ระบบเจ้าสำนัก นิยาย บท 1946

เมื่อได้ยินคำพูดของจางลู่ ชายวัยกลางคนก็สีหน้าแข็งทื่อไป
  “ ผู้อาวุโส” ชายวัยกลางคนกังวลอย่างมาก “ ลูกปัดดั้งเดิม 15 ล้านลูกคือขีดจำกัดของเราแล้ว ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจะคิดเห็นยังไง”
  เขาคิดว่าเหตุผลที่จางลู่ปฏิเสธก็เพราะลูกปัดนั้นน้อยเกินไป
  จางลู่มองไปที่ชายวัยกลางคนและส่ายหน้า “ เจ้าหาทางอื่นเถอะ เราไม่สนใจจะรับภารกิจนี้”
  ด้วยลูกปัดดั้งเดิม 20 ล้านล้านลูกแล้วใครกันจะมาสนใจกับลูกปัดแค่ 20 ล้านลูก ?
  อย่าพูดถึง 15 ล้านลูกเลย แม้ว่าจะมากกว่านี้สิบเท่าแต่พวกเขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
  ชายวัยกลางคนยังไม่ทันได้ตอบกลับ จางลู่ก็หันกลับและเดินไปที่ลำแสง เจ้าสำนักและคนอื่นๆเองก็เดินตามไปติดๆ
  ทหารกองทัพเทียนลั่วและกองทัพสังเกตการณ์ต่างก็พากันหลีกทางให้ พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
  ภายใต้สายตาของทุกคน จางลู่และพวกก็ได้เดินเข้าไปในลำแสงอย่างช้าๆก่อนที่จะหายตัวไป
  ….
  เมื่อผ่านลำแสงเข้ามา ฉากโดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างมาก มันราวกลับได้มายังทะเลโกลาหล ภาพฉายของโกลาหลแต่ละแห่งที่เชื่อมต่อกันรวมถึงพลังจิตมากมาย ทั้งหมดได้รวมตัวกันเป็นแก่นกำเนิด
  แก่นกำเนิดนี้ราวกับทะเลจำลองแทบไม่ต่างอะไรกันเลยแต่แค่เล็กกว่ามาก ภาพฉายโกลาหลแต่ละอันเหมือนกับของจำลองไม่ใช่โกลาหลจริงๆ
  “ มันดูคล้ายกับทะเลโกลาหลย่อส่วน” จางลู่ตรวจสอบรอบตัวแล้วพูดขึ้นมา  ความว่างเปล่าพยักหน้า “แก่นกำเนิดนี้ดูเหมือนว่าจะมีการเชื่อมต่อพิเศษกับทะเลโกลาหล ”
  เจ้าสำนักพูดขึ้น “ มันมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง !”
  โกลาหลแต่ละแห่งมีพลังจิตที่น่ากลัว ภาพฉายโกลาหลนับไม่ถ้วนนี้แทนถึงพลังจิตนับไม่ถ้วน หากเทียบกันแล้วแม้แต่พลังจิตของจักรพรรดิทั้งเก้ารวมกันก็ไม่ต่างอะไรจากหยดน้ำในทะเล พลังจิตที่นี่น่ากลัวกว่าของจักรพรรดิเป็นสิบเท่ารึมากกว่านั้น
  พลังจิตนี้ทั้งน่ากลัวและแทบมีไม่จำกัด มันยากจะคิดได้ว่าจะเป็นแบบใดหากพลังจิตเหล่านี้ระเบิดออกมา
  ต่อหน้าพลังแบบนี้แล้วแม้แต่จักรพรรดิก็เหมือนจะไร้ค่า
  “ ไม่แปลกเลยที่แก่นกำเนิดจะอันตรายแบบนี้” เซียนกระบี่พเนจรพูดขึ้นมา “ แม้ว่าจะไม่อาจจะควบคุมพลังจิตเข้าทำร้ายผู้คนแต่แค่แรงกดดันเพียงอย่างเดียวแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรับไหว เมื่อจ้าวโกลาหลทั่วไปเข้ามาในแก่นกำเนิด เดาว่าคงไม่อาจจะทนได้แม้แต่วินาทีเดียว ด้วยแรงกดดันนี้ตัวของพวกนั้นอาจจะระเบิดออกทันที”
  สุดท้ายเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมชายวัยกลางคนถึงได้ขอร้องให้พวกเขาคุ้มกันให้
  หากไม่มีใครคอยช่วย งั้นเดาว่าแม้แต่หัวหน้ากองระดับสูงก็ยากจะเดินทางได้ นี่ไม่ต้องนับจ้าวโกลาหลทั่วไปเลย
  แม้ว่าชายวัยกลางคนจะไม่ได้ตายเพราะพลังจิตที่นี่ แต่ก็ยากที่จะเดินทางได้ไกลนัก
  โชคดีที่จางลู่และคนอื่นๆมีความแข็งแกร่งระดับนายพล จึงทนรับแรงกดดันนี้ได้ แม้ว่ามันจะทำให้พวกเขาอึดอัดแต่ก็ไม่ได้สร้างอันตรายมากนัก
  ความว่างเปล่าได้พูดขึ้น “ เดาว่าการจะทนรับแรงกดดันนี้ได้อย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งระดับหัวหน้ากอง”
  ด้วยความแข็งแกร่งระดับหัวหน้ากองถึงจะทนรับแรงกดดันจากพลังจิตนี้ได้ไหว หากมีนายพลคอยช่วย งั้นหัวหน้ากองก็สามารถเดินทางผ่านแก่นกำเนิดได้ แต่หากเดินทางเพียงลำพังแล้ว งั้นอย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งระดับนายพล
  จางลู่ส่ายหน้าและพูดขึ้น “ รีบเดินทางกันเถอะ อยู่ที่นี่นานทำให้ข้าอึดอัด”
  ไม่นานพวกเขาก็เดินทางมุ่งหน้าไปยังเขตเย่าหยางตามเส้นทางที่ซื่อเซียว ให้มา
  พวกเขารวดเร็วกันอย่างมาก พวกเขาเดินทางผ่านโกลาหลแต่ละแห่งได้ในพริบตา การเดินทางข้ามโกลาหลแต่ละแห่งนั้นควรจะกินเวลานานแต่ในแก่นกำเนิดนี้พวกเขาเดินทางผ่านโกลาหลเป็นล้านๆแห่งในพริบตาเดียวแต่หากเป็นในทะเลโกลาหลแล้วอาจจะใช้เวลาหลายร้อยปีรึพันปี
  ด้วยความเร็วระดับนี้พวกเขาคงใช้เวลาแค่ 1-2 เดือนเท่านั้นก็สามารถไปถึงเขตเย่าหยางได้
  ทะเลโกลาหลนั้นกว้างใหญ่ แต่กลับอยู่ในแก่นกำเนิดได้ มันทำให้ทะเลโกลาหลดูเล็กลงอย่างมาก
  แก่นกำเนิดนี้เงียบสงบ มันราวโลกแห่งความตายที่ไม่มีเสียง, ไม่มีวัตถุ, ไม่มีชีวิต ฉากรอบตัวเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง มันมีแค่พลังจิตและภาพฉายที่นี่ ทั้งแก่นกำเนิดนั้นมีแรงกดดันที่ทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก
  หนึ่งเดือนต่อมากับการเดินทางในแก่นกำเนิด สุดท้ายจางลู่ก็ได้หยุด
  “ มีคนกำลังสู้กันอยู่” การรับรู้ของจางลู่รับรู้ได้ถึงสิ่งมีชีวิต
  เจ้าสำนักและคนอื่นๆพากันหยุดและแผ่การรับรู้ไปข้างหน้า
  ไม่นานพวกเขาก็พบกับกลุ่มคนทั้งหมด 7 คน สามคนเป็นมนุษย์ และอีกสี่คนเป็นคนเผ่าสวรรค์ ทั้งสองฝ่ายกำลังสู้กันอยู่
  หัวหน้าฝั่งมนุษย์เป็นนายพล คนที่เหลือเป็นหัวหน้ากองระดับสูง
  หัวหน้าเผ่าสวรรค์เองก็เป็นนายพลเช่นกัน ส่วนอีก 3 คนที่เหลือนั้นเป็นหัวหน้ากอง
  นายพลฝั่งมนุษย์เหมือนจะได้เปรียบนายพลเผ่าสวรรค์แต่หัวหน้ากองของมนุษย์นั้นเสียเปรียบ มันทำให้เผ่าสวรรค์ได้เปรียบกว่าเล็กน้อย
  ทั้งเจ็ดเพ่งสมาธิไปกับการต่อสู้จนไม่อาจจะรับรู้การมาของจางลู่และคนอื่นๆได้ พวกเขามีสมบัติมากับตัวแต่มันถูกจำกัดพลังไว้เพราะกลัวว่าจะส่งผลต่อภาพฉายโกลาหลโดยรอบและอาจจะส่งผลไปถึงเงาโกลาหลที่มีพลังจิตอยู่
  พลังที่อัดแน่นจากพลังจิตภายใต้การควบคุมอันแม่นยำนั้นสามารถหลีกเลี่ยงภาพฉายของโกลาหลได้ พลังของทั้งสองฝ่ายได้ซัดเข้าใส่อีกฝ่าย
  มองโดยภายนอกแล้วพลังของพวกเขาดูเหมือนว่าจะโดนจำกัดอย่างมากแต่อันที่จริงแล้วมันอันตรายเพราะมันอาจทำให้จิตที่นี่ปั่นป่วนจนเกิดหายนะขึ้นมา
  “ ดูเหมือนว่าจะสู้กันมานานแล้ว” ความว่างเปล่าพูดขึ้นมาด้วยท่าทีสนใจ “ นี่ไม่ต้องพูดถึงการสู้ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แต่ยังแสดงความสามารถที่โดดเด่นออกมาได้…” การต่อสู้ที่กินเวลานานนั้นต้องใช้การควบคุมในระดับที่นานอย่างเหลือเชื่อ
  “ เจ้าคิดเห็นยังไง ?” เจ้าสำนักมองไปที่จางลู่ “ เจ้าคิดจะไปช่วยรึไม่ ?”
  ฝั่งหนึ่งคือมนุษย์ อีกฝั่งคือเผ่าสวรรค์ หากไม่พบก็คงไม่ใส่ใจ แต่เมื่อได้พบแล้วพวกเขาจะอยู่เฉยๆได้อย่างไร ?
  จางลู่พึมพำออกมา “ รีบจบการต่อสู้”
  ช่วยก็ช่วยได้แต่ไม่อาจจะเสียเวลามากนัก
  “ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนของใคร แต่โทษตัวเองที่โชคร้ายก็แล้วกัน” เซียนกระบี่พเนจรมองไปที่คนเผ่าสวรรค์ทั้งสี่ก่อนจะบินเข้าไปในสนามรบ
  จางลู่, เจ้าสำนัก และคนอื่นๆเองก็บินตามเข้าไปทันที  แค่ไม่กี่อึดใจพวกเขาก็เข้ามาถึงสนามรบ ตอนนั้นเองที่คนที่นั่นเพิ่งจะรู้ตัว
  หัวหน้าฝั่งมนุษย์ได้ดีดตัวออกมาและมองไปที่จางลู่กับคนอื่นๆแล้วพูดขึ้น “ กำลังเสริมรึ ?”
  หัวหน้าฝั่งมนุษย์มองไปที่จางลู่และคนอื่นๆก่อนจะเตือนขึ้นมา “ นี่คือนายพลเผ่าสวรรค์ พวกเจ้าระวังตัวด้วย”
  “ นายพลเผ่าสวรรค์รึ ?” หมาป่าละโมบยักคิ้ว “ ในที่สุดก็ได้เล่นกับนายพลเผ่าสวรรค์เสียที !”
  ทันทีที่พูดจบ หมาป่าละโมบก็ได้พุ่งเข้าใส่นายพลเผ่าสวรรค์ทันที
  เซียนกระบี่พเนจร และคนอื่นๆไม่ได้สนใจเรื่องความยุติธรรม ตอนนี้พวกเขาอยากหาความตื่นเต้นและอยากรังแกคนมากกว่า
  “ อันตราย ! อย่าหุนหันไป !” นายพลฝั่งมนุษย์ตกใจและตะโกนออกมา
  นายพลเผ่าสวรรค์ฮึดฮัดออกมา “ เป็นแค่หมาแต่กลับคิดจะลงมือกับข้ารึ ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก