ตอนที่ 464 ชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ (2)
………………..
การแข่งขันห้ารอบในวันนี้ ต่อให้คนอื่นสู้จนอนาถขนาดไหน ขายหน้าขนาดไหน อันที่จริงไม่นับว่าน่าอนาถจริงๆ
เจี่ยงเชาบาดเจ็บแค่เล็กน้อย ฉินเฟิ่งชิงเจ็บหนักมากกว่า
เหยาเฉิงจวินก็พอจะโจมตีเจียงซีเหยียนล่าถอยไปได้ ร่างกายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน
หวังจินหยางและหลี่หานซงต่างต่อสู้ตีเสมออย่างยากลำบาก ไม่ได้ฝีมือแข็งแกร่งกว่าพวกเขาจริงๆ
แต่เผชิญหน้ากับฟางผิง นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่ทันรับแม้แต่ดาบเดียว!
ดาบเมื่อครู่นั้น ฟางผิง…ตอนหลังเหมือนจะออมแรงไว้ เขาสัมผัสได้ว่าชั่วพริบตาที่ออกดาบกับตอนที่ดาบและหมัดปะทะกัน ระเบิดพลังแตกต่างออกไป
ตรงข้ามนั้นฟางผิงเผยสีหน้ารู้สึกผิด ค้อมกายเล็กน้อย “รุ่นพี่เจิ้ง ขึ้นชื่อว่าเป็นนักศึกษาอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ในตอนนี้ ฉันไม่อาจแพ้ได้ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้…ก็แพ้ไม่ได้เหมือนกัน ขอโทษด้วย”
เจิ้งหนานฉีเผยสีหน้าขื่นขม อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไป
ฟางผิงไม่พูดอะไร เข้าไปช่วยพยุง คลี่ยิ้มว่า “มิตรภาพเป็นเรื่องหลัก การแข่งขันเป็นเรื่องรอง วันนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!”
แม้ปากจะพูดอย่างนั้น หางตาฟางผิงกลับมองสนับมือแวบหนึ่ง
แม่งเหอะ อาวุธวิเศษนี่ดีจริงๆ!
ดาบนี้ฟันลงไป สนับมือยังคงเป็นสนับมือ ไม่เหลือร่องรอยไว้แม้แต่น้อย ยอดเยี่ยม!
โชคดีที่ไม่ถูกทำลาย ไม่อย่างนั้นสนับมือคงไม่เหลือแล้ว
—
ฟางผิงเอาชนะเจิ้งหนานฉีได้ในดาบเดียว
ในสนามนั้นฉินเฟิ่งชิงกลืนผลไม้พลังงานไปอีกลูก ลูบท้องเล็กน้อย ไม่อาจกินได้อีกแล้ว!
หากกินอีก พลังงานคงย่อยสลายไม่ไหว
เห็นพวกหลี่เฟยราวกับรับการกระตุ้นนี้ไม่ไหวอยู่บ้าง ฉินเฟิ่งชิงแกล้งกระซิบว่า “อันที่จริงฟางผิงออมมือแล้ว อย่างน้อยก็รักษาพลังไว้ครึ่งหนึ่ง พวกนาย…เฮ้อ เขาน่าจะนึกไม่ถึงเหมือนกัน…ฝีมือของเหล่าเจิ้งแย่ถึงขั้นนี้”
ฉินเฟิ่งชิงส่ายหัวไม่หยุดหย่อน เผยสีหน้าราวกับจนใจ ตบไหล่เจี่ยงเชาที่อยู่ด้านข้าง ถอนหายใจว่า “นายอ้วน ไม่ได้โจมตีนายจริงๆ นายลงสนาม เขาออกครึ่งดาบก็ฟันนายตายได้แล้ว ก่อนหน้านี้ฉันบอกว่าเขาคนเดียวสู้พวกนายสิบคน พวกนายก็ไม่เชื่อ…”
หลี่เฟยสีหน้าดูไม่ได้อย่างยิ่ง “เขาสะสมพลังนานมาก…”
ฉินเฟิ่งชิงถอนหายใจอีกครั้ง “เขาจงใจอ่อนข้อ อยากให้เหล่าเจิ้งขัดจังหวะเขา ยังไงก็ไว้หน้าพวกนายอยู่บ้าง ไม่งั้น เขายังต้องสะสมพลังนานขนาดนั้นเพื่ออะไร? ใครจะรู้ว่า…ประสบการณ์ต่อสู้จริงของพวกนายจะถึงขนาดนี้ ยืนดูอยู่อย่างนั้น ถึงช่วงหลัง ไม่เห็นเหรอว่าเขาไม่ระเบิดพลังอีกแล้ว? ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้…น่าจะออมมือต่อแล้ว”
“ฉินเฟิ่งชิง!”
หวังจินหยางตะโกนเบาๆ ตำหนิว่า “อย่าพูดเหลวไหล!”
ฉินเฟิ่งชิงเข้าใจทันที หัวเราะแห้งๆ ว่า “อีกเดี๋ยวทุกคนอย่าบอกเหล่าเจิ้งล่ะ ถ้าเขารู้เข้า ต้องถูกกระทบกระเทือนจิตใจหนักแน่ เรื่องนี้ทุกคนอย่าบอกเชียว ตอนนี้ดูแล้ว เหล่าเจิ้งน่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ฟางผิงสะสมพลังนานขนาดนั้น ถึงพอจะฝืนทำให้เขาล่าถอยได้ เขาน่าจะรับไหวอยู่บ้าง”
คนอื่นๆ ไม่พูดอะไร เจี่ยงเชาเช็ดเหงื่อเย็นที่มองไม่เห็นเล็กน้อย โหวกเหวกเสียงดังว่า “แม่งเหอะ โหดเหี้ยมจริงๆ! หมอนี่..เมื่อวานไม่ใช่พูดว่าเขาฆ่าขั้นหกสูงสุดได้เพราะคนๆ นั้นบาดเจ็บหรือไง?”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างหมดคำพูด “แม้จะได้รับบาดเจ็บ…เวลานั้นเขาก็เพิ่งขั้นห้าตอนกลาง ตอนนี้ขั้นสูงสุดแล้ว ฝีมือเพิ่มขึ้นมาช่วงใหญ่ พวกนายคิดยังไงกัน?”
เจี่ยงเชาเผยสีหน้าอัดอั้น ประชดว่า “ฉันเห็นเขาสุภาพอ่อนโยนไม่น้อย ทำไมบ้าคลั่งขนาดนี้ได้?”
“สุภาพอ่อนโยน…”
ฉินเฟิ่งชิงแทบอยากด่ามารดาออกมา แต่ครุ่นคิดว่าถ้าด่า น่าจะถูกฟางผิงซ้อมตายจึงหัวเราะว่า “เขาเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ต้องปฏิบัติกับแขกอย่างเป็นมิตรอยู่แล้ว แต่ผู้ฝึกยุทธ์หากประมือกัน นั่นต้องบ้าคลั่งบ้างเป็นเรื่องธรรมดา”
“เขาไม่ได้ลงถ้ำใต้ดินแค่สี่ครั้งหรือไง?”
“ใช่แล้ว แต่ปกติเขาลงถ้ำใต้ดินก็แทบจะประมือกับยอดฝีมือระดับสูง ดังนั้นฝีมือจึงค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่บ้าง”
“…”
พวกเขาทยอยหุบปากทันที ผ่านไปสักพักหลี่เฟยก็กดเสียงว่า “ดูท่าเป็นพวกเราที่เป็นกบในกะลา”
การต่อสู้หลายรอบก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะแพ้แล้ว
รวมทั้งคู่ต่อสู้ยังเป็นฝ่ายเข้ามาหา ไม่ได้มีท่าทีอวดเก่ง เหิมเกริมอะไร อยู่เป็นเพื่อนคุยกับพวกเขาจนถึงตอนนี้ ในใจคนพวกนี้จึงรับได้อยู่บ้าง
ตอนนี้เจิ้งหนานฉีที่ถูกกระทบกระเทือนจิตใจที่สุดก็กำลังเดินพูดคุยกับฟางผิงอยู่ ดูท่าสภาพจิตใจยังดีไม่น้อย คิดแบบนี้แล้วทุกคนจึงยอมรับได้
ในใจรับได้…แต่พอนึกถึงอาวุธวิเศษห้าชิ้น!
ครู่ต่อมาพวกเขาก็สีหน้าเปลี่ยนอย่างถึงที่สุด
เสียอาวุธวิเศษห้าชิ้นไปจริงๆ แล้ว เอาชีวิตกันชัดๆ!
—
ในสนาม ฟางผิงเดินไปก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “อันที่จริงฉันก็สะสมพลังไว้ในดาบเดียว อีกอย่าง…พูดออกมากลัวว่าพี่เจิ้งจะเห็นเป็นเรื่องตลก เพราะฉันเป็นหน้าตาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จึงทุ่มเททรัพยากรให้ฉันไม่น้อย ช่วยฉันหลอมกระดูกทองล่วงหน้า ดังนั้นบอกว่าความสามารถฉันอยู่ในขั้นห้าสูงสุด อันที่จริงก่อนหน้านี้อาจารย์บอกว่าฉันเทียบได้กับขั้นหกตอนปลายแล้ว สาเหตุที่รั้งอยู่ในขั้นห้าก็เพื่อให้เวลาปรับสภาพเล็กน้อย นายและฉันถือว่าประลองระดับเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังได้เปรียบที่เป็นเจ้าภาพ รุ่นพี่เจิ้งวางตัวมีคุณธรรม กลับเป็นฉันที่ใจแคบอยู่บ้าง สะสมพลังนานขนาดนั้น จงใจเอาเปรียบรุ่นพี่…”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน