ตอนที่ 421 รับแขก
ก่อนที่จะมาที่นี่ ทั้งสี่คนคิดไว้อยู่แล้วว่า ต้องเจอกับยอดฝีมือระดับ
สูงสุดสองคน คนหนึ่งคือราชาสัตว์อสูรเฉินกู และอีกคนก็คือเจ้าสำนัก
ผู้ลึกลับ แต่ตอนนี้กลับมียอดฝีมือระดับสูงสุดอีกสองคนที่คาดไม่ถึง
อยู่ด้วย และสองคนนี้ก็มีปราณสัตว์อสูรซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่า น่าจะเป็น
ยอดฝีมือระดับสูงสุดของเผ่าสัตว์อสูร
“นอกจากราชาสัตว์อสูรแล้ว เผ่าสัตว์อสูรยังมียอดฝีมือระดับสูงสุด
อีกสองคนรึ!” ทั้งสี่คนใจเต้นรัวและรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ราชาสัตว์อสูรแค่คนเดียวก็ทำให้พวกเขารับมือได้ยากแล้ว หากเจ้า
สำนักและยอดฝีมือลึกลับอีกสองคนร่วมมือกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ทั้งสี่คนคงตายแน่ ๆ แม้แต่โอกาสหนีก็ยังไม่มี
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ นอกจากยอดฝีมือระดับสูงสุดที่เป็นผู้ชายแล้ว
คนอื่น ๆ นั้น พวกเขาก็ไม่อาจจะมองเห็นระดับการบ่มเพาะได้เลย…
เนื่องจากพวกเขามองไม่เห็นระดับการบ่มเพาะของราชาสัตว์อสูร
ดังนั้นการที่มองไม่เห็นระดับการบ่มเพาะของเจ้าสำนักผู้นั้นจึงยัง
พอรับได้ ยังไงซะพวกเขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าสำนักก็ต้องแข็งแกร่ง
กว่าราชาสัตว์อสูร แต่ตอนนี้พวกเขากลับมองไม่เห็นระดับการบ่ม
เพาะของผู้หญิงอีกคนด้วย
ในตอนแรกพวกเขาคิดจะกล่อมเจ้าสำนักให้มาร่วมมือกับพวกเขา
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวแล้ว แต่ละคนต่างก็ตื่น
กลัวราวกับกระต่ายน้อยที่จะโดนขย้ำ
จางหยูพอใจกับท่าทีของทั้งสี่คน เขาจะได้ทำตามแผนของเขาต่อได้
อย่างราบรื่น เขายิ้มและพูดขึ้นมา “เป็นเกียรติที่ได้มาต้อนรับพวกท่าน
ข้าไม่รู้ว่าจะเรียกพวกท่านว่าอะไรดี ?”
ทั้งสี่คนยังคงตึงเครียดอยู่
“เจ้าสำนักถามพวกเจ้า!” อ้าวอู่เหยียนคิ้วขมวดแล้วตะโกนออกมา
เมื่อเห็นว่าโรงอาหารเปิดแล้ว เขาจึงไม่ต้องการเสียเวลาที่นี่มากนัก
หากเขาจัดการปัญหาให้จบได้โดยเร็ว เขาก็จะได้มีเวลากินมากขึ้น
ไปด้วย บางทีเขาอาจจะกินทันตอนมื้อเที่ยงพอดีก็ได้
เมื่อได้ยินเสียงของอ้าวอู่เหยียน เซียนค่ายกลก็รีบพูดขึ้นมา “ข้า ลั่ว
ซู่หยาง ผู้คนเรียกข้าว่าเซียนค่ายกล ขอคำนับเจ้าสำนัก !”
ปกติแล้วคนอื่นเรียกเขาว่าเซียนค่ายกล น้อยคนนักที่จะรู้ชื่อของเขา
แม้แต่เซียนโอสถก็ไม่รู้ว่าเขาชื่อลั่วซู่หยาง ชื่อนี้เขาใช้มันจนกระทั่ง
ก้าวขึ้นมาถึงระดับสูงสุดได้ หลังจากนั้นทุกคนต่างก็เคารพยกย่อง
เขาให้เป็นเซียน แต่กลับไม่อาจจะจดจำชื่อเดิมของเขาได้
“ข้าคือ หยางเพ่ยอัน ผู้คนเรียกข้าว่าเซียนอักษร”
“ข้า ชุยเจี่ยน ผู้คนเรียกข้าว่าเซียนโอสถ”
“ข้า หงจินเป่ า ผู้คนเรียกข้าว่าเซียนหลอม”
ต่อหน้าเจ้าสำนักลึกลับ พวกเขาไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเซียน แม้แต่
ราชาสัตว์อสูรก็ยังต้องเคารพเจ้าสำนักลึกลับคนนี้เลยไม่ใช่รึ ?
“ฮาฮา พวกท่านมากันไกล ขอบคุณมาก” ท่าทีของจางหยูเป็นกันเอง
และไม่ได้ถือตัวเลยแม้แต่น้อย
เขาชี้ไปที่เฉินกูและยิ้มออกมา “ราชาสัตว์อสูรเฉินกู พวกท่านคงได้
เจอกันแล้ว ข้าจะไม่แนะนำอีก ส่วนสองคนนี้คือ อาจารย์อ้าวเยว่
และอาจารย์อ้าวอู่เหยียน คนแรกคือผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่ามังกรและ
อีกคนคือองค์รัชทายาทของเผ่ามังกร วันนี้ทั้งสองคนได้เข้าร่วมสำนัก
คังเฉียงในฐานะอาจารย์”
ราชาสัตว์อสูรเฉินกูมองไปที่ทั้งสี่คน
อ้าวเยว่แสดงสีหน้าเฉยชาราวกับราชินีน้ำแข็ง นางไม่ได้แสดงอารมณ์
ใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ชุดสีฟ้าและกระโปรงเขียวของนางยิ่งทำ
ให้นางดูสูงส่งขึ้นไปอีก
อ้าวอู่เหยียนใส่ชุดสีขาวดูเรียบ ๆ แต่มันก็ยากที่จะปกปิดความสูงส่ง
ที่เขามีได้ แม้ว่าจะไม่ได้น่ายกย่องจนต้องเทิดทูน แต่มันก็เพียงพอที่
จะทำให้คนรู้สึกต่ำต้อยได้
ไม่ว่าจะเป็นอ้าวเยว่หรืออ้าวอู่เหยียน ทั้งสองคนต่างก็โดดเด่น มัน
ยากที่จะลืมเลือนทั้งสองคนนี้ได้
หลังจากที่ได้ยินที่จางหยูแนะนำ ลั่วซู่หยาง, หยางเพ่ยอัน, ชุยเจี่ยน
และหงจินเป่าต่างก็ตกตะลึง !
ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่ามังกร !
องค์รัชทายาทของเผ่ามังกร !
พวกเขาต่างก็เบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ
“พระเจ้า สองคนนี้…” ลั่วซู่หยางราวกับโดนฟ้าผ่า เขาสับสนอย่างมาก
หยางเพ่ยอัน, ชุยเจี่ยนและหงจินเป่ าต่างก็อึ้ง !
ตัวตนที่แท้จริงของอ้าวเยว่และอ้าวอู่เหยียนนั้นน่าทึ่งจริง ๆ !
จากยอดฝีมือของเผ่าสัตว์อสูรลึกลับ ได้เปลี่ยนเป็นคนระดับสูงของ
เผ่ามังกร การเปลี่ยนแปลงนี้ราวกับฟ้าผ่าเข้าหัวพวกเขาอย่างจัง….
เมื่อเห็นทั้งสี่มองมาที่พวกเขา อ้าวเยว่ก็คิ้วขมวด นางไม่ชอบที่ถูก
จ้องมองแบบนี้
ลั่วซู่หยางและคนอื่น ๆ พากันละสายตา ไม่กล้าจะมองไปที่อ้าวเยว่
แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูงดงามราวกับราชินีที่ทรงเสน่ห์ ซึ่งทำให้คนยากที่
จะละสายตาจากนางได้ แต่ฐานะของนางนั้นไม่อาจจะมีใครทัดเทียม
กับนางได้
“หรือว่ามังกรสองคนที่ปรากฏตัวที่สมาคมค่ายกลคือสองคนนี้รึ?”
ลั่วซู่หยางเริ่มใจเย็นลง
ชุยเจี่ยนส่งข้อความถามขึ้นมา “เซียนอักษร เจ้าบอกว่าพวกเผ่ามังกร
สนใจสุดยอดสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิไม่ใช่รึ? แล้วพวกเขามาอยู่กับราชา
สัตว์อสูรได้ยังไง ? ครั้งนี้เราควรทำยังไงกันดี ?”
หงจินเป่ าหัวเราะออกมาและพูดขึ้น “สิ่งที่เราควรสนใจในตอนนี้ก็คือ
จะออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยได้ยังไง? ผู้อาวุโสสูงของเผ่ามังกร,
องค์รัชทายาทของเผ่ามังกร, เจ้าสำนักลึกลับ, ราชาสัตว์อสูร…”
หยางเพ่ยอันเป็นคนรอบคอบ แต่เมื่อเจอสถานการณ์ตรงหน้าเขาก็
หมดหนทาง ผู้อาวุโสสูงสุดกับองค์รัชทายาทของเผ่ามังกรมาอยู่กับ
ราชาสัตว์อสูรได้ยังไง ?
เป้าหมายของพวกนี้ไม่ใช่สุดยอดสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิหรือไง?
อีกอย่างแล้วทำไมถึงได้เข้าร่วมสำนักของมนุษย์ ?
เผ่ามังกรไม่ใช่แค่เย่อหยิ่ง แต่ยังดูถูกมนุษย์กับสัตว์อสูรไม่ใช่หรือไง?
นี่มันไม่มีเหตุผลเลย !
สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลกลับเกิดขึ้นมาจริง ๆ !
ตอนนั้น หยางเพ่ยอันรู้สึกว่ามุมมองที่มีต่อโลกนี้พลิกผัน เขาคิดว่า
ตำราที่เขาเคยอ่านมาต่างก็เป็นข้อมูลปลอม เผ่ามังกรที่ควรจะดูถูก
มนุษย์กับสัตว์อสูร…มันกลับไม่จริง ราชาสัตว์อสูรที่ควรจะเย่อหยิ่ง
และถือตัว กลับไม่เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาต่างก็แสดงความ
เคารพต่อเจ้าสำนักหรือไง ?
ตอนนี้ในหัวหยางเพ่ยอันปั่นป่ วน สายตาเขาเต็มไปด้วยความเครียด
และสับสน
เมื่อสามัญสำนึกของคนพังลง ผลกระทบจากเรื่องนี้ก็ค่อนข้างหนัก
หนา และเป็นธรรมดาที่หยางเพ่ยอันซึ่งคิดว่าตัวเองฉลาดนั้น แน่นอน
ว่าจะต้องได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้หนักกว่าคนอื่น ๆ
“เซียนอักษร ใจเย็น ๆ” ลั่วซู่หยางเห็นท่าทีผิดปกติของหยางเพ่ยอัน
ก็ได้ส่งข้อความมาหาทันที “เจ้าเป็นคนฉลาดที่สุดในหมู่พวกเราสี่คน
ดังนั้นพวกเราจึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้าไม่อาจจะเสียสติ
ในเวลาที่สำคัญแบบนี้ได้!”
หยางเพ่ยอันได้สติขึ้นมาและใจเย็นขึ้นเล็กน้อย “ขอโทษด้วย ข้า
วอกแวกไปหน่อย”
คนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่เล่นงานได้ง่ายที่สุดเช่นกัน คนบ้ากับอัจฉริยะ
นั้นต่างกันแค่เส้นบาง ๆ เท่านั้น
หยางเพ่ยอันสูดหายใจเข้าลึก ๆ และตอบกลับ “สถานการณ์ในตอนนี้
ต่างจากที่เราวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เราได้แต่ต้องลองดูว่าจะ
เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าสบายใจได้ การที่เจ้าสำนักเชิญเรามาที่นี่ เขาคง
มีบางอย่างให้เราช่วยและเขาก็ไม่น่าจะลงมือกับเรา ก่อนที่จะตกลง
เรื่องนี้กันได้”
หยางเพ่ยอันเงียบไปก่อนจะพูดต่อ “อันดับแรกต้องเข้าใจจุดประสงค์
ของเจ้าสำนักก่อน หากมีโอกาสค่อยหาทางถามว่าทำไมผู้อาวุโส
สูงสุด กับองค์รัชทายาทของเผ่ามังกร ถึงได้เข้าร่วมสำนักคังเฉียง
ทำไมราชาสัตว์อสูรถึงได้มาอยู่ที่นี่…”
แม้ว่าจางหยูจะไม่ได้ยินข้อความที่พวกนี้พูดคุยกัน แต่เขาก็เดาได้ว่า
พวกนี้กำลังปรึกษากันอยู่ ซึ่งเห็นได้จากสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ของคนพวกนี้
เขาไม่ได้พูดขึ้นมาทันที เขาให้เวลากับทั้งสี่คนได้ปรึกษากันและ
เลือกที่จะรออยู่เงียบ ๆ แทน
หลังจากที่พวกนั้นปรึกษากันเสร็จ ลั่วซู่หยางที่เป็นตัวแทนของทั้งสี่
คนก็ได้ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ขอถามเจ้าสำนักทีว่า เรียก
พวกเราทั้งสี่คนมายังสำนักคังเฉียงนั้นมีเป้าหมายอะไร ?”
เขาไม่ชินกับการต้องอ้อมค้อม ดังนั้นเขาจึงถามตรงประเด็นทันที
“ฮาฮา ไม่ต้องรีบร้อนไป พวกท่านเดินทางกันมาไกล ข้าคิดว่าพวก
ท่านคงยังไม่ได้กินอะไรมาสินะ? ไปที่โรงอาหารเพื่อหาอะไรกินกัน
ก่อน เรื่องอื่นค่อยคุยกันหลังจากที่กินเสร็จก็ยังไม่สาย” จางหยูยิ้ม
และโบกมือ จากนั้นเขาก็ผายมือให้กับทั้งสี่คนและพูดขึ้น “เชิญทาง
นี้ !”
เมื่อได้ยินที่จางหยูเชิญชวน ลั่วซู่หยางที่แม้ว่าจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่
กล้าที่จะปฏิเสธ
อ้าวอู่เหยียนตื่นเต้นขึ้นมา “ในที่สุดข้าก็จะได้กินแล้ว ! เจ้าสำนักจง
เจริญ !”
หากทนไปนานกว่านี้เขาคงต้องตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ
หลังจากนั้นสักพัก พวกเขาก็เข้าไปยังโรงอาหาร อ้าวอู่เหยียนรีบวิ่ง
เข้าไปและตะโกนบอกกับอู่ฉิงฉวน “ท่านอู่ ท่านอู่…” ตลอดหลาย
วันมานี้ความสัมพันธ์ของเขากับอู่ฉิงฉวน ถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิท
กันเลยก็ว่าได้ หากไม่ใช่เพราะฐานะของเขา เขาคงอยู่กินอาหารที่นี่
ไปทุกวัน ใครกันที่จะไปปฏิเสธอาหารขั้นที่ 6 ได้
จางหยู, อ้าวเยว่,เฉินกูและยอดฝีมือทั้งสี่ของมนุษย์ได้เดินตามเข้าไป
ในโรงอาหาร
“เจ้าสำนัก !” ตอนที่จางหยูปรากฏตัว อาจารย์และศิษย์ทุกคนในโรง
อาหารต่างก็พากันลุกขึ้นยืน และทำความเคารพจางหยู
จางหยูชินกับเรื่องนี้แล้ว เขาโบกมือและพูดขึ้นอย่างใจเย็น “นั่งลง
เถอะ”
จางหยูหันกลับไปบอกกับอู่ฉิงฉวน และพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอู่ มี
แขกหลายคนมาหาเราวันนี้ ท่านทำอาหารให้พวกเขาที”
“ได้เจ้าสำนัก !” อู่ฉิงฉวนตอบกลับด้วยความเคารพ และรีบมุ่งหน้า
ไปที่ครัวทันที
“พวกท่านคงไม่ถือที่จะต้องรอสักพักสินะ?” จางหยูมองไปที่ทั้งสี่คน
ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านอู่ เป็นปรมาจารย์กำหนดอาหาร
ระดับ 6 ดาว เขาสามารถเปลี่ยนแม้กระทั่งเนื้อเน่าเป็นของที่พิเศษได้
ดูจากทั้งทวีปป่ าแล้ว…อาหารที่เขาทำนั้น ข้ามั่นใจว่าพวกท่านต้อง
พอใจกับอาหารมื้อนี้”
“ปรมาจารย์กำหนดอาหาร 6 ดาวรึ ?” ลั่วซู่หยางและคนอื่น ๆ อด
ประหลาดใจไม่ได้ พวกเขามองไปทางที่อู่ฉิงฉวนเดินออกไป ใจ
ของพวกเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ “สำนักคังเฉียงแห่งนี้เต็มไป
ด้วยคนที่มีความสามารถ ! พ่อครัวกลับเป็นถึงปรมาจารย์กำหนด
อาหาร 6 ดาว !”
ปรมาจารย์กำหนดอาหาร 6 ดาวนั้นหายากยิ่งกว่าคนที่อยู่ขอบเขต
ตุ้นซวน แม้ว่าฐานะจะด้อยกว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งสี่ของมนุษย์
แต่ในด้านสายอาชีพแล้ว อำนาจของพวกเขาก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย บอก
ได้เลยว่าสายอาชีพระดับ 6 ดาวนั้นคือตัวตนในตำนานของแต่ละ
สายอาชีพ
“มาสิ ทุกคนมานั่งกันก่อน”
จางหยูได้ให้ทั้งสี่คนไปนั่งตรงกันข้ามกับเขา เขาได้บอกกับอ้าวเยว่
และเฉินกูที่ยืนอยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของเขา “อาจารย์อ้าวเยว่
อาจารย์เฉิน พวกท่านนั่งลงก่อน”
หลังจากที่นั่งลงแล้ว หยางเพ่ยอันก็ได้มองไปยังผู้คนในโรงอาหาร
และเกิดความสงสัยขึ้นมา ก่อนจะถามขึ้น “เจ้าสำนัก คนพวกนี้เป็น
อาจารย์และศิษย์ของสำนักคังเฉียงรึ ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก