ตอนที่ 292 ตรวจพลังจิตใจ (2)
ฉันรู้ตั้งนานแล้วว่าพลังจิตใจของตัวเองแข็งแกร่งขนาดไหน หลู่เฟิ่งโหรวบอกว่ามีของดี ตอนแรกเขายังตื่นเต้นอยู่บ้าง คิดว่าคงจะได้ผลประโยชน์กลับไปบ้าง ตอนนี้มาเสียเที่ยวซะแล้ว
ฟางผิงไม่สนใจ คนอื่นๆ กลับกระตือรือร้นกันไม่น้อย
หลิวเมิ่งเหยารีบเอ่ยว่า “อาจารย์ พวกเราใช้ได้หรือเปล่า?”
“แน่นอน เรียกพวกเธอมาก็เพราะจะให้พวกเธอใช้ยังไงล่ะ”
ระหว่างที่หลู่เฟิ่งโหรวพูดยังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ต้องระมัดระวังหน่อย จะทำพังไม่ได้ ตอนนี้ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยมีแค่ที่ฉันเครื่องเดียว อู๋ขุยซานยื่นเรื่องขอกับสถาบันวิจัย ผลปรากฏว่าขอไปหลายเดือนยังไม่มีการเลย เขายังคิดจะเอาของฉันไปใช้ ฝันไปเถอะ!”
พูดถึงอู๋ขุยซาน หลู่เฟิ่งโหรวเผยความเคียดแค้นอย่างเต็มเปี่ยม สรุปแล้วอู๋ขุยซานไม่มีความสุข เธอถึงจะดีใจไม่น้อย
เธอได้สิ่งนี้มา ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องพ่อของเธออยู่บ้าง ไม่งั้นคงไม่ได้มาหรอก
ฟางผิงไม่สนใจสิ่งนี้ แต่ยังอยากรู้ว่าพลังจิตใจของหลู่เฟิ่งโหรวมากน้อยเท่าไหร่
“อาจารย์ พลังจิตใจของคุณเท่าไหร่เหรอครับ?”
“แปดร้อยยี่สิบห้าเฮิรตซ์”
วันนี้หลู่เฟิ่งโหรวยิ้มไม่หยุด เอ่ยต่อว่า “ถ้าช่วงนี้ฉันไปห้องคุมอานุภาพตลอด บางทีใช้เวลาไม่นานอาจจะแตะถึงเก้าร้อยเฮิรตซ์ได้แล้ว!”
“เมื่อพลังจิตใจถึงหนึ่งพันเฮิรตซ์ก็จะเปลี่ยนเป็นจับต้องได้ เวลานั้นจากไร้รูปร่างจะเปลี่ยนเป็นมีรูปร่างจริงๆ แล้ว”
หลู่เฟิ่งโหรวอธิบายเพิ่ม
ฟางผิงแววตาวูบไหวเล็กน้อย “หนึ่งพันเฮิรตซ์ พลังจิตใจจะจับต้องได้?”
“ใช่”
หลู่เฟิ่งโหรวรู้ว่าพลังจิตใจเขาไม่อ่อนด้อย อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “พลังจิตใจจับต้องได้เป็นเกณฑ์อย่างหนึ่งในการเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ อยากกลายเป็นปรมาจารย์ต้องทำเงื่อนไขพวกนี้ให้สำเร็จ ข้อแรกต้องปิดผนึกประตูซานเจียว พูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อย จะเป็นร่างกายที่ไร้รอยรั่ว จิงชี่เฉินไม่กระจัดกระจายอีก ข้อสองพลังจิตใจเปลี่ยนเป็นจับต้องได้ ข้อสามจิงชี่เฉินรวมเป็นหนึ่ง อันที่จริงก็คือพลังจิตใจและปราณรวมเป็นหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างว่าหลอมรวมกัน แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันได้แล้ว”
“สรุปแล้วพอถึงขั้นนั้นเธอก็จะรู้เอง เวลานั้นปราณเธอจะเพิ่มพลังจิตใจให้แข็งแกร่งได้ พลังจิตใจก็จะสามารถเพิ่มอานุภาพของปราณได้เช่นกัน ทักษะต่อสู้ของปรมาจารย์ยอดฝีมือล้วนเป็นทักษะที่จิงเฉินชี่รวมเป็นหนึ่ง ไม่เหมือนพวกเรา พลังจิตใจคือพลังจิตใจ ปราณคือปราณ แยกกันอยู่เดี่ยวๆ ตอนนี้ฉันปิดผนึกประตูซานเจียวแล้ว พลังจิตใจเป็นรูปธรรมยังขาดอยู่เล็กน้อย รอพลังจิตใจจับต้องได้ ฉันจะลองฝืนรวมจิงชี่เฉินเป็นหนึ่ง…”
“ฝืน?”
ฟางผิงจับจุดสำคัญ รอยยิ้มของหลู่เฟิ่งโหรวหายไปเล็กน้อย เอ่ยเรียบนิ่งว่า “อันที่จริงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดต่างกำลังลองรวมจิงชี่เฉินเป็นหนึ่งในระหว่างที่พลังจิตใจยังจับต้องไม่ได้ แต่ฉันทำไม่สำเร็จมาตลอด ดังนั้นจึงทำได้แค่ฝืนให้สำเร็จขั้นตอนนี้ การเพิ่มพลังจิตใจยากกว่าการเพิ่มปราณ อันดับแรกต้องทำให้ถึงขั้นรวมจิงชี่เฉินเป็นหนึ่ง นั่นจะทำให้ปราณตอบสนองกับพลังจิตใจ ความเร็วจะมากกว่าฉันในตอนนี้”
หลู่เฟิ่งโหรวนั้นฝึกวิชาเพิ่มพลังจิตใจเพียงอย่างเดียว
แต่คนอื่นปราณและพลังจิตใจรวมเป็นหนึ่ง สามารถใช้ปราณที่แข็งแกร่งตอบสนองกับพลังจิตใจ ทำให้พลังจิตใจเพิ่มขึ้นมาได้
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ตอนแรกเธอและอู๋ขุยซานไม่ได้ห่างชั้นกันมาก แต่ภายหลังอู๋ขุยซานเข้าสู่ขั้นแปด เธอยังคงรั้งอยู่ขั้นหก
ฟางผิงฟังจบก็ละล่ำละลักว่า “งั้นทำไมผมไม่เห็นสัมผัสได้?”
เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้จางติ้งหนานบอกว่าจิงชี่เฉินของเขาเยี่ยมยอด
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เธอ? เธอยังเร็วไป ประตูซานเจียวยังไม่ได้ปิดผนึก ทำไม่ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ตอนนี้เป็นแค่ความหมายตามตัวหนังสือ บอกว่าจิงชี่เฉินของเธอแตะถึงจุดสูงสุดระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้าเธอทำแบบนี้ได้ตลอด รอถึงขั้นหกสูงสุดจะผสานรวมกันได้อย่างราบรื่นเอง อย่างน้อยก็ราบรื่นกว่าฉันเยอะ แน่นอนว่าอยากจะไร้คู่ต่อสู้ไปตลอด ความเชื่อมั่นตัวเองต้องสูงอย่างมาก ไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น”
ฟางผิงยิ้มออกมาทันที “งั้นผมไม่มีปัญหาแน่”
หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะ ไม่พูดมากอีก ยังไงคนอื่นๆ ก็ยังห่างไกลจากขั้นปรมาจารย์อยู่มาก
“ยืนบื้ออะไรกัน มาลองสิ ใครจะลองเป็นคนแรก?”
“ผม!”
เหลียงหวาเป่าตะโกนออกมาเป็นคนแรก หลู่เฟิ่งโหรวไม่ลังเลเช่นกัน สวมหมวกกันน็อกไว้บนหัวเขาทันที “รวบรวมสมาธิ ในสมองให้จำลองทักษะต่อสู้ที่เธอชำนาญที่สุด นึกถึงอานุภาพชั่ววินาทีที่เธอปล่อยกระบวนท่าชั้นยอดออกมา!”
เหลียงหวาเป่าใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เริ่มหลับตานึกถึงอานุภาพของการระเบิดกระบวนท่า
ฟางผิงเห็นเขาทำราวกับตัวเองท้องผูก ตะบี้ตะบันนึกก็อยากขำอยู่บ้าง
จอภาพที่แสดงบนหมวกกันน็อกกำลังเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน แถวตัวเลขด้านบนไม่คงที่ ตอนนี้กำลังเปลี่ยนไปมา
หลู่เฟิ่งโหรวมองพักหนึ่งก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย
ไม่นานเหลียงหวาเป่าก็ลืมตา ถอนหายใจว่า “อาจารย์ ได้แล้วใช่ไหมครับ?”
“อืม”
หลู่เฟิ่งโหรวมองหมวกกันน็อกแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “สองร้อยแปดสิบห้าเฮิรตซ์”
เหลียงหวาเป่าเอ่ยอย่างสงสัย “สูงหรือต่ำ? เกณฑ์ของปรมาจารย์คือหนึ่งพันเฮิรตซ์ ผมเพิ่งจะขั้นสาม น่าจะสูงแล้วสินะครับ?”
จู่ๆ หลู่เฟิ่งโหรวก็เข้าใจขึ้นมาบ้างว่าทำไมสถาบันวิจัยถึงไม่อยากผลักดันเรื่องนี้เท่าไหร่
ข้อแรกมูลค่าสูงเกินไป แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ตอนที่เครื่องวัดปราณเพิ่งทำออกมา มูลค่าก็สูงเช่นกัน ภายหลังเทคโนโลยีเจริญแล้วราคาจึงค่อยๆ ลดลง
ข้อสองกลัวว่าจะทำให้คนสิ้นหวัง
ตอนนี้ยังไม่มีวิธีที่ฝึกพลังจิตใจแบบเดี่ยวๆ รวมถึงปรมาจารย์ด้วย อันที่จริงสิ่งที่ฝึกก็คือปราณ จากนั้นจึงใช้ปราณตอบสนองกับพลังจิตใจ
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ปราณและพลังจิตใจไม่ผสมผสานกันจะทำถึงจุดนี้ไม่ได้
นี่ก็หมายความว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังไม่เข้าสู่ขั้นหกสูงสุด ทำได้เพียงอาศัยการทะลวงขั้นสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายและเพิ่มพูนพลังจิตใจเท่านั้น



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน