ตอนที่ 17 การไม่รู้อะไรจะเป็นสุขเสียกว่า
ระหว่างที่หวังจินหยางพูดคุย ทุกคนก็มาถึงร้านเครื่องดื่มแล้ว
อู๋จื้อหาวไปสั่งของที่เคาน์เตอร์บาร์ ไม่มีคนแย่งจ่ายแต่อย่างใด ยังไงโรงเรียนก็ออกให้อยู่แล้ว
คนอื่นๆ ไปหาที่นั่งจุดที่คนไม่พลุกพล่าน ฟังหวังจินหยางพูดคุยต่อ
“เรื่องผู้ฝึกยุทธ์นี้ ยังไกลตัวจากพวกนายมาก ยามนี้พูดมากก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้”
“การสอบศิลปะการต่อสู้ เรียกได้ว่าต้องฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพล[1]แท้จริงแล้วไม่มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้น ในห้าด่าน ด่านตรวจสอบประวัติคงไม่ต้องพูดถึง วิชาเฉพาะและวัฒนธรรม คงต้องอาศัยความตั้งใจของพวกนาย จุดสำคัญนั้นอยู่ที่ด่านตรวจสอบร่างกายและภาคปฏิบัติ!”
อู๋จื้อหาวที่เพิ่งกลับมานั่ง ได้ฟังก็เอ่ยทันที “พี่หวังพูดไม่ผิด สองด่านนี้มีอัตราการถูกคัดออกสูงที่สุดของทุกปี”
หวังจินหยางเอ่ยทั้งหัวเราะ “พวกนายมีค่าปราณหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นกันทั้งนั้น เกณฑ์การตรวจร่างกายคงไม่ใช่เรื่องยาก จะยากก็ตรงเกณฑ์การเข้ารับ ที่จริงค่าปราณของพวกนายไม่ได้ห่างจากเกณฑ์นัก ก่อนสอบก็เตรียมยาบำรุงดีๆ สักเม็ด อย่างเช่นยาบำรุงปราณ ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมคนมากมาย แน่นอนว่าหากไม่มีของพวกนี้ ฉันก็พอจะมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ให้กับพวกนาย…”
สำหรับหวังจินหยางเป็นเคล็ดลับเล็กน้อย แต่กับพวกอู๋จื้อหาวแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงคนหนึ่งมาบอกเคล็ดลับ นั่นนับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเขา
พวกเขาเผยสีหน้าตื่นเต้น ทั้งไม่กล้าพูดอะไร ต่างก็พากันทำหูตั้งขึ้นมา
“การปะทุของปราณ ไม่เพียงเป็นเรื่องของปราณเท่านั้น ยังมีสภาวะเข้ามาเกี่ยวข้อง สภาวะร่างกาย สภาวะจิตใจ และสภาวะอารมณ์ ก่อนการตรวจร่างกาย อบอุ่นร่างกายเสียหน่อยก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องออกแรงจนเกินตัว รักษาสภาวะจิตใจให้พอดี อย่าคิดฝึกฝนหนักวันสุดท้ายเพียงวันเดียว ด้านอารมณ์ก็ต้องเรียนรู้ที่จะระเบิดอารมณ์ การปะทุอารมณ์ให้ถึงจุดสูงสุดเป็นเรื่องยากยิ่ง ดีใจโกรธเศร้ามีความสุข ความรู้สึกพวกนี้ต้องแตะถึงจุดสูงสุด จะทำให้ค่าปราณของพวกนายปะทุขึ้นมา ผลการตรวจค่าปราณก็จะสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย แต่พวกนายยังไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิตเท่าไร อยากจะระเบิดอารมณ์พวกนี้ให้ถึงจุดสูงสุด นับว่าเป็นเรื่องยาก!”
“ระเบิดอารมณ์?”
เมื่อเห็นทุกคนจมดิ่งในความคิด หวังจินหยางพลันหัวเราะขึ้นมา “ที่จริงฉันพอจะมีวิธีช่วยพวกนายระเบิดอารมณ์ให้ถึงจุดสูงสุด!”
พวกเขาเผยสีหน้าดีใจ ฟางผิงกลับมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย ที่จริงเรื่องนี้เขาไม่สนใจเท่าใด อย่างไรเขาก็สามารถเพิ่มค่าปราณได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว
ยามที่หวังจินหยางพูดเรื่องนี้ มีท่าทีไม่ต่างจากตอนที่พูดเยาะเย้ยหลี่หยวนเจียงก่อนหน้านี้ ฟางผิงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดี
เป็นดังคาด หวังจินหยางยิ้มตาหยี “อารมณ์บางอย่างนั้นรวบรวมยาก แต่อารมณ์โกรธกลับเป็นเรื่องง่าย อย่างยามนี้ ฉันเหยียบหน้าพวกนาย ถ่มน้ำลายใส่สักหน่อย รอยามที่พวกนายตรวจร่างกาย นึกถึงฉากที่โดนดูถูกเหยียดหยาม…”
“แค่กๆๆ!”
พวกอู๋จื้อหาวแทบจะสำลักตาย รุ่นพี่ผู้เป็นตำนานคนนี้ เหตุใดจึงทำตัวไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้?
“ฮ่าๆๆ”
หวังจินหยางหัวเราะร่า ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ย “แม้ว่าฉันจะพูดเล่น แต่พวกนายจะลองดูก็ได้นะ ดีใจ สุข เศร้า อารมณ์พวกนี้ทำให้แตะจุดสูงสุดยาก แต่โกรธกลับง่ายที่สุด ภายใต้ความโกรธ ค่าปราณจะพุ่งสูงขึ้นมาหนึ่งสองแคลก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
คำพูดนี้ พวกอู๋จื้อหาวยังจำไว้ในใจจริงๆ
หากสามารถเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสองแคล บางที…ถูกเหยียบหน้าก็ไม่เสียหายอะไร?
เห็นพวกเขามีท่าทีคล้อยตาม ฟางผิงก็ขนลุกขนพอง เจ้าพวกนี้คงจะไม่หาเรื่องใส่ตัวเองจริงๆ หรอกนะ?
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ความเป็นไปได้มีถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์!
เพื่อการสอบศิลปะการต่อสู้ ได้รับการเหยียดหยามสักหน่อยจะเป็นไรไป
หวังจินหยางไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะลองหรือไม่ เอ่ยต่อ “ผ่านด่านตรวจร่างกาย ภาคปฏิบัติก็ไม่ยากแล้ว จะยากก็แต่การสอบระเบิดพลัง ความอดทน และด้านความยืดหยุ่นของร่างกาย เรื่องพวกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับปราณ ปราณยิ่งสูงเท่าใดก็จะมีโอกาสผ่านสูงเท่านั้น แน่นอนว่า พวกไร้ประโยชน์ที่ตั้งแต่เด็กก็ป่วยออดๆ แอดๆ มีเพียงปราณสูง อย่างอื่นทำไม่ได้ คนประเภทนี้ก็สมควรถูกคัดออกแล้ว ยื่นไก่มาเบื้องหน้าหนึ่งตัว นายกลับฆ่าให้ตายไม่ได้ ยังคิดจะฆ่าคนอยู่เหรอ? ฆ่าคนนั้นยากยิ่งกว่าฆ่าไก่อยู่มากโข…”
“ฆ่าคน?”
แววตาของฟางผิงชะงักไปเล็กน้อย ยามที่หวังจินหยางพูดว่าฆ่าคน กลับเผยความเรียบนิ่ง พูดราวกับเคยฆ่าคนจริงๆ ซะอย่างนั้น
แต่ยุคสมัยนี้ แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็ถูกผูกมัดด้วยกฎหมายเหมือนกัน คงไม่มีโอกาสฆ่าคนหรอกมั้ง?
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่ง…
ราวกับตระหนักได้ถึงสายตาของฟางผิง หวังจินหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเรียบเย็น “บางเรื่อง เมื่อถึงเวลาแล้วพวกนายก็จะรู้เอง แน่นอนว่า อันดับแรกต้องเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ให้ได้ก่อน ทุกคนล้วนอยากเดินในเส้นทางนี้ ต่างใฝ่ฝันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่คนธรรมดา จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงคืออะไร? หลายปีมานี้ มีหลายคนไม่พอใจ เหตุใดต้องให้อภิสิทธิ์กับผู้ฝึกยุทธ์? ผู้ฝึกยุทธ์เปิดบริษัท จ่ายภาษีน้อย ถึงกระทั่งไม่ต้องจ่ายด้วยซ้ำไป ผู้ฝึกยุทธ์มีอำนาจมากมาย อำนาจที่กระทั่งทำให้คนนับไม่ถ้วนพากันอิจฉาตาร้อน แต่นั่นแล้วอย่างไร! บนโลกใบนี้ ต้องจ่ายออกไปถึงได้รับผลตอบแทนคืนมา ของบางอย่างไม่อาจได้มาอย่างไร้เหตุผล พวกเขารู้สึกไม่พอใจ ไม่ยุติธรรม หารู้ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ก็รู้สึกไม่ยุติธรรมเช่นกัน!”
ขณะที่หวังจินหยางพูด จู่ๆ ก็หยุดลง ก่อนจะเผยรอยยิ้มก่อนหน้านี้ขึ้นมาใหม่ “พูดมากเกินไปแล้ว กลับมาเมืองหยางเฉิงครั้งนี้ เหมือนว่าจะรู้สึกอ่อนไหวกับอะไรไปเสียหมด”
พวกอู๋จื้อหาวไม่ได้ใส่ใจนัก ในสายตาของพวกเขาคิดว่า ผู้ฝึกยุทธ์มีอภิสิทธิ์เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
แต่ฟางผิงกลับสนใจ ก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยอยู่บ้าง
แม้ผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งคนจะเทียบได้กับคนธรรมดาร้อยคน แต่คนธรรมดากลับมีมากมาย ไม่เห็นจำเป็นต้องอยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขนาดนั้น?
ในยุคสมัยที่มีความรุ่งเรืองทางอาวุธ คนธรรมดาหนึ่งคนอาจสู้ไม่ได้ แต่คนธรรมดาเป็นร้อยเป็นพันคนถือปืน ปรมาจารย์จะสามารถหลบได้อย่างนั้นหรือ?
ยามนี้ได้ยินหวังจินหยางพูด คล้ายว่าจะมีความนัยอย่างอื่นอีก
น่าเสียดายที่หวังจินหยางไม่อยากพูดมาก ฟางผิงก็ไม่อาจเค้นถาม เรื่องพวกนี้ดูท่าจะทำได้เพียงรอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ถึงจะรู้เอง
ขณะที่ทุกคนคุยกัน โทรศัพท์มือถือของหวังจินหยางก็ดังขึ้นมา
เมื่อรับสายแล้ว เขาก็ไม่คิดหลบหลีกทุกคน ตอบกลับง่ายๆ ไม่กี่ประโยค ท้ายที่สุดค่อยเอ่ยว่า “ตอนบ่ายจะไปโรงเรียนสักหน่อย ตอนเย็นฉันจะเข้าไปหาอีกที”
พูดจบแล้ว เขาก็วางสาย ไม่คิดอธิบายให้ทุกคนฟังแต่อย่างใด
พวกเขาก็ไม่สนใจมากนัก พูดคุยกันพักใหญ่ ก่อนทุกคนจะออกจากร้านเครื่องดื่ม
เดิมทีโรงเรียนให้พวกเขาพาหวังจินหยางไปกินข้าวกลางวัน
แต่หวังจินหยางก็เป็นคนหยางเฉิง มีบ้านอยู่ในหยางเฉิงเช่นกัน ออกจากร้านเครื่องดื่มแล้วก็ตัดสินใจจะกลับบ้านก่อน

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน