ตอนที่ 54 จู่ๆ ก็เปิดฉาก!
ศูนย์ตรวจร่างกายที่หนึ่งของรุ่ยหยาง
ด้านนอกอาคาร มีนักเรียนแบ่งกันเป็นสามกลุ่มอย่างชัดเจน
ศูนย์ตรวจร่างกายนั้นมีขนาดใหญ่ แม้ตอนนี้จะมีคนอยู่ตรงลานด้านนอกนับพันคน ก็ยังไม่เบียดเสียดกันแต่อย่างใด
ยังไม่ถึงเวลาตรวจร่างกายอย่างเป็นทางการ พวกนักเรียนจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน
ตอนนี้ในลานกว้างมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
“นั่นคือนักเรียนจากโรงเรียนรุ่ยหยางอันดับหนึ่งเหรอเนี่ย?”
“ใช่แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้ตรวจร่างกายรอบเดียวกับพวกเขา”
“โรงเรียนรุ่ยหยางอันดับหนึ่งมีแต่คนค่าปราณสูง ได้ยินว่า ใครค่าปราณต่ำกว่าหนึ่งร้อยสิบแคลก็ไม่ลงสมัครแล้ว…”
“จริงเหรอเนี่ย? หลายร้อยคนที่อยู่ตรงนี้หนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นทั้งนั้น?”
“หมดกัน ครั้งนี้พวกเราคงเป็นแค่ตัวประกอบจริงๆ แล้ว…”
ในกลุ่มนักเรียนนั้น นักเรียนของเขตอันผิงดูโดดเด่นกว่าโรงเรียนอื่นอยู่บ้าง พวกเขาแต่งเครื่องแบบของโรงเรียน
ไม่เหมือนพวกฟางผิง ที่แต่งกายอย่างอิสระ ทั้งโรงเรียนก็ไม่มีกฎบังคับอะไร
แต่คนของโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของรุ่ยหยางนั้นสวมเครื่องแบบประจำโรงเรียนทั้งหมด
เมื่อกวาดสายตามอง นักเรียนของหยางเฉิงและอำเภอซิ่งซี ต่างก็ให้ความรู้สึกเหมือนกองทหารที่ผสมปนเปกันไปหมด
นักเรียนของรุ่ยหยาง ดูเยือกเย็นและเย่อหยิ่งอย่างเห็นได้ชัด
พวกนักเรียนไม่ค่อยมีไหวพริบอยู่แล้ว แสดงทุกอย่างออกมาทางสีหน้าทั้งหมด
ขึ้นชื่อว่าโรงเรียนมัธยมอันหนึ่งของรุ่ยหยาง ทุกปีนักเรียนที่นี่จึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ด้วยจำนวนที่สูงที่สุด พวกเขามีสิทธิ์จะภาคภูมิใจ
เหมือนกับโรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง ตอนที่เผชิญหน้ากับนักเรียนจากที่อื่นก็มีความรู้สึกเหนือกว่าอยู่ลึกๆ
แม้ตัวเองจะอ่อนด้อยก็ไม่เป็นไร โรงเรียนฉันเยี่ยมกว่านาย ฉันเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่ง ฉันมีสิทธิ์ที่จะภูมิใจ!
แน่นอนว่า ทุกคนคงไม่พูดออกมาตรงๆ ให้คุณรู้เองมากกว่า
คุณอยากชมพวกเขาจริงๆ เขาคงจะพูดถ่อมตัวนิ่งๆ ว่า “ที่จริงโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งก็งั้นๆ แหละ โรงเรียนพวกนายก็ดีนะ น่าจะเก่งกว่า…”
เวลานั้นคุณอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง ต้องเยินยอเขาไปอีกสักสองสามประโยค
หากคุณไม่ชมเขาต่อ คนอื่นจะคิดในใจว่า ‘เจ้าพวกขยะ คิดว่าโรงเรียนพวกนายนั้นเก่งจริงๆ เหรอ กล้าเทียบกับโรงเรียนอันดับหนึ่งของพวกเรา ช่างน่าไม่อาย’
พวกนักเรียนมักจะมีท่าทีแบบนี้ ทั้งยังสามารถมองสีหน้าออกอย่างง่ายดาย
ตอนที่ในลานเกิดเสียงซุบซิบ นักเรียนของรุ่ยหยางก็พยายามปั่นหน้านิ่งวางท่าสูงส่ง ยืนเข้าแถวด้วยหลังตรงขึ้นมา
ในขณะที่คนอื่นพูดคุย นักเรียนของรุ่ยหยางกลับปิดปากเงียบ รักษาภาพลักษณ์สุขุมเยือกเย็นเอาไว้
แต่ในความเป็นจริง ฟางผิงนั้นมองออกอย่างชัดเจน นักเรียนของรุ่ยหยางจำนวนไม่น้อยเผยแววตายินดีจนแทบปิดไม่มิด
‘แค่พวกเด็กที่ยังไม่เจนโลกกลุ่มหนึ่ง จะเอาชนะกับพวกเขา รู้สึกเหมือนจะรังแกเด็กยังไงไม่รู้…’
ฟางผิงพึมพำในใจ มักจะรู้สึกว่ารังแกพวกเขาไม่ลง
แต่นี่ก็เป็นแค่ความคิดของฟางผิงฝ่ายเดียว พวกโจวปินที่อยู่ด้านข้าง กลับคิดอยากแสดงอำนาจของตัวเองตั้งนานแล้ว
ไม่ใช่แค่พวกเขา นักเรียนเขตอันผิงและอำเภอซิ่งซีที่อยู่หัวแถวพวกนั้น ต่างอยากปล่อยของออกมาเช่นเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้มีแต่ถานเจิ้นผิงที่คิดแบบนี้ ตัวแทนของอีกฝ่ายนั้นคิดใช้วิธีนี้เหมือนกัน
หรือจะพูดอีกอย่างว่า นี่เป็นธรรมเนียมของทุกปี
ด้านหน้าแถว
ถานเจิ้นผิงกำลังพูดคุยกับตัวแทนอันผิงและซิ่งซีด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม คล้ายกับเพื่อนเก่าที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง
แต่เหมือนมองให้ละเอียดก็จะพบว่าทุกคนต่างยิ้มให้กันอย่างเสแสร้ง
แสร้งไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบแล้ว ถานเจิ้นผิงค่อยหันกลับมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โจวปิน พวกนายก็ทำความรู้จักกับนักเรียนของอันผิง ซิ่งซีไว้สิ พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ทุกคนจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน…”
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองของอันผิงและซิ่งซีพูดประมาณนี้เช่นเดียวกัน
พวกนักเรียนที่ถูกกำชับล่วงหน้ามาแล้ว ต่างพากันทยอยเดินออกมาจากแถว
ทางหยางเฉิงมีคนเดินออกมาเจ็ดคน ซิ่งซีห้าคน เขตอันผิงกลับเดินออกมากว่าสิบคน
นักเรียนที่ถูกเลือกพวกนี้ต่างมีมาตรฐานปราณอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบแคล
คนพวกนี้เป็นนักเรียนทั้งหมด ชั่วขณะนั้นจึงทำตัวไม่ถูกกันอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปทักทายแล้วแยกกันไป หรือดึงแขนเสื้อประกาศศักดาแล้วเชิดหน้าใส่กันไปเลย?
ทุกคนคงพูดพิธีรีตองอะไรไม่เป็นอยู่แล้ว
พับแขนเสื้อเชิดหน้าใส่กัน นั่นคงหยาบคายอยู่บ้าง
พวกถานเจิ้นผิงก็ไม่ชี้แนะอะไร พากันอมยิ้ม มองท่าทีของนักเรียนแนวหน้าพวกนั้น
หลายครั้งที่มองนักเรียนพวกนั้นโอ้อวดกันด้วยท่าทีไม่ประสา ก็พาให้พวกเขาย้อนนึกถึงอดีต
หลังจากนี้หลายปี หากคนในกลุ่มนี้ได้เป็นใหญ่เป็นโต นั่นคงพอจะคุ้มค่าให้อวดในอนาคตแล้ว
ตอนนี้พวกผู้ฝึกยุทธ์พูดคุยกันอย่างจริงใจกว่าเมื่อสักครู่เสียอีก
ฟางผิงกวาดสายตามองพวกถานเจิ้นผิง ทั้งมองพวกนักเรียนที่เริ่มทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ ก่อนจะมองนักเรียนนับพันในลานกว้างที่จ้องมองพวกเขา…
สถานการณ์แบบนี้ทำให้ฟางผิงรู้สึกว่าทุกคนกำลังดูละครลิง!
แน่นอนว่าพวกนักเรียนอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น
พวกเขามองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยความอิจฉา ริษยาและนับถือ
ขึ้นชื่อว่าเป็นคนดังของแต่ละโรงเรียน ทุกคนล้วนรู้ว่า พวกคนที่เดินออกมาคงต้องเป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุด
แต่ฟางผิงกล้ารับประกัน ตอนนี้พวกถานเจิ้นผิงต้องมองพวกเขาด้วยความรู้สึกกำลังดูละครลิงแน่ๆ
เหมือนกับเขาเอง เวลาเห็นเด็กน้อยแยกเขี้ยวกางเล็บเตรียมจะกระโจนหากันอยู่บนถนน เขาก็จะหลุดขำ ถือโอกาสดูเรื่องสนุกเช่นกัน
ยังไงคงไม่สู้กันจริงจังหรอก มองเด็กๆ ถลึงตาฟาดฟันกัน สนุกไปอีกแบบ
ตอนนี้ฟางผิงนึกถึงคำพูดของถานเจิ้งผิง ให้พวกเขาระเบิดปราณข่มอีกฝ่าย ทำลายความมั่นใจอีกฝ่าย…
เรื่องนี้เชื่อได้เหรอ?
นักเรียนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์จะมีปราณประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบแคล แม้จะระเบิดปราณขึ้นมาก็ทำให้ดูแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องใช้พลังอำนาจกดดันอีกฝ่ายนั้นไม่มีหรอก
ถ้ามีปราณหนึ่งร้อยสามสิบขึ้นไป คงอาจสร้างความกดดันให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ได้บ้าง
แต่จะได้ผลมากน้อยเท่าไหร่ก็พูดได้ไม่เต็มปาก ทั้งมีขอบเขตที่จำกัด
ตอนนี้มาย้อนคิด ทั้งมองสีหน้าที่คล้ายมาดูละครลิงของพวกถานเจิ้นผิง นี่คงไม่ใช่วิธีหาความบันเทิงใจทุกปีของตัวแทนพวกนี้หรอกนะ?
แต่อาจไม่ใช่วิธีหาความบันเทิงใจเพียงอย่างเดียว บางทีอาจเป็นวิธีดูดดึงสนใจด้วยก็ได้?
ให้นายระเบิดปราณแป๊บเดียวก็ให้ยาบำรุงแล้ว ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงล้วนรู้สึกแปลกๆ
รับของมา ไม่ใช่ว่าเขาควรต้องทำเต็มที่หน่อยเหรอ



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน