เข้าสู่ระบบผ่าน

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน นิยาย บท 538

ตอนที่ 538 หลอกได้คนแล้วคนเล่า (2)

………………..

ฟางผิงเห็นท่าทีนี้ของพวกเขาก็แค่นหัวเราะว่า “ตอนนี้เข้าใจแล้วสินะ? ปีนี้หลี่หานซงมีหวังจะทะลวงขั้นปรมาจารย์ และทั้งหมดนี้เป็นเพราะไปมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ถ้าเขารั้งอยู่ที่นี่ จะมีหวังอย่างนั้นเหรอ? หลายปีมานี้มหาวิทยาลัยปักกิ่งหยุดการพัฒนา เมล็ดพันธุ์มากมายต่างถูกถ่วงรั้งเอาไว้ หลิงอีอี เธอก็นับเป็นบุคคลแนวหน้า เคยกดดันการคงอยู่ของฉินเฟิ่งชิงได้ ตอนนี้ล่ะ? ฉินเฟิ่งชิงเข้าสู่ขั้นห้าตอนปลายไปแล้ว ขั้นหกอยู่ไม่ไกลนี้ หานซวี่ ตอนแรกที่นายและฉันเข้าร่วมการแข่งขันแลกเปลี่ยนด้วยกัน ฉันคงไม่พูดถึงตัวเองแล้ว นายอยู่ขั้นสี่ตอนปลาย เฉินอวิ๋นซีก็ใกล้จะขั้นสี่สูงสุดแล้วเหมือนกัน คนพวกนี้ที่เคยอ่อนแอกว่านาย กำลังจะล้ำหน้านายหมดแล้ว ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เป็นหลายคน ทั้งนายยังเป็นหน้าตาของมหาวิทยาลัยปักกิ่งในตอนนี้ เป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ขั้นสี่อยากจะเป็นประธาน? ขั้นห้ายังต้องต่อแถวกันเลยเถอะ!”

“เมล็ดพันธุ์ดีๆ ถูกทำให้เสียเปล่าหมดแล้ว แน่นอนว่าไม่เกี่ยวกับความทะเยอทะยานของพวกนาย ในช่วงการแข่งขันแลกเปลี่ยนครั้งที่สอง ฉันเคยพูดไปแล้วให้พิจารณามาที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่มีใครฟัง! ตอนนี้ล่ะ? ฉันลืมบอกไป หลี่หานซงมามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ อันที่จริงเป็นความต้องการของอธิการพวกนาย เข้าใจแล้วสินะ? โอกาสอยู่ตรงหน้า ถ้าพวกนายยังมีใจอยากลองสักตั้ง สามารถครุ่นคิดดูได้ว่าอยากจะมามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้หรือเปล่า แต่พูดตามตรง มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ได้ขาดแคลนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ มีมากเกินไป เหมือนเกือบจะหนึ่งร้อยคนแล้ว พวกนายไปมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ จะเป็นนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ขังตัวเองอยู่ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ทำตัวเป็นกบในกะลา คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งจริงๆ หรือไง?”

ฟางผิงพูดออกไปยกใหญ่ แทงใจทั้งสองคนจนเสียท่าทีไปอยู่บ้าง

หลี่หานซงมองฟางผิงแวบหนึ่ง เผยสีหน้าจนใจ อยู่ดีๆ จะโจมตีพวกเขาทำไมกัน?

หลี่หานซงคิดว่าโจมตี หวังจินหยางกลับรู้สึกว่าเจ้าหมอนี้ไม่ได้มีเจตนาดี นี่จะดึงเมล็ดพันธุ์ของมหาวิทยาลัยปักกิ่งไปเซี่ยงไฮ้อีก?

ไม่กลัวว่าปรมาจารย์พวกนั้นของมหาวิทยาลัยปักกิ่งจะบ้าคลั่งหรือไง?

ฟางผิงไม่สนใจเรื่องนี้ แค่พูดส่งๆ ออกไปเท่านั้น แต่จะว่าไปแล้ว คนพวกนี้มามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ยังคงมีอนาคตกว่าจริงๆ

ทางมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สอนนักศึกษาไปตามขั้นตอนนั้นยังพอไหว คิดจะก้าวหน้าพรวดพราดในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องยากเกินไป

ไปมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ บางทีอาจสามารถตั้งทีมต่อสู้ระดับกลางขึ้นมาได้

ให้คนพวกนี้ไปถ้ำใต้ดินเทียนหนาน ทำสงครามกับผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำเทียนหนาน ตอนนี้ที่นั่นเหมาะจะฝึกประสบการณ์ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางอย่างยิ่ง

คำพูดของฟางผิงทำให้พวกหลิงอีอีเสียท่าที คิดวุ่นวายในใจ ชั่วพริบตานั้นก็เงียบลงทันที

ฟางผิงเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน อาจไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เสมอไป มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ต่างเป็นหนึ่งเดียวกัน ปกติสามารถร่วมมือกันได้ ทางถ้ำใต้ดินปักกิ่งสงบสุขไปอยู่บ้าง ไม่ระเบิดสงครามก็แล้วไป หากระเบิดสงครามขึ้นมา นั่นต้องเป็นสงครามใหญ่ของระดับสูง ถ้ามีเวลาสามารถไปแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ได้ ตั้งทีมไปถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ด้วยกันก็ได้เหมือนกัน ถึงเวลานั้นไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกให้ชัดแจนแล้ว มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง อันที่จริงเป็นครอบครัวเดียวกัน”

หานซวี่สูดลมหายใจลึก พยักหน้าว่า “แน่อยู่แล้ว อันที่จริงฉันเคยคิดมาก่อนเหมือนกัน ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ สองปีนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เรื่องของรุ่นพี่หลี่ ฉันจะพูดกับพวกนักศึกษาให้ชัดเจนเอง”

สุดท้ายหลี่หานซงยังคงเอ่ยปากอย่างกระอึกกระอักว่า “อันที่จริงไม่ได้มีอะไร ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้…”

“รุ่นพี่หลี่อย่าพูดอีกเลย พวกเราสายตาคับแคบไปจริงๆ”

หานซวี่ถอนหายใจว่า “ก่อนหน้านี้มีปรมาจารย์บอกว่าประธานฟางเป็นผู้นำผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่ รุ่นของพวกเรานี้ไม่มีใครมีคุณสมบัติเท่าประธานฟาง ทั้งไม่มีใครใจกว้างเท่าประธานฟาง ก่อนหน้านี้ได้ยินมายังไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกยังไงอยู่บ้าง ตอนนี้มาคิดดู ประธานฟางถูกพวกปรมาจารย์ยอมรับ ต้องไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถอย่างเดียว พวกปรมาจารย์ไม่ได้ตื้นเขินขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าใครฝีมือแข็งแกร่งก็จะถูกเรียกเป็นผู้นำได้”

หลี่หานซงพยักหน้าเห็นด้วย “ฟางผิงเหมาะสมกับคำเรียกว่าผู้นำแล้วจริงๆ หากไม่ใช่แบบนี้ ฉันคงไม่ไปมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน…”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา ฟางผิงนั้นภายนอกเผยท่าทีเรียบนิ่ง ในใจกลับกลอกตาอย่างบ้าคลั่ง

เจ้าพวกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ตอนนี้หลอกง่ายกันขนาดนี้เลยหรือไง?

ดูท่า ตัวเองไม่ใช่แค่ผู้นำของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อีกแล้ว ทางมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ หลังจากนี้อาจจะมีเขาเป็นผู้นำจริงๆ สินะ?

ประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยปักกิ่งคนก่อนและคนปัจจุบันกลับมองตัวเองเป็นผู้นำซะงั้น เขายังจะพูดอะไรได้งั้นเหรอ?

พวกเขาพูดคุยกัน หลิงอีอีกลับทำหน้าไม่สบอารมณ์

ไอ้เวรนี้เก่งเหมือนที่พวกเขาพูดกันขนาดนั้นเลยหรือไง?

เอาเถอะ เธอยอมรับว่าฟางผิงฝีมือแข็งแกร่ง แต่แค่ฝีมือแข็งแกร่งก็จะกลายเป็นผู้นำของรุ่นพวกเขาได้แล้ว?

“วันมะรืน หรือก็คือวันที่สาม ตอนนี้คนอื่นๆ มาเกือบครบแล้ว ตอนนี้มีแค่คนของแดนเทพปกรณัมยังไม่มาถึง”

ไม่กี่วันนี้เจี่ยงเชาอยู่ที่สมาพันธ์ผู้ฝึกยุทธ์มาโดยตลอด ค่อนข้างเข้าใจสถานการณ์ชัดเจน เอ่ยต่อว่า “ฟางผิง อย่าพูดเลย ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าคนของเมืองเจิ้นซิงแข็งแกร่งมากแล้ว ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าพวกเรายังไม่นับว่าแข็งแกร่งเลยจริงๆ พวกต่างชาติยังไม่พูดถึง รัฐบาลกลางและหน่วยทหารที่ส่งมาแปดคน แม่งเหอะ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกตอนปลายขึ้นไปทั้งหมด! ขั้นหกตอนปลายสี่คน ขั้นสุดสูงอีกสี่คน ยังมีคนหนึ่งที่เหมือนจะหลอมสารจิงกับเลือดแล้ว”

ฟางผิงเอ่ยด้วยแววตาวูบไหว “เมื่อก่อนแข็งแกร่งขนาดนี้หรือเปล่า?”

“เปล่า เมื่อก่อนขั้นหกสูงสุดมีไม่เยอะ ครั้งนี้มีขั้นหกสูงสุดมาตั้งหลายคน”

เจี่ยงเชาพูดต่อ “เจิ้งหนานฉีและหลี่เฟยถึงขั้นหกสูงสุดแล้ว เจ้าสองคนนี้ครั้งนี้บ้าคลั่งไม่น้อย ฆ่าคนในถ้ำใต้ดินไปตั้งหลายคน ฟางผิง นายอย่าประเมินพวกเขาต่ำไป อีกอย่างทางเมืองเจิ้นซิงยังส่งคนมาใหม่อีกสองคน เป็นขั้นหกสูงสุดทั้งหมด”

“หืม?”

“ไม่ใช่นะ” เจี่ยงเชาส่ายหัวว่า “ครั้งก่อนพวกเราเป็นแค่หนึ่งกลุ่มในนั้น หนึ่งตระกูลส่งมาหนึ่งคน แต่บอกนายไปแล้วไม่ใช่หรือไง? เมืองเจิ้นซิงมีทั้งหมดสิบสามตระกูล ครั้งก่อนมาแค่สิบตระกูล ยังมีอีกสามตระกูลที่ไม่ได้ส่งคนมา ครั้งนี้อีกสองตระกูลไม่ส่งคนมา เป็นตระกูลของผู้บังคับการกองตั้งมั่นทั้งสองนั่น พวกเขาสองตระกูลนับว่าอยู่ฝั่งหน่วยทหาร คนที่หน่วยทหารส่งคนมา มีคนในสองตระกูลของพวกเขา ฉันก็รู้จักเหมือนกัน ครั้งนี้เจ้าสองคนที่มาต่างเป็นคนของตระกูลหยาง ฟางผิง นายระวังตัวด้วย…”

“ให้ฉันระวังตัว?”

ฟางผิงเอ่ยอย่างขำๆ “หรือยังเป็นเพราะเรื่องครั้งก่อน? แต่ฉันพูดอย่างชัดเจนไปแล้วนะ กระทั่งรัฐบาลยังยอมรับว่าฉันสร้างผลงาน คนของตระกูลหยางไม่สำนึกในบุญคุณ ยังคิดจะสร้างปัญหาให้ฉัน?”

เจี่ยงเชาเอ่ยเสียงเบา “ได้ยินว่าผู้บัญชาการหลี่และรัฐมนตรีจางแสดงวิวัฒนาการให้อธิการของพวกนายดู อธิการพวกนายเข้าด่านเตรียมทะลวงขั้นเก้าแล้ว ไม่นับผู้อาวุโสขั้นสุดยอด ขั้นเก้าถึงจะเป็นเสาหลักของพวกเราแต่ละตระกูล ปู่หยางเสียชีวิต ตระกูลหยางตกต่ำลงแล้ว เวลานั้นถ้านายเอาศพของขั้นเก้าให้ตระกูลหยาง ขั้นเก้าของตระกูลหยางคนนั้นอาจจะสามารถทะลวงขั้นเก้าก็ได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างไม่รู้ว่าพลังต้นกำเนิดของศพนั้นยังอยู่ ถ้ารู้คงไม่ปล่อยให้จบง่ายๆ แบบนั้นหรอก”

“พอตอนนี้พลังต้นกำเนิดของศพถูกใช้ไปแล้ว พวกเขามาทราบเรื่องทีหลัง ตระกูลหยางโมโหแทบคลั่ง ได้ยินว่าขั้นแปดคนนั้นของตระกูลหยางเข้าไปในเขาต้านสมุทรแล้ว ร้องทุกข์กับผู้อาวุโสคนอื่น นายก็รู้ว่าผู้อาวุโสหยางตายแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างตระหนักได้ว่าตระกูลหยางลำบากไม่น้อย ขั้นสุดยอดไม่สามารถจะลงมือได้ง่ายๆ ขั้นเก้าคนอื่นแม้จะร่วมมือกันสังหารขั้นเก้าหนึ่งคน พูดตามตรง อยากจะทำถึงขั้นรักษาพลังต้นกำเนิดของศพขั้นเก้า นั่นแทบเป็นไปไม่ได้ เวลานี้พวกผู้อาวุโสจึงไร้หนทาง ดังนั้นครั้งนี้ถึงมอบโควตาออกมาสองที่ให้ตระกูลหยางเข้าร่วมการแข่งขัน นอกจากพวกนายสามคน รัฐบาลแปดคน เมืองเจิ้นซิงก็มีทั้งหมดเก้าคนแล้ว เก้าโควตานี้ นอกจากตระกูลเสิ่นและตระกูลเฉิน สิบเอ็ดตระกูลเหลือแค่เก้า ตระกูลหยางตระกูลเดียวมีสองคน ยังมีอีกสามตระกูลที่ครั้งนี้ไม่ได้โควตาสักที่ นี่เป็นความต้องการของพวกผู้อาวุโสเช่นกัน ขั้นหกสูงสุดสองคนนี้ของตระกูลหยาง…อันที่จริงเหมือนจะเกินสามสิบปีแล้ว แต่นายก็รู้ว่าใช้น้ำแร่ชีวิตนิดหน่อย ปลูกกระดูกขึ้นใหม่อีกครั้งก็ไม่มีปัญหาแล้ว ตระกูลหยาง เพื่อทำให้พวกเขาเข้าไปในเขตหวงห้ามกลายเป็นปรมาจารย์ นั่นสิ้นเปลืองไปอย่างมหาศาลแล้ว…”

—————–

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน