ระบบเจ้าสำนัก นิยาย บท 1951

ที่ทะเลบรรพกาล
  จางลู่และคนอื่นๆได้กลับมาจากทะเลโกลาหลและเริ่มเก็บตัวบ่มเพาะ
  จางหยูได้เรียกเหล่าอาจารย์และศิษย์มาและได้แจกจ่าย 10 ล้านล้านลูกปัดดั้งเดิมกับทุกคน ลูกปัดดั้งเดิมพวกนี้เพียงพอที่พวกเขาจะใช้มันอย่างฟุ่มเฟือยได้ แม้ว่าจะบ่มเพาะกันไปถึงแม่ทัพขั้นสูงสุดก็ยังเพียงพอ
  จางหยูเก็บลูกปัดไว้แค่ล้านล้านลูก เผื่อในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขายกให้กับร่างแยกบ่มเพาะทั้งหมด
  เพราะก่อนหน้านี้ลูกปัดดั้งเดิมถูกแจกให้กับศิษย์และอาจารย์ทั้งหมด ร่างแยกเหล่านี้จึงไม่ได้ลูกปัดดั้งเดิมไป พวกนี้จึงไม่อาจจะบ่มเพาะด้วยลูกปัดดั้งเดิมได้ ดังนั้นร่างแยกทั้งแปดแสนร่างจึงเป็นแค่นายพลเท่านั้น ในทางกลับกันแล้วศิษย์และอาจารย์ต่างก็ขึ้นเป็นแม่ทัพกันหมดแล้ว  แต่ตอนนี้เมื่อมีลูปปัดดั้งเดิมกว่า 9 ล้านล้านลูก ร่างแยกบ่มเพาะก็จะได้ทะลวงผ่านอีกครั้ง !
  ด้วยทรัพยากรมากมายแบบนี้ ร่างแยกบ่มเพาะถึงจะไม่อาจจะขึ้นเป็นแม่ทัพขั้นสูงสุด แต่ก็น่าจะไปถึงระดับเก่อเย่ ไม่ก็แกร่งกว่าเล็กน้อย
  นี่คือข้อดีของจ้าวบรรพกาล ทรัพยากรเท่ากันสามารถสร้างจ้าวบรรพกาที่แกร่งกว่าได้ พวกเขาสามารถดึงพลังของลูกปัดออกมาได้สูงสุด ในทางกลับกันแล้วการใช้ลูกปัดดั้งเดิมของจ้าวโกลาหลทั่วไปนั้น ใช้พลังของลูกปัดได้แค่น้อยนิดเท่านั้น
  จางหยูไม่รู้ว่าอะไรกันที่สร้างความต่างแบบนี้ขึ้นมา แต่สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นข้อดีของสำนักคังเฉียง
  ต่อมาสำนักคังเฉียงไม่ได้มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ร่างแยกของจางหยูรวมถึงศิษย์และอาจารย์ต่างก็พากันเก็บตัวบ่มเพาะ พวกเขาพากันดูดซับลูกปัดกันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งทะเลโกลาหลไม่มีใครได้เห็นเงาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นทีมคังเฉียงได้หายตัวไปอย่างสมบูรณ์ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
  ในพริบตาก็ผ่านไปกว่าหมื่นปี
  เหล่าศิษย์และอาจารย์ยกระดับขึ้นมาอย่างน่าตกใจรวมถึงเย่ฟาน, หยวนเทียนจี และคนอื่นๆที่ห่างจากแม่ทัพขั้นสูงสุดเพียงก้าวเดียว จางลู่, ความว่างเปล่า และร่างแยกอื่นๆก็ไม่เลวนัก แม้แต่ร่างแยกบ่มเพาะก็ขึ้นมาเป็นแม่ทัพกันแล้วและยังพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างต่อเนื่อง
  ซื่อเซียว, เย่าหยาง, หว่านเก่อและ อู่หมิง ยังคงทำตัวว่าง ทั้งสี่คนปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี พวกเขาพากันดื่มด่ำชีวิตอันสงบสุข
  หลายหมื่นปีที่ผ่านมานี้ทะเลบรรพกาลได้ขยายตัวขึ้นกว่าสิบเท่า พลังจิตของจางหยูมากกว่าเดิมถึงสิบเท่าแล้ว เส้นพลังจิตแต่ละอันของเขาอัดแน่นกันยิ่งกว่าเก่า มันมีพลังที่น่ากลัวกว่าเดิม หากต้องสู้กันตัวต่อตัวแล้วเขาก็มั่นใจว่าเขาจะเอาชนะจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย
  แต่ถ้าหากจักรพรรดิหลายคนร่วมมือกันแล้ว จางหยูก็ไม่มั่นใจว่าจะจัดการได้
  แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่จางหยูก็ยังพอใจอย่างมาก ยังไงซะนี่ก็แค่ไม่กี่หมื่นปีแต่เขากลับก้าวหน้ามาเร็วเช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
  ตอนแรกเขายังกลัวฉิวหวังอยู่ แต่ตอนนี้หากฉิวหวังกล้ามาหาเรื่องเขาถึงที่ เขาคงต้องเอาคืน
  นอกซะจากว่าจักรพรรดิเผ่าสวรรค์ทั้งห้าร่วมมือกันแล้ว งั้นเขาก็มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างสบาย
  จักรพรรดิเหมือนกันแต่เขาเหนือกว่าฉิวหวังอย่างมากในตอนนี้
  จางหยูยังคงส่งพลังใส่เกราะบรรพกาลพร้อมกับจับตาดูการเคลื่อนไหวของโลกภายนอก เขารอให้ฉิวหวังมาหา แต่ฉิวหวังก็ยังไม่มา ดังนั้นตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องกลับมาเพิ่มพลังให้กับเกราะบรรพกาล
  “ ถึงขีดจำกัดแล้ว” จางหยูรับรู้ได้ถึงเกราะในตันเถียน เขารู้สึกได้ว่าพลังของเกราะนั้นถึงขีดจำกัดแล้ว แม้ว่าจะใส่พลังเข้าไป
  อีกและทำให้พลังจิตและความแข็งแกร่งของเกราะเพิ่มขึ้นแต่ความเร็วในการพัฒนานั้นช้าลงกว่าเดิมมาก
  จางหยูเอาเกราะออกมาพร้อมกับเอาหอกที่จางลู่และร่างแยกๆอื่นๆได้มาก่อนหน้านี้ออกมาด้วยเพื่อใช้ทดสอบความแข็งแกร่งของเกราะ
  เขาตัดองค์ประกอบภายนอกทั้งหมดทิ้ง
  หอกได้ฟาดเข้าใส่เกราะแต่ปลายหอกกลับแตกออกทิ้งรอยเล็กๆไว้ที่เกราะแทน
  หอกปะทะกับเกราะ แต่กลับเป็นเกราะที่ชนะไป !
  ผลลัพธ์นี้ทำให้จางหยูพอใจอย่างมาก !   ตัดสินจากเบื้องต้นแล้ว เกราะแกร่งกว่าหอกที่อยู่ระดับสมบูรณ์อย่างมาก มันคือของที่เหนือกว่าสมบัติโกลาหล เมื่อรวมกับความหายากของเกราะแล้วก็ยิ่งทำให้เกราะนี้มีค่ามากขึ้นไปอีก เดาว่ามันอาจจะเทียบกับเกราะของจักรพรรดิ
  ต้องรู้ก่อนว่ามันมีช่องวางระหว่างของที่จักรพรรดิให้กับคนอื่นกับของที่จักรพรรดิใช้เอง
  แม้ว่าจะอยู่ระดับสมบูรณ์เหมือนกันแต่ของที่จักรพรรดิใช้เองนั้นได้รับพลังจิตของจักรพรรดิหล่อเลี้ยงมานาน พลังของมันจึงแข็งแกร่งอย่างมาก ตอนนี้จางหยูได้สร้างเกราะขึ้นมาจำนวนมากแล้ว มันแทบไม่ได้ด้อยไปกว่าเกราะของจักรพรรดิเลย มันเห็นได้ชัดว่ามันจะน่ากลัวเพียงใด
  การที่ให้ศิษย์และอาจารย์ใช้เกราะแบบนี้นั้นพวกเขาก็ยังไม่อาจจะดึงพลังที่แท้จริงของเกราะออกมาได้
  แต่จางหยูไม่ได้สนใจ ตราบใดที่พวกนี้ปลอดภัย ถึงมันจะดูเป็นของที่ดูหรูหราเกินตัวแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา
  ในทางกลับกันแล้วเก่อนหน้านี้ขาก็ได้สร้างดาบและเกราะของตัวเองขึ้นมา ด้วยความแข็งแกร่งของเขาที่เพิ่มขึ้นมานี้ พลังของเกราะและดาบอาจจะตามไม่ทัน เขาถึงกับใช้เวลาไปสร้างเกราะบรรพกาลให้กับศิษย์และอาจารย์อีก เขาจำเป็นต้องไปเพิ่มพลังให้กับดาบและเกราะของตัวเองต่อ
  เขาเอาเกราะบรรพกาลทั้งหมดออกมาก่อนจะใส่ดาบบรรพกาลกับเกราะบรรพกาลของตนเข้าไปในตันเถียนเพื่อเพิ่มพลังต่อ
  หลังจากที่ทำแบบนั้นแล้ว จางหยูก็ได้เรียกร่างแยกทั้งหมดมาแล้วให้เกราะบรรพกาลกับพวกนั้นจากนั้นก็ให้พวกนั้นนำเกราะไปแจกจ่ายให้กับศิษย์และอาจารย์ต่อ
  หลังจากที่จางลู่และคนอื่นๆจากไปแล้ว จางหยูก็เริ่มหันไปสนใจการเพิ่มพลังของดาบและเกราะของตน
  ดาบบรรพกาลและเกราะบรรพกาลเขาได้เพิ่มพลังมันด้วยพลังจิต ในทะเลบรรพกาลนั้นเกิดภาพดาบและเกราะฉายขึ้นมา ทั้งสองอันอยู่ใจกลางทะเลบรรพกาล มันราวกับร่างพระเจ้าที่กำเนิดขึ้นมา มันมีจุดแสงหมุนวนอยู่โดยรอบคอยกลืนกินพลังจริงพร้อมกับทำให้พลังของพวกมันเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
  พลังจิตไหลวนด้วยความเร็วสูงสุด ประสิทธิภาพมันมากกว่าเดิมเป็นพันเท่ารึหมื่นเท่า
  ตอนที่จางหยูเพ่งสมาธิกับการสร้างเกราะและดาบอยู่นั้น ซุนหยานและซูนวูก็ปรากฏตัวขึ้นมา
  หลายหมื่นปีต่อมาความแข็งแกร่งของทั้งสองพัฒนาขึ้นมาอย่างน่าทึ่งซุนหยานห่างจากแม่ทัพขั้นสูงสุดเพียงก้าวเดียว,
  “ เจ้าสำนัก !” ทั้งสองรีบทำความเคารพ
  จางหยูไม่ต้องเดาก็รู้ว่าทั้งสองมาทำไม นอกจากกล่องกระบี่แล้วจะเป็นอะไรได้ ?   จางหยูเอากล่องกระบี่ออกมาก่อนจะมองไปยังทั้งสองคนแล้วพูดขึ้น “ ตลอดหลายปีมานี้ข้าลองดูแล้วแต่ทุกครั้งก็ล้มเหลว….พวกเจ้ายังไม่เคยตทดลองมาก่อน “ ซุนเหมิงโดนกักขังไว้ในกล่องกระบี่ ไม่รู้ว่านางเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ได้แต่เดาว่านางคงไม่เป็นภัยถึงชีวิต
  ซุนหยานรับกล่องกระบี่ไปแล้วโคจรพลังบรรพกาลเข้าไปแต่กล่องก็ไม่ได้ตอบสนอง
  “ เจ้าลองดู “ ซุนหยานถอนหายใจออกมาและส่งกล่องกระบี่ให้กับซุนวู
  ซุนวูก็ล้มเหลวเช่นกัน
  “ อย่าหมดกำลังใจไป” จางหยูปลอบใจ “ เจ้าควรเพิ่มลูกหลานและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเขา อีกไม่นานก็ต้องมีคนเปิดกล่องนี้ได้แน่”
  ปากของซุนวูกระตุกไปตาม เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ ข้าพยายามอย่างหนัก…” เขาส่ายหน้าจ้าวโกลาหลไม่ได้มีลูกได้ง่ายๆ นี่ไม่ต้องพูดถึงคนระดับแม่ทัพเลย ตามที่ซูจิงบอกมาแล้วตอนนี่ซุนเหลียนเชิง แต่งงานกับพี่เขานั้นต้องใช้เวลาหลายพันปีถึงจะให้กำเนิดซุนกวนขึ้นมามันเห็นได้ว่ามันมีลูกได้ยากแค่ไหน
  ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะมีลูกหลานเพื่อสืบทอดตระกูลซุนแต่เขาทำไม่ได้
  ตลอดหลายหมื่นปีมานี้นอกจากการบ่มเพาะแล้ว เขาก็พยายามที่จะมีลูก วิหารโกลาหลได้กลายเป็นบ้านพักของเขา ทุกวันจะมีคนหลายแสนคนมารอให้เขาเลือก ตอนนี้เขาได้ชื่อว่ากลายเป็นคนโรคจิตไปแล้ว แม้แต่คนในสำนักเองก็มองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกๆ ศิษย์ผู้หญิงพากันหลบหน้าเขาราวกับเขาเป็นงูพิษ เขาไม่ได้สนใจผู้หญิงมากนัก เขาแค่อยากช่วยพี่ของเขาและเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตระกูล
  ผ่านไปสักพักซุนหยานและ ซุนวูต่างก็กลับไปพร้อมความผิดหวัง บางทีความล้มเหลวนี้อาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะพยายามมากกว่าเดิมเพื่อสร้างลูกหลานขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก