญ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปด้วย
  เซียงเฟิงหรั่น,ฉินตู้หวง, เสวี่ยอวิ๋นเจิน และนักรบอสูรในตำนานคนอื่น ๆ กำลังช่วยกันรวมสามแนวป้องกันเพื่อสร้างป้องกันที่ดีที่สุดที่พวกเขาสามารถสร้างและเตรียมการได้ พวกเขาหารือเกี่ยวกับสถานที่ และแนวคิดเกี่ยวกับประเภทของสิ่งปลูกสร้าง
  ซูผิงกลับไปที่ร้านของเขาในขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่ คนงานก่อสร้างปลอมกำลังเร่งรีบอยู่ในร้านค้าและรอบๆ ร้าน แน่นอนว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นโดยระบบ คงจะแปลกที่ร้านค้าขนาดใหญ่เช่นนี้จะเปลี่ยนรูปลักษณ์โดยไม่มีใครดำเนินการ
  ซูผิงไปหาโจแอนนาที่กำลังนั่งจิบน้ำผลไม้อยู่บนโซฟา การทำงานหลายอย่างของร้านถูกระงับ รวมทั้งคอกเลี้ยงดูในห้องอสูร โจแอนนากำลังขี้เกียจ เธอกำลังอ่านนิตยสารแฟชั่นอยู่
  “ฉันต้องการให้เธอช่วย” ซูผิงโพล่งออกมา
  โจแอนนามองเขา แก้มสีดอกกุหลาบของเธอเปล่งประกาย เธอพูดอย่างใจเย็น “นายต้องการให้ฉันช่วยแก้ปัญหาเรื่องอสูรป่าหรอ? น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถออกจากร้านของนายได้ นั่นคือกฎที่นายกำหนดเอง”
  ซูผิงยิ้มอย่างขมขื่น
  จนถึงเวลานี้ โจแอนนายังคงมีความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเขาเป็นคนตั้งกฎเอง
  ทุกอย่างนั้น ระบบเป็นคนกำหนด เขาไม่สามารถยกเว้นได้ แม้ว่าเขาจะต้องการ
  “ฉันต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับค่ายกล” ซูผิงกล่าว “ฉันต้องการเรียนรู้บางอย่างที่เรียบง่าย สิ่งที่สามารถดักจับราชาอสูรได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าราชาอสูรร้ายด้วยค่ายกล ฉันแค่หวังว่าค่ายกลจะสามารถซื้อเวลาให้ฉันได้”
  โจแอนนาเลิกคิ้ว ทำไมเขาไม่ละทิ้งกฎที่เขาตั้งไว้?
  โจแอนนาค่อนข้างกระตือรือร้นที่จะได้เออกไปห็นวิวภายนอกร้าน และโลกที่ซูผิงอาศัยอยู่
  เธอสังเกตเห็นว่าความหนาแน่นของพลังดวงดาวในอากาศของโลกนี้นั้นเบาบาง ดูเหมือนว่ามันเป็นดาวเคราะห์ชั้นต่ำและรกร้าง ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับโลกนี้ เพราะเธอไม่เคยเห็นมันด้วยตาของเธอเอง “ค่ายกลใหม่? แน่นอน ฉันสามารถสอนนายได้” โจแอนนานั่งไขว่ห้างแล้วพูดว่า“นายต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของราชาอสูรร้าย เนื่องจากนายไม่ต้องการฆ่าพวกมัน ฉันมีค่ายกลการวางกับดักพื้นฐานที่นายสามารถเรียนรู้ได้ ค่ายกลนี้สามารถดักจับราชาอสูรร้ายในสภาวะสมุทรได้อย่างง่ายดาย เว้นแต่วิญญาณของราชาอสูรร้ายจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษ”
  ”ยอดเยี่ยม!”
  “นี่คือค่ายกลสองดาวที่เรียกว่า ค่ายกลวิญญาณเร่ร่อน!” โจแอนนาอธิบายว่า “เมื่อติดอยู่ในค่ายกลนี้วิญญาณของสิ่งมีชีวิตนั้นจะตกอยู่ในภาพลวงตา และมันจะต้องมีเจตจำนงที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษเพื่อที่จะหลุดพ้นจากภาพลวงตา ค่ายกลนี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก ฉันได้สอนพื้นฐานของค่ายกลมากมายตอนที่นายเรียนรู้กักสวรรค์ ฉันไม่รู้ว่านายยังจำที่ฉันเคยสอนได้ไหม นอกนั้นนายแค่ต้องค้นหาวัตถุดิบที่จำเป็นในการสร้างค่ายกลเท่านั้น”
  ซูผิงพยักหน้า “โอเค ฉันเข้าใจ” โจแอนนายกนิ้วขึ้นและแตะหน้าผากของซูผิงเบา ๆ กลิ่นที่ชวนให้มึนเมาของเธอแทรกซึมเข้าไปในจมูกของเขา
  วินาทีถัดมาซูผิงรู้สึกว่าความคิดทั้งหมดในใจของเขาหายไป ข้อมูลที่ซับซ้อนจำนวนมากพุ่งเข้ามาในหัวของเขา โชคดีที่จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่ง เขายังสามารถรับมือได้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง
  ซูผิงลืมตาขึ้นมาครู่หนึ่ง ประหลาดใจและดีใจมาก
  “นี่มันอะไร? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะถ่ายทอดความรู้ให้ฉันแบบนี้” ซูผิงถามโจแอนนา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เขาอยากรู้ว่าเหตุใดเธอจึงไม่ใช้วิธีเดียวกันกับตอนที่เธอสอนเขาเกี่ยวกับกักสวรรค์
  โจแอนนาคุ้นเคยกับแววตานี้เป็นอย่างดี “อย่าโลภ วิธีนี้เหมาะสำหรับความรู้ที่ง่ายๆเท่านั้น ยิ่งข้อมูลซับซ้อนเท่าไหร่ จิตใจของนายสามารถก้าวไปสู่ขีดจำกัดได้ มันสามารถทำให้จิตใจของนายระเบิดได้ ผลข้างเคียงเล็กน้อยคือความผิดปกติของสมอง ในขณะที่ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงคือปัญญาอ่อน”
  “ยังมีอีกปัจจัยหนึ่ง ความแข็งแกร่งของฉันสามารถถ่ายทอดได้แต่สิ่งที่ง่ายๆ” ซูผิงขดริมฝีปากของเขา
  ค่ายกลที่สามารถดักจับราชาอสูรร้ายได้นั้นง่าย…
  ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาเวลาอีกครั้งเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกักสวรรค์
  แต่เวลาเป็นสิ่งที่เขาไม่มี มิฉะนั้นเขาจะพยายามที่จะควบคุมกักสวรรค์ให้ได้สมบูรณ์ ทั้งหมดเพื่อให้สามารถยกเลิกค่ายกลเพื่อปลดปล่อยอาณาจักรที่ถูกล็อกไว้ได้ ดาวเคราะห์สีน้ำเงินจะเติบโต ที่อาจเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยที่สุด… ราชาอสูรจะต้องใช้เวลานานจากมหาสมุทรกว่าจะมาถึง
  ”ขอบคุณมาก ฉันต้องไปแล้ว” ซูผิงกล่าว
  ”อืม ฉันดีใจที่นายยังรู้จักพูดขอบคุณ” โจแอนนาหัวเราะเยาะ
  ซูผิงรีบออกไป เขาไปที่อาคารตระกูลฉินและพบ และขอให้ผู้อาวุโสโทรหาฉินตู้หวง
  ฉินตู้หวงรับสายในไม่ช้า เขายังไม่ได้ออกจากเมืองฐาน
  ซูผิงบอกฉินตู้หวงเกี่ยวกับวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับค่ายกล ฉินตู้หวงซึ่งอาศัยอยู่เหนือพื้นดินมีไหวพริบและมีเส้นสายที่กว้างขวาง เขาไม่ได้โทรหาเสวี่ยอวิ๋นเจินหรือจิ่งเสิ่นหรือคนอื่นๆ ในเรื่องนี้ แม้พวกเขาจะอยู่ในสภาวะว่างเปล่า พวกเขายังคงอยู่ในถ้ำลึกเป็นเวลาหลายปี พวกเขาอาจไม่รู้จักผู้คนมากมายภายนอก “ผมจะส่งภาพประกอบของรายการนี้ให้คุณในภายหลัง ช่วยผมหาพวกมันให้เจอโดยเร็วที่สุด และใช้วิธีการใดๆ ก็ได้ที่คุณนึกออก ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือวิธีที่รุนแรง ผมไม่สนใจ นี้เป็นเรื่องสำคัญ!” ซูผิงเครียด
  ฉินตู้หวงสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้
  ซูผิงไม่แม้แต่จะสบตาพวกเขาตอนที่เขาขายราชาอสูรอสูรสภาวะว่างเปล่าสี่สิบตัว ในทางกลับกันเขาให้ความสำคัญกับสิ่งของเหล่านี้มาก ทัศนคติที่แตกต่างกันนี่เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงความสำคัญของวัตถุดิบเหล่านี้
  ซูผิงวางสาย ผู้อาวุโสตระกูลฉินหาปากกาและกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้เขา
  “คุณมีไหวพริบที่ดี” ซูผิงพูดกับผู้อาวุโส “เอาปากกาลูกลื่นหรือดินสอมาให้ผม ผมต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาพประกอบเหมือนจริง ขอกระดาษ A4 ให้ผมด้วย”
  ”ครับ” ผู้อาวุโสมีความสุขมากหลังจากได้รับคำชมจากซูผิง เขารีบกลับมาพร้อมกล่องดินสอ
  ซูผิงวาดภาพอย่างรวดเร็ว เขาสามารถวาดอะไรก็ได้ที่เขาคิดได้ ด้วยระดับการควบคุมที่เขามี นิ้วของเขามั่นคงมาก
  ในทันที ภาพประกอบเสมือนเหมือนจริงจำนวนมากถูกแสดงบนกระดาษอย่างเต็มตา เขาได้วาดวัตถุดิบทั้งหมดที่เขาต้องการสำหรับค่ายกลวิญญาณเร่ร่อน
  เขาตัดสินใจไม่บอกเป็นชื่อเพราะสิ่งของต่างๆ อาจมีชื่อต่างกันไปในที่ต่างๆ แต่ภาพประกอบเป็นวิธีที่แน่นอนในการค้นหาวัตถุดิบ
  “พิมพ์ออกมาและมอบให้ฉินตู้หวง บอกให้เขาไปหาสิ่งเหล่านี้โดยเร็วที่สุด” ซูผิงกล่าวกับผู้อาวุโส
  “ครับ คุณซู”
  ซูผิงออกจากอาคารของตระกูลฉิน และกลับไปที่ร้านของเขา เสวี่ยอวิ๋นเจินและเซียงเฟิงหรั่นกำลังมุ่งหน้าไปยังแนวป้องกันอีกสองแนวเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อเสนอการร่วมมือกัน ซูผิงไม่ได้กังวลเลยว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ เขาจะรอฟังคำตอบจากพวกเขาที่นี่
  “อธิบายเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับกักสวรรค์ที”
  ในขณะที่เวลาเป็นสิ่งสำคัญ ซูผิงพบว่าตัวเองว่าง ทำให้เขาประหลาดใจมาก เขาจึงเข้าไปหาโจแอนนาทันที
  ไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผมที่เขาจะไปช่วยทวีปอื่นในช่วงเวลาว่างนี้ เขาจะใช้เวลามากไปกับการเดินทางไปและกลับจากทวีปอื่น ทวีปบึงมังกรล่มสลายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ที่นั่น สำหรับการกวาดล้างทวีปของเขาเพื่อหาอสูรป่า … พวกเขาทำอย่างนั้นไปแล้ว
  อสูรป่าบางชนิดยังอาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งได้ แต่พวกมันต้องถูกซ่อนไว้อย่างดี เขาไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการหาอสูรป่า
  สิ่งที่สำคัญกว่าคือต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกักสวรรค์ก่อนที่อสูรป่าจะไปถึงที่นั่น!
  “นายใกล้จะเชี่ยวชาญแล้ว”โจแอนนากล่าวก่อนจะลงรายละเอียด
  หอคอย
  ตำนานขี้เมากำลังดื่มเหล้าในพื้นที่ที่เขาสร้างขึ้น เขามีความกังวลในขณะที่จ้องมองไปที่เกล็ดหิมะ
  จู่ๆ ก็มีคนสองคนมาถึง นั่นคือหลี่หยวนเฟิงและเย่อู่ซิว
  “เฮ้ นายนี่เอง!” ความคิดแรกของตำนานขี้เมาคิดว่าจะมีอสูรป่าเข้ามาโจมตี เขาอารมณ์ดีเมื่อเห็นหลี่หยวนเฟิงและเย่อู่ซิว
  หลี่หยวนเฟิงเห็นขวดและดุเพื่อนที่เมาเหล้า “สามทวีปถูกทำลาย ในฐานะนักรบในตำนานที่ทำงานให้กับหอคอย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายยังอยู่ในอารมณ์อยากดื่มเหล้า หอคอยไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง นายจะมีความสุขได้อย่างไรกับการปกป้องประตูทั้งที่นายอยู่ในระดับตำนาน”
  ตำนานขี้เมาตอบด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า” หลี่ เจ้าหอคอยจะไม่ยอมให้ฉันออกจากตำแหน่ง ฉันไม่สามารถปฏิเสธเขาได้ ฉันบอกเขาไปแล้วว่าฉันอยากไปช่วย แต่…”
  “มาเถอะ ไปตามหาเขากัน” เย่อู่ซิวตัดบท เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะได้ยินเรื่องไร้สาระของคนขี้เมา
  ทุกสิ่งที่ออกจากปากของเขาเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ของการรอฟังคืออะไร?
  ตำนานขี้เมาได้รับความเคารพจากคนทั่วไป แต่ความจริงก็คือเขาแค่ซุกตัวอยู่ที่นี่โดยอ้างว่าคอยเฝ้าประตู เขาจะไม่ยอมแพ้และยืนกราน ถ้าเขาอยากจะมีความภาคภูมิใจเล็กน้อยในตัวเขา
  ตำนานขี้เมาดูไม่ค่อยดีนัก เขาจ้องมองหลี่หยวนเฟิงและเย่อู่ซิวขณะที่พวกเขาก้าวเข้าสู่อาณาจักรลับด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
  ภายในอาณาจักรลับ
  หลี่หยวนเฟิงและเย่อู่ซิวบินไปรอบ ๆ ค้นหาเนินเขาที่ลอยอยู่ซึ่งเป็นที่ตั้งของกู่ซือผิง
  ในไม่ช้าพวกเขาก็พบเขาบนเนินเขาลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุด
  กู่ซือผิงดูซีดเซียว เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหินหน้ากระท่อมของเขา และมีอสูรอยู่บนพื้น ข้างเท้าของเขา อสูรมีบาดแผลลึกและยาวที่ด้านข้าง ท้องของอสูรถูกผ่าและขนสีขาวของมันเป็นสีแดงเปื้อนเลือด แผลหายดีแล้ว แต่แผลเป็นยังคงน่าตกใจ
  หลี่หยวนเฟิงและเย่อู่ซิวมองหน้ากัน พวกเขาโกรธน้อยลง ดูเหมือนว่ากู่ซือผิง ไม่ได้เพียงแค่นั่งเฉยๆ และชี้นิ้วสั่ง เขาได้ไปรบ
  “เจ้าหอคอย”
  “เจ้าหอคอย”
  ทั้งสองโค้งคำนับให้กู่ซือผิง
  กู่ซือผิงเงยหน้าขึ้นมองทั้งสอง “เลอหยานบอกฉันว่าพวกนายไม่พอใจฉัน และตัดสินใจเข้าข้างคนที่ชื่อซูผิง… ฉันล้มเหลวในงานของฉันจริงๆพอพิจารณาจากสถานการณ์ทั่วโลก…”
  ดูเหมือนเขาจะหงุดหงิด
  เย่อู่ซิวขมวดคิ้ว เขาก้มหัวลงและพูดว่า “เจ้าหอคอย เราไม่ได้หมายความอย่างนั้น เราแค่กำลังหาข้อมูลบางอย่าง”
  เขาไม่ได้พูดอะไรอีกเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ท้ายที่สุดทุกคนก็ตระหนักถึงสถานการณ์นี้ พวกเขาหยุดเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกู่ซือผิง
  “ทวีปบึงมังกรเพิ่งล่มสลาย เหลือเพียงสองทวีปจากเดิมห้าทวีป ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดเราควรช่วยหนึ่งทวีปให้ได้ ผมขอแนะนำให้เราส่งคนไปช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยจากทวีปสายฟ้าคำรามเพื่อที่พวกเขาจะได้ย้ายไปอยู่อีกทวีป เรายังคิดว่าแนวป้องกันทั้งสามควรรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!”เย่อู่ซิวนำเสนอความคิดของเขาด้วยน้ำเสียงที่ดังและมีพลัง
  เขาไม่สามารถเทียบได้กับเจ้าหอคอย แต่เขาไม่กลัวที่จะพูดถึงความมุ่งมั่นของเขา
  กู่ซือผิงมองเขา จากนั้นจ้องมองไปที่ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “ฉันได้ส่งคนไปยังทวีปสายฟ้าคำรามพร้อมกับอีแร้งของฉันแล้ว นอกจากนี้เรายังได้สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อช่วยผู้คนในการย้ายถิ่นฐาน แต่จำนวนคนที่สามารถไปได้…”
  เขาถอนหายใจและเริ่มหัวข้อใหม่ “จากสถานการณ์ปัจจุบัน ทวีปนี้ควรมีแนวป้องกันที่เป็นหนึ่งเดียว การจู่โจมของอสูรร้ายนั้นรุนแรงกว่าที่ฉันคิดไว้ ยังไงเราก็ไม่แพ้ เชื่อฉัน!”
  หลี่หยวนเฟิงและเย่อู่ซิวดูเหมือนจะตรวจพบความตื่นเต้นในท่าทีมั่นใจของเจ้าหอคอย
  อะไร…? ทั้งสองสับสน พวกเขาสงสัยว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาหรือเปล่า พวกเขารู้สึกว่าเจ้าหอคอยกำลังรอคอยบางสิ่งอยู่
  “คุณ… คุณไปจัดการกับอสูรป่าด้วยตัวเองมา? แผลของคุณเป็นยังไงบ้าง?”หลี่หยวนเฟิงถามคำถามที่ตรงไปตรงมา
  ความหงุดหงิดกลับมาที่ใบหน้าของกู่ซือผิง “ฉันไปช่วยทวีปบึงมังกร แต่… ฉันได้พบกับราชาอสูรสภาวะชะตากรรม ฉันไม่สามารถจัดการได้เร็วพอ ทำให้ราชาอสูรร้ายอีกหลายตัวได้รับการแจ้งเตือน ฉันทำได้เพียงกลับมาอย่างพ่ายแพ้ แต่ฉันได้จัดการไปบางส่วน ฉันฆ่าราชาอสูรร้ายสภาวะชะตากรรมได้!”
  สภาวะชะตากรรม…
  เย่อู่ซิวและหลี่หยวนเฟิงรู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาหนักขึ้นเมื่อได้ยินสามคำนี้
  “ผมดีใจที่คุณไม่เป็นอะไร” หลี่หยวนเฟิงถอนหายใจ เย่อู่ซิ่วพยักหน้า “ท่าน วิกฤตนี้ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก ผมคิดว่าเราควรร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายเดียว ผมได้ยินมาว่าซูผิงและหอคอยเคยทะเลาะกัน ผมไม่รู้รายละเอียด แต่เขาไม่ใช่คนเลว เมื่อพิจารณาจากการโต้ตอบของผมกับเขา เขาเป็นคนที่มีคุณค่ามาก ผมคิดว่าเราควรร่วมมือกับเขา!”
  กู่ซือผิงขดริมฝีปากของเขา แต่เขาไม่ได้ให้ทั้งสองเห็น เขาพยักหน้า “แน่นอน การกำจัดอสูรป่าคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ไม่มีอะไรเทียบได้กับความเกลียดชังทั่วไปที่เรามีต่ออสูรป่า ฉันไม่คิดที่จะเอาเรื่องของซูผิงมาเป็นประเด็นหรอก ทุกอย่างเกิดจากความเข้าใจผิด เขายังเด็กและหุนหันพลันแล่น และจบลงด้วยการฆ่านักรบอสูรในตำนานสองคนภายในหอคอย เขาอ้างว่าเขาจะไม่เข้าร่วมหอคอยหรือทำหน้าที่ของเขาในถ้ำลึก… “แต่เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ ฉันคิดว่าเขาสามารถไปถึงสภาวะชะตากรรมได้ ถ้าเราสามารถเอาชีวิตรอดจากวิกฤตินี้ได้ นั่นคือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจปล่อยเขาไป”
  หลี่หยวนเฟิงและเย่อู่ซิวมองหน้ากัน ซูผิงฆ่านักรบอสูรในตำนานสองคนในหอคอย? พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน พวกเขารู้แค่ว่าซูผิงและหอคอยมีปัญหากัน ว้าว ช่างกล้าอะไรอย่างนี้
  เขากล้าที่จะฆ่านักรบอสูรในตำนานสองคนที่นี่?
  พวกเขาคิดถึงราชาอสูรอสูรสภาวะว่างเปล่าจำนวนมากที่เขาขาย ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มขมขื่น นั่นไม่ใช่คนที่สามารถตัดสินด้วยมาตรฐานของเหตุและผล
  “ท่าน ผมดีใจที่คุณจะไม่คิดเอาความ พวกเราทุกคนกำลังพักอยู่ในเมืองฐานหลงเจียง บ้านเกิดของซูผิง ผมหวังว่าคุณสามารถไปที่นั่นด้วยตัวเองและนำนักรบอสูรในตำนานทั้งหมดเพื่อไปปกป้องแนวป้องกันสุดท้าย ร่วมกันรักษาความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ!”เย่อู่ซิวพูดกับกู่ซือผิง
  กู่ซือผิงพยักหน้า “ไม่มีปัญหา ฉันจะไปที่นั่น”
  “ท่าน ผมชื่นชมความมีศีลธรรมของท่าน!”
  เย่อู่ซิวมีความสุขหลังจากได้ยินคำตอบของกู่ซือผิง
  กู่ซือผิงโบกมือ “นายรับใช้ที่ถ้ำลึกโดยไม่ได้อะไรตอบแทน นายไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้กับฉัน นายมีส่วนช่วยเหลือมนุษยชาติมากกว่าฉัน”
  “คุณก็พูดเกินไป” เย่อู่ซิวตอบ
  กู่ซือผิงเริ่มไอ เขาวางมือบนหน้าอกและสูดหายใจลึกๆ หลายครั้งก่อนจะพูดว่า “กลับไปเถอะ ให้ฉันได้พักสักหน่อยแล้วฉันจะรวบรวมทุกคนเพื่อออกเดินทางไปยังเมืองฐานหลงเจียง”
ตอนที่ 696 จัดเตรียม
  ”แน่นอน.
  เย่อู่ซิวและหลี่หยวนเฟิงหันหลังกลับและจากไป
  พวกเขาต้องการรีบกลับไปที่เมืองฐานหลงเจียงเพื่อช่วยดูแลการป้องกัน
  กู่ซือผิงหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากที่พวกเขาจากไป เขาดึงหน้ายาวและเยาะเย้ย จากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปทำหน้าตาเฉยเมย
  เขายืนขึ้นและมองไปที่กระท่อม
  “ฉันคิดว่า… ยังไม่สายเกินไป…” เขาพึมพำกับตัวเอง
  เมืองฐานหลงเจียง
  วัตถุดิบที่ซูผิงขอได้ถูกส่งมาถึงเขาภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงนับจากที่เขาโทรหาฉินตู้หวง
  วัตถุดิบเหล่านี้ค่อนข้างมีค่า กองกำลังในชนชั้นสูงควบคุมวัตถุดิบเหล่านี้ พวกเขามักจะเก็บตัวและยังไม่ได้ยินว่าสามทวีปได้ล่มสลายแล้ว พวกเขาเพิ่งเริ่มได้ยินข่าวที่ทวีปเหนือถูกทำลายล้าง
  การสร้างแนวป้องกันสามแนวรวมถึงการปรากฏตัวของนักรบอสูรในตำนาน ทำให้กองกำลังเหล่านั้นตระหนักว่าการโจมตีครั้งล่าสุดนี้เป็นเรื่องธรรมดา
  ซูผิงขอวัตถุดิบเหล่านั้นอย่างเร่งด่วน การขอของเขาได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากกองกำลังเหล่านั้น
  ”หาต่อไป ผมต้องการมากกว่านี้… ยิ่งเยอะยิ่งดี!”
  ซูผิงบอกฉินตู้หวงและเซี่ยจินชุ่ยให้ติดต่อนักรบอสูรในตำนานคนอื่นๆ และค้นหาวัตถุดิบเพิ่มต่อไป
  วัตถุดิบที่เขามีเพียงพอที่จะสร้างค่ายกลวิญญาณเร่ร่อนได้สี่ค่ายกล ซึ่งสามารถดักจับราชาอสูรร้ายได้จำนวนจำกัด “ครับ!”
  ”ผมเข้าใจแล้ว” ฉินตู้หวงและเซี่ยจินชุ่ยรีบออกไปค้นหาต่อ ซูผิงคว้าวัตถุดิบและเรียกสุนัขมังกรดำให้พาเขาออกจากเมืองฐานหลงเจียง
  เขากำลังจะไปทางทิศตะวันออกก่อน ขณะคอยตรวจสอบว่าเขาพลาดราชาอสูรที่ซ่อนตัวอยู่หรือเปล่า เขาไปถึงฝั่งมหาสมุทรในเวลาไม่ถึง 15 นาที ไม่มีอะไรผิดปกติระหว่างทาง
  เบื้องหน้าเขาคือผิวน้ำระยิบระยับของมหาสมุทร ซูผิงสามารถบอกได้ว่ามีอสูรป่าบางตัวว่ายอยู่ในระยะไกล แต่พวกมันทั้งหมดอยู่ในระดับต่ำ
  เขามองไปรอบๆ เพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสม
  ต่อไปเขาเริ่มสร้างค่ายกล
  เขานำวัตถุดิบออกมาและวางเพื่อสร้างเลย์เอาต์พื้นฐาน
  เขาจะใส่พลังดวงดาวลงในแต่ละจุดแกนของค่ายกล ค่ายกลวิญญาณเร่ร่อนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวสามพันเมตรและกว้างห้าร้อยเมตร เมื่อพร้อมแล้ว มันจะดักจับสิ่งใดหรือใครก็ตามขณะที่กระตุ้นให้ไม่มีสติอยู่กับตัว เฉพาะผู้ที่มีความตั้งใจแน่วแน่เท่านั้นที่จะปลดปล่อยตัวเองได้
  ซูผิงสร้างเสร็จในอีกสิบนาทีต่อมา
  จุดแกนทั้งหมดถูกตรึงไว้กับพื้นอย่างแน่นหนา เขาบอกให้สุนัขมังกรดำเสริมความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลโดยเพิ่มชั้นหินรอบๆ มีเพียงราชาอสูรร้ายสภาวะว่างเปล่าขึ้นไปเท่านั้นที่จะแข็งแกร่งพอที่จะทำลายพวกมันได้
  ซูผิงพอใจกับงานของเขา เขาออกจากจุดนั้นทันที
  เขาอ้อมไปยังหุบเขาที่เขาสังเกตเห็นระหว่างทาง หากอสูรในมหาสมุทรบุกรุกจากแนวป้องกันที่มุ่งเป้าไปทางตะวันออกที่ใจกลางทวีป—หุบเขาจะเป็นทางเดียวที่อสูรป่าสามารถทำได้ พวกมันสามารถใช้น้ำเติมหุบเขาให้กลายเป็นแม่น้ำได้!
  มาดูกันว่าพวกแกชอบกับดักนี้ไหม
  ซูผิงกระโดดลงไปในหุบเขา จากนั้นเขาก็เริ่มสร้างค่ายกลในที่ราบที่เขาเลือกไว้
  ค่ายกลแต่ละค่ายกลมีผลเพียงระยะที่กำหนดเท่านั้น ขนาดของค่ายกลนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับขอบเขตของทั้งทวีป
  ซูผิงต้องสร้างค่ายกลให้ได้มากที่สุดเพื่อให้อสูรร้ายก้าวเข้าไปในกับดักทุกอันเมื่อมันมาถึง!
  นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายอสูรป่า
  ซูผิงจึงสร้างค่ายกลอื่นให้อยู่ห่างจากหุบเขา เนื่องจากเขามีวัตถุดิบเหลืออยู่เพียงส่วนเดียว เขาโทรหาฉินตู้หวงระหว่างทางกลับเพื่อยืนยันว่าได้วัตถุดิบเพิ่มเติมหรือไม่
  คำตอบคือใช่
  รวบรวมวัตถุดิบพิเศษได้เจ็ดส่วนแล้ว!
  ซูผิงมีความสุขกับคำตอบนี้ จากนั้นเขาก็บอกฉินตู้หวงให้หาวัตถุดิบเพิ่มเติมต่อไป ซูผิงยังขอให้ฉินตู้หวงบอกนักรบอสูรในตำนานของแนวป้องกันทั้งสามให้ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะ ไม่ว่าใครก็ตามที่เก็บซ่อนวัตถุดิบดังกล่าวจะถือเป็นการก่ออาชญากรรม!
  ถูกต้อง! เขาเข้าใจดีว่าบางครั้งผู้คนก็เห็นแก่ตัว นี่เป็นเรื่องของความเป็นและความตายสำหรับมวลมนุษยชาติ ถ้ายังโง่ที่จะซ่อนวัตถุดิบเหล่านั้นในเวลานี้ก็สมควรตาย!
  ฉินตู้หวงไม่ได้คัดค้าน
  เขาไม่รู้ว่าซูผิงเอาวัตถุดิบไปทำอะไร และเขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ เขาเพียงทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น
  ซูผิงเลือกตำแหน่งอื่นที่อสูรป่าอาจจะมองว่าเป็นเส้นทางที่สะดวก นั่นจะเป็นสถานที่สร้างค่ายกลอื่นด้วยวัตถุดิบที่มีอยู่ เขาสร้างสี่ค่ายกลทางด้านตะวันออก
  นั้น…ยังไม่พอ
  เมื่อเทียบกับด้านตะวันออกอันกว้างใหญ่ สี่ค่ายกลนั้นเปรียบเสมือนก้อนกรวดสี่ก้อนที่ทุกคนมองข้าม คงจะดีถ้าเขามีวัตถุดิบเพียงพอที่จะสร้างค่ายกลนี่หลายร้อยหรือหลายพันค่ายกล ด้วยวิธีนี้ฝั่งตะวันออกทั้งหมดจะกลายเป็นกับดัก และอสูรป่าจะโกรธมากจนต้องสาปแช่งเขา!
  ไม่นานหลังจากนั้น ซูผิงก็มาถึงหลงเจียง วัตถุดิบหลายชิ้นถูกส่งมาที่ร้านของเขาแล้ว ถังยู่หรานรับแทนเขา และเขาก็จากไปทันทีหลังจากได้วัตถุดิบใหม่ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันตก
  เขาสร้างห้าค่ายกลทางฝั่งตะวันตก และเก็บวัตถุดิบสองส่วนไว้ใช้ภายหลัง
  โบนัสเพิ่มเติมคือเขาได้พบกลุ่มอสูรร้ายที่ซ่อนตัวอย่างดีทางฝั่งตะวันตก มีราชาอสูรร้ายสภาวะว่างเปล่าแปดตัว สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรมากกว่า 20 ตัว และอสูรร้ายชนิดต่างๆ กว่าแสนตัว นั่นเป็นพลังที่น่ากลัว ถ้าเป็นเมื่อก่อนแค่กองทัพของอสูรป่าก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งทวีปตื่นตระหนก
  อย่างไรก็ตามกองทัพของอสูรป่านี้อยู่ในระดับปานกลางตามมาตรฐานปัจจุบัน
  การจัดการกลุ่มอสูรป่านั้นได้ไม่ได้ทำให้ซูผิงพอใจ จิตใจของเขากลับรู้สึกเป็นภาระมากขึ้น
  ในระหว่างนี้นักรบอสูรในตำนานของแนวป้องกันทั้งสามกำลังประชุมทางวิดีโอกันอยู่
  ที่แนวป้องกันซิงจิงนอกเหนือจากนักรบอสูรในตำนานที่อยู่ที่นี่แล้ว เสวี่ยอวิ๋นเจินและชายหัวล้านก็เข้าร่วมด้วย
  เธอเข้าควบคุมสถานการณ์ทันทีที่เธอมาถึง
  ท้ายที่สุดแล้วพลังต่อสู้เป็นตัวแทนของคำพูดในทุกเรื่อง จำนวนนักรบอสูรในตำนานบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินมีน้อย ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่อยู่ในสภาวะว่างเปล่า เสวี่ยอวิ๋นเจินไม่เพียงอยู่ในสภาวะว่างเปล่า เธอมีประสบการณ์มากมาย เธอเก่งกว่านักรบอสูรในตำนานสิบสองคนจากหอคอยรวมกัน และเธอก็ได้รับชื่อเสียงจากการรับใช้ในถ้ำลึก
  เธอเป็นตัวแทนของแนวป้องกันซิงจิงในการประชุมทางวิดีโอ
  เซียงเฟิงหรั่นเป็นตัวแทนของแนวป้องกินเซิงหลง ชายผู้ที่เคยผู้บังคับบัญชาที่นี่คือหยวนเทียนเฉินซึ่งอยู่ที่สภาวะว่างเปล่าระยะกลาง ถึงกระนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงจากตำแหน่งเนื่องจากเซียงเฟิงหรั่นอยู่ในระยะสุดท้าย และรับใช้ในถ้ำลึกเป็นเวลาหลายร้อยปี
  จิ่งเสิ่นเป็นผู้นำทีมและไปที่แนวป้องกันอื่นที่เขารับผิดชอบ ดังนั้นการประชุมทางวิดีโอจึงเป็น:เสวี่ยอวิ๋นเจิน,เซียงเฟิงหรั่น และจิ่งเสิ่น
  พวกเขากำหนดความรับผิดชอบของตัวเองอย่างรวดเร็ว
  โครงการป้องกันเริ่มทันทีหลังจากการประชุมเสร็จ นักรบอสูรในตำนานบางคนไปช่วยประชาชนทั่วไปในการย้ายถิ่นฐาน คนอื่นไประดมกำลังเพื่อจัดหาเงินหรือกำลังคนในการก่อสร้าง งานสำหรับประชาชนทั่วไปคือมุ่งเน้นไปที่การย้ายถิ่นฐาน และหลีกเลี่ยงปัญหา
  ด้วยการมีเสวี่ยอวิ๋นเจินและเพื่อน ๆ ของเธอเพิ่มเข้ามา จำนวนนักรบอสูรในตำนานที่แนวป้องกันทั้งสามนั้นจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!
  ปัญหาหลายอย่างได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มีระดับต่ำกว่าและประชาชนทั่วไปได้รับโอกาสที่จะได้เห็นความหมายของระดับตำนาน
  ไม่มีใครกล้าปฏิเสธนักรบอสูรในตำนาน งานดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นระเบียบเรียบร้อย
  ซูผิงกลับมาจากทางใต้ จากนั้นเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากฉินตู้หวงซึ่งบอกเขาว่าพวกเขาได้ตัดสินใจว่าจะสร้างแนวป้องกันเสริมขึ้นที่ไหน
  ซูผิงขอรายละเอียด
  ฉินตู้หวงบอกเขาเกี่ยวกับสถานที่และอาณาเขต ซูผิงสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลก… โครงการป้องกันจะครอบคลุมเมืองฐานที่เป็นส่วนหนึ่งของกักสวรรค์ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ
  “ใครเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้?” ซูผิงถาม
  ฉินตู้หวงเข้าใจทันทีว่าซูผิงสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ “คุณเสวี่ย คุณเซียงและนักรบอสูรในตำนานอื่น ๆ ตกลงร่วมกัน”
  ซูผิงกำลังจะขอข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่ขอ
  ลำดับความสำคัญในปัจจุบันคือการป้องกันอสูรป่า ไม่มีอะไรจะสำคัญหากพวกเขาไม่สามารถป้องกันอสูรป่าได้
  บางคนรู้เกี่ยวกับกักสวรรค์และเจ้าหอคอยก็ต้องรู้เช่นกัน ฉันสงสัยว่าเขาคิดยังไงกับค่ายกลนั้น… ซูผิงส่ายหัว
  ซูผิงรีบไปทางเหนือหลังจากเก็บวัตถุดิบเพิ่ม
  การวางแผนการก่อสร้างเริ่มต้นทันทีหลังจากตัดสินใจแล้ว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเข้ามามีส่วนร่วม
  ผู้เชี่ยวชาญได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลงานด้านเทคนิค นักรบอสูรในตำนานนั้นทรงพลัง แต่พวกเขาไม่ได้มีความรู้ในทุกด้าน
  ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกเรียกทั้งหมดมารวมตัวกันที่ห้องประชุม
  พวกเขาทั้งหมดมีประสบการณ์ในทางปฏิบัติอย่างล้นหลาม บางคนมีความสุขกับชัวิตวัยเกษียณแล้ว พวกเขารับสาย บอกลาภรรยาและลูกๆ ของพวกเขา และรีบมาที่ห้องประชุมที่อยู่ตรงข้ามแนวป้องกัน
  หลังจากการอภิปรายอย่างดุเดือดซึ่งกินเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แบบก่อสร้างขั้นสุดท้ายก็ได้รับการอนุมัติ
  ขั้นตอนต่อไปคือการก่อสร้าง
  ภาพวาดถูกแจกจ่ายให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นักรบอสูรในตำนานนำกลุ่ม พวกเขาช่วยระดมทรัพยากรเพื่ออำนวยความสะดวกในการก่อสร้าง
  นักรบอสูรก็มีส่วนร่วมในการก่อสร้างเช่นกัน อสูรของพวกเขาบางตัวไม่มีพลังต่อสู้แต่พวกมันมีความสามารถพิเศษอื่นๆ ตัวอย่างเช่น มีอสูรที่สามารถผลิตแป้นเกลียวและสลักเกลียวได้ตามธรรมชาติ ในขณะที่อสูรอื่นๆ สามารถเป็นรถขุดได้
  มีอสูรอยู่ในทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตในแต่ละวันของมนุษยชาติ นอกจากอสูรที่ใช้ในทางปฏิบัติแล้ว ยังมีอสูรอื่นๆ ที่เลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แน่นอน เมื่อเปรียบเทียบอสูรแล้ว อสูรทั้งสองประเภทนี้มีราคาและความนิยมน้อยกว่ามาก
  เมืองฐานบางแห่งได้รับคำแนะนำให้ย้ายที่อยู่ในขณะที่มีการก่อสร้างการป้องกัน
  มีกลุ่มคนที่เพิ่งย้ายมาไม่นาน แต่แล้วพวกเขาก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายที่อยู่ใหม่ก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสตั้งหลักแหล่ง บางคนที่ผ่านมาเผชิญอยู่กับความยุ่งยากและไม่เคยย้ายมาก่อนก็ดีใจจริงๆ ที่เห็นว่าในที่สุดก็ถึงเวลาต้องย้ายไปหาอะไรที่ดีกว่า ในทางกลับกันบางคนอารมณ์เสียเพราะเพิ่งตั้งหลักได้ พวกเขาซื้อสินทรัพย์ถาวรและลงทุนในธุรกิจบางอย่าง หลายคนกังวล พวกเขารู้สึกว่าสถานการณ์ของพวกเขาไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร
  แม้ว่าจะมีการอพยพครั้งใหญ่ที่นำโดยนักรบอสูรในตำนาน ผู้คนไม่เต็มใจที่จะเคลื่อนย้าย และบางคนถึงกับประท้วง แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้ เนื่องจากแรงกดดันจากนักรบอสูรในตำนาน
  คนในท้องถิ่นบางคนรู้ว่าการย้ายถิ่นฐานจะทำให้พวกเขาเสียค่าใช้จ่ายสูง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเช่นกัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสูญเสียมากกว่าทรัพยากร! พวกเขาจะสูญเสียชีวิต!
  ทวีปบึงมังกร ในเมืองฐานระดับ A มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้คนรุมไปที่ประตูมิติ เส้นทางถูกตัดขาดและอสูรป่าโจมตีพวกเขา เมืองฐานไม่มีผู้คนพลุกพล่านอีกต่อไป อสูรร้ายเข้ามาแทนที่
  อาคารทั้งหมดถูกทิ้งไว้ในซากปรักหักพัง ซากศพมนุษย์บางส่วนยังคงห้อยลงมาจากที่ต่างๆ
  “ดังนั้น เราจะกอบกู้ทวีปนี้จนถึงที่สุด…” อสูรพันตาเยาะเย้ยและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “คนที่ทรงพลังที่สุดของพวกอ่อนแอเหล่านั้นรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ประหยัดเวลาได้เยอะเลย อาหารที่ดีที่สุดสำหรับครั้งสุดท้าย ฉันชอบ”
  “นายท่านของเรามีวาระที่ใหญ่กว่า อาหารเป็นเพียงส่วนหนึ่ง” คางคกตัวหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยจุดรกๆ กล่าว “แกไม่เคยได้ยินจากเพื่อนที่ชื่อว่าราชาสวรรค์ดีชั่วหรอ? มีค่ายกลอยู่ในที่นั้นซึ่งปิดผนึกพลังดวงดาวและอาณาเขตของโลก นายท่านของเราไม่ต้องการให้เกิดปัญหาใหม่โดยไม่คาดคิดและเผลอไปทำลายค่ายกลก่อนเวลาที่เหมาะสม” อสูรพันตาหันไปมองคางคก “ฟังนะ ไม่มีขีดจำกัดในจักรวาล โลกนี้เป็นเพียงลูกบอล แกไม่เคยได้ยินหรอว่ามีสิ่งที่อ่อนแออื่น ๆ เหนือท้องฟ้าอีก? พวกมันบอกว่าพวกมันเหนือกว่าสิ่งที่อ่อนแอที่นี่มาก”
  “อืม ฉันไม่สนหรอกว่าโลกนี้จะเป็นลูกบอลหรืออะไรทำนองนั้น ฉันแค่คิดว่านี่จะเป็นอาณาเขตของเราในอนาคต สิ่งเหล่านั้นจากเบื้องบนได้หายไปแล้ว ราชาสวรรค์ต่างโลกกล่าวว่าพวกมันไม่ได้มาบ่อยๆ เราสามารถทำให้พวกมันอยู่ได้… เราจะรับข้อมูลเกี่ยวกับโลกภายนอกได้จากพวกมัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว