ตอนที่ 58 ขีดจำกัดคนทั่วไป
เขตตรวจปราณ
เป็นครั้งแรกที่ฟางผิงเห็นว่าเครื่องตรวจปราณเป็นยังไง
คล้ายกับห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ…แต่ถ้าจะพูดตามความจริง ก็คงจะเหมือนโลงแก้วที่วางแนวตั้งละมั้ง!
จากจำนวนเลข 01 ถึง 60 น่าจะหมายความว่าจุดตรวจร่างกายที่หนึ่งมีเครื่องตรวจปราณทั้งหมดหกสิบตัว
อู๋จื้อหาวที่เพิ่งตามเข้ามา เอ่ยอย่างน่าอิจฉาอยู่บ้าง “เครื่องหนึ่งราคาเป็นล้าน!”
ของสิ่งนี้ คนทั่วไปซื้อไม่ได้จริงๆ
เครื่องตรวจปราณขนาดเล็กที่บ้านของอู๋จื้อหาวยังเป็นของมือสองด้วยซ้ำ
ขณะที่อู๋จื้อหาวพูด ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีขาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากเขตตรวจปราณ
“นักเรียนทุกคน!”
“พลังปราณถือเป็นเรื่องสำคัญของการสอบศิลปะการต่อสู้!”
“นักเรียนหลายคนยอมจ่ายค่าตอบแทนมากมายเพื่อด่านตรวจปราณโดยเฉพาะ!”
“แต่ฉันขอเตือนอะไรสักอย่าง ชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียว ต้องรักษาไว้! ผู้ฝึกยุทธ์ต้องแข่งขัน ไม่ได้หมายความว่าแข่งขันอย่างไม่ลืมหูลืมตา นักเรียนหลายคนเตรียมยาบำรุงเพื่อให้ปราณพลุกพล่านในตอนตรวจปราณ กฎข้อนี้ได้รับการอนุญาต แต่ว่าพวกเธอต้องใคร่ครวญให้ดี นักเรียนบางคนยอมใช้ยาบำรุงที่เกินขีดกำจัดของตัวเอง เพื่อให้ปราณพลุกพล่านในระยะเวลาสั้นๆ ทุกปีล้วนเกิดการบาดเจ็บเสียชีวิต เพราะนักเรียนไม่รู้จักขีดจำกัดของตัวเอง ผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ใช่แค่คนแข็งแกร่งห้าวหาญ ทั้งไม่ใช่คนถ่อย! วิชาการความรู้ทำให้เกิดความร่มเย็นสงบสุข ศิลปะการต่อสู้ทำให้ประเทศชาติมั่นคง! ความรู้ควบคู่กับศิลปะการต่อสู้ ถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์! มีแค่พลังต่อสู้ ไม่ใช้สมอง นั่นคือนักเลง คนถ่อย ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นตามธรรมเนียมแล้ว ฉันจะเตือนทุกคนครั้งสุดท้ายที่นี่ หากตรวจปราณแล้ว เกิดความผิดพลาดอะไร ต้องยอมรับผลที่ตามมาเอง!”
ชายสวมเสื้อคลุมสีขาวเอ่ยอย่างเยือกเย็น ท่าทีที่ไม่สนใจอะไรนั้น คล้ายบอกว่านักเรียนที่ใช้ยามั่วซั่วเกินขีดจำกัด ถึงตายก็ตายเสียเปล่า!
ประเทศต้องการผู้ฝึกยุทธ์ที่มีสมอง โดยเฉพาะสถานที่อย่างมหาวิทยาศิลปะการต่อสู้ ต้องรู้จักความพอดี เข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง…
คนแบบนี้ต่างหากถึงจะเป็นที่ต้องการของรัฐบาล
ส่วนสังคมผู้ฝึกยุทธ์ มีคนประเภทนี้ปะปนอยู่อย่างน่าเศร้าใจ บางส่วนเป็นเพราะคนพวกนี้มีเพียงกำลัง แต่ขาดแคลนสติปัญญา
ฟางผิงได้ยินกลับไม่พูดอะไร อู๋จื้อหาวที่อยู่ด้านข้างกลับมองเขาอย่างแปลกๆ
“คนถ่อย ไม่ใช้สมอง…”
อู๋จื้อหาวพึมพำ คำพูดนี้ส่งให้ฟางผิงชัดๆ
ได้ยินเสียงพึมพำของเขา ตอนแรกฟางผิงยังไม่ทันคิดอะไร ก่อนจะตั้งสติได้ เผยใบหน้าดำคล้ำ “ไสหัวไปไกลๆ เลย!”
“ฮ่าๆ…”
อู๋จื้อหาวอารมณ์ดีขึ้นมา นับว่าได้เอาคืน
ตอนแรกปราณของฟางผิงพุ่งสูง ไม่ใช่ว่าใช้ยาบำรุงเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวหรอกเหรอ?
แต่ฟางผิงนั้นโชคดีจึงไม่เป็นอะไร
“ตอนนี้ การตรวจปราณเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ! นักเรียนทุกคนเข้าเครื่องตรวจปราณตามหมายเลข โรงเรียน ชื่อ และเลขประจำตัวสอบตามที่แสดงบนจอ หมายเลขลำดับนั้นคือหมายเลขของเครื่องตรวจปราณ!”
ชายชุดขาวตะโกนเสียงดังทำให้นักเรียนพากันเงียบลง ก่อนจะทยอยเงยหน้ามองจอแสดงภาพ
“หมายเลข 01 โรงเรียมมัธยมอันผิงฉือเหยี่ยน หลี่เจ๋อปิน 2008340501176”
“หมายเลข 02 โรงเรียนมัธยมรุ่ยหยางอันดับหนึ่ง เฉิงเสวี่ยเจี้ยน 2008340510336”
“…”
“หมายเลข 36 โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง จางหนาน…”
“…”
นักเรียกหกสิบคนกลุ่มแรก มองหน้าจอใหญ่แล้ว ก็ทยอยเดินออกมาจากกลุ่มคน
มีแต่จางหนานคนเดียวที่อยู่ในการตรวจกลุ่มแรก
จางหนานดูเคร่งเครียด ทั้งตื่นเต้นอยู่บ้าง แววตาลึกๆ เผยความสิ้นหวัง
เธอรู้ว่าโอกาสที่ตัวเองจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้นั้นมีน้อย น้อยจนแทบไม่ต้องไปนึกถึงด้วยซ้ำ
ตอนนี้ปราณเธอยังไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบแคล เกรงว่าคงจะไม่ผ่านด่านตรวจร่างกาย
ชั่วพริบตาที่จางหนานสาวเท้าเข้าไป จู่ๆ มีคนตะโกนว่า “จางหนาน สอบไม่ติดจะเป็นไรไป พวกเราสอบสายสังคมด้วยกันได้!”
พวกฟางผิงหันมองตามเสียง ก่อนจะเห็นใบหน้าแดงก่ำของจางเฮ่า ตะโกนเสร็จก็รีบซ่อนกายปะปนกับผู้คน
จางหนานที่เพิ่งตื่นเต้นเมื่อครู่ ตอนนี้ใบหน้ากลับขึ้นสี ไม่กล้าหันหน้ามา รีบเดินเข้าไปในเครื่องตรวจปราณ
ชายชุดขาวที่ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ไปอยู่ที่ไหน เดินออกมา เอ่ยว่า “รักษาความสงบด้วย!”
ขณะที่พูดยังชำเลืองตามองจางเฮ่า แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
เจ้าหมอนี่ ไม่ว่าค่าปราณจะเป็นยังไง แต่กลับทำเรื่องได้ถูกจังหวะจริงๆ อนาคตนับว่ายังอีกไกล!
—
ห้องควบคุมกลาง เขตตรวจปราณ
ตอนที่นักเรียนกลุ่มแรกเดินเข้ามา วิดีโอที่คนพวกนี้อยู่ในเครื่องตรวจปราณพลันปรากฏขึ้นมาทันที
นอกจากวิดีโอพวกนี้ ห้องควบคุมกลางยังเชื่อมต่อข้อมูลกับเครื่องตรวจปราณทั้งหกสิบตัว เพื่อให้ได้รู้ผลลัพธ์เป็นที่แรก
ในเวลาเดียวกัน ข้อมูลพวกนี้ยังส่งตรงไปยังแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกองการศึกษา
จินเค่อหมิงจับจ้องตัวเลขต่างๆ บนคอมพิวเตอร์อย่างไม่ละสายตา
รอจนนักเรียนกลุ่มแรกเข้ามา ผลลัพธ์ที่ปรากฏกลับทำให้ใบหน้าจินเค่อหมิงบิดเบี้ยวจนน่าตกใจ!
เขาให้ยาบำรุงกับฟางผิง หวังว่าฟางผิงจะแตะเกณฑ์มาตรฐานของคนที่พร้อมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรวางไข่ไก่ในตะกร้าใบเดียว[1] หลักการนี้เขาเข้าใจดี จินเค่อหมิงจึงฝากความหวังไว้ที่นักเรียนพวกนี้เหมือนกัน
หากนักเรียนหนึ่งร้อยคนมีปราณสูงเกินหนึ่งร้อยยี่สิบแคล เขาคงไม่จำเป็นต้องคาดหวังกับฟางผิงเพียงคนเดียว
แต่ตอนนี้ผ่านไปหกสิบคน กลับไม่มีคนที่ปราณถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแคลเลยสักคน!
อย่าพูดถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแคลเลย แต่หนึ่งร้อยสิบห้าแคลก็ยังไม่โผล่มา!
จินเค่อหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยว่า “จุดตรวจร่างกายที่หนึ่งมีนักเรียนทั้งหมดเท่าไหร่?”
“มีคนเข้าตรวจร่างกายทั้งหมดสามพันแปดร้อยเก้าสิบห้าคน แต่เมื่อครู่ตรวจเรื่องบาดแผล สายตา กระดูก ไม่ผ่านยี่สิบห้าคน ตอนนี้เลยเหลือสามพันแปดร้อยเจ็ดสิบคน…”
“หมายความว่าจะตรวจรวมกันทั้งหมดหกสิบห้าครั้ง?”
จินเค่อหมิงพึมพำ จุดตรวจร่างกายแรกรวบรวมนักเรียนจากโรงเรียนชื่อดังของรุ่ยหยางไว้ส่วนใหญ่ ที่นี่ต้องมีสักห้าสิบคนที่ค่าปราณหนึ่งร้อยยี่สิบแคลขึ้นไปถึงจะใช้ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การตรวจทุกสี่ครั้ง อย่างน้อยต้องมีสามครั้งที่มีนักเรียนค่าปราณสูงกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบแคล
จินเค่อหมิงเก็บความกังวลไว้ในใจ ไม่พูดอะไรอีก จ้องคอมพิวเตอร์ต่อไป
กลุ่มแรกล้มเหลวทั้งหมด ไม่มีใครที่ปราณมากกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบแคล
กลุ่มที่สองหกสิบคน ล้มเหลวอีกครั้ง
กลุ่มที่สามยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่กลุ่มนี้มีนักเรียนคนหนึ่งที่ค่าปราณหนึ่งร้อยสิบเก้าแคล ขาดไปอีกนิดเดียว
กลุ่มที่สี่…
—
รอจนการตรวจกลุ่มที่หกสิ้นสุดลง ตรวจนักเรียนไปทั้งหมดสามร้อยหกสิบคน!
จินเค่อหมิงข่มโทสะไม่ไหวอีกต่อไป หันมาหาพวกถานเจิ้นผิง กัดฟันว่า “ฉันยอมรับว่า กองการศึกษาของรุ่ยหยางดูแลการศึกษาของผู้ฝึกยุทธ์ในแต่ละแห่งไม่ดีพอ! แต่ทุกปีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา กลับทุ่มเทให้พวกนายทั้งหมด! อย่างเขตอันผิง ปีก่อนปีเดียวจัดสรรเงินด้านการศึกษาถึงสองร้อยแปดสิบล้าน! แต่ตอนนี้สามร้อยหกสิบคน จากนักเรียนมอปลายสี่พันคน กลับไม่มีคนปราณถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแคลสักคน! เงินไปอยู่ที่ไหนหมด! ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
จินเค่อหมิงสบถออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่หลายปีมานี้ ทุกคนเคยชินกับการทำงานผ่านพ้นไปวันๆ
หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็คงไม่สนใจ ไม่ใช่เงินของตัวเองอยู่แล้ว เขาไม่รู้สึกอะไร
แต่ตอนนี้ความซวยมาเยือนเขาแล้ว นึกถึงคนเหล่านี้อยู่รอดปลอดภัย จินเค่อหมิงถึงขั้นอยากจะฆ่าคนพวกนี้ให้สิ้นซาก!
พวกถานเจิ้นผิงต่างลำคอแห้งผาก ไม่กล้าโต้แย้งอะไร
เงินไปไหนหมด?
ใครจะไปรู้!
ตามหลักแล้ว โรงเรียนอย่างมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง ควรจะมีชั้นเรียนที่สอนศิลปะการต่อสู้โดยเฉพาะ เชิญผู้ฝึกยุทธ์มาเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำไป
อีกอย่าง พวกนักเรียนดีเด่น ควรมีการมอบยาบำรุงเป็นขวัญกำลังใจ ทั้งเพื่อให้โอกาสนักเรียนที่ทางบ้านขาดแคลนเช่นกัน
แต่หยางเฉิงกลับไม่มี!
ไม่แค่ในหยางเฉิง โรงเรียนส่วนมากของรุ่ยหยางก็เหมือนกัน มีเพียงโรงเรียนรุ่ยหยางอันดับหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ในสายตา
เรื่องนี้ซักไซ้ไล่เลียงไปคงได้แค่นั้น หากสืบสาวราวเรื่องจริงๆ ยังไม่รู้ว่าจะก่อคลื่นระลอกใหญ่อีกเท่าไหร่!
หากฟางผิงรับรู้เรื่องพวกนี้ เกรงว่าคงจะคิดบางเรื่องได้
ก่อนหน้านี้ฟางผิงเคยคิดเหมือนกัน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสอบศิลปะการต่อสู้ แต่คาดไม่ถึงว่ากลับไม่มีชั้นเรียนสำหรับศิลปะการต่อสู้โดยเฉพาะ ทุกคนล้วนเรียนด้วยตัวเอง ทั้งไม่ค่อยเชื่อถือได้เท่าไหร่!
อันที่จริง มีเอกสารที่เรียบเรียงข้อมูลพวกนี้อยู่เหมือนกัน
แต่เมื่อนำมาปฏิบัติจริงๆ กลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ยิ่งหากเป็นพื้นที่ทุรกันดาร ยิ่งยากจะนำมาใช้ได้จริง
จินเค่อหมิงเดือดขั้นสุด แต่ก็ปล่อยให้การตรวจร่างกายดำเนินต่อไป



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน