ระบบเจ้าสำนัก นิยาย บท 420

ตอนที่ 420 การมาเยือน
“งั้นก็เอาตามนี้” เซียนค่ายกลไม่ได้คิดสนใจปัญหานี้อีกต่อไป
เซียนโอสถและคนอื่น ๆ เองก็พากันถอนหายใจออกมา
“มันยังไม่ดึกมากนัก ข้าขอตัว แล้วพบกันใหม่” เซียนหลอมลุกขึ้น
ยืนและกำลังจะกลับไป
ก้าวไปได้แค่ก้าวเดียว เซียนหลอมก็หยุดและมองไปที่เซียนอักษร
“เกือบลืมไปเลย เซียนอักษร ตำแหน่งสำนักคังเฉียง เจ้าหาพบหรือ
ยัง ?”
เซียนค่ายกลและเซียนโอสถ พากันมองไปที่เซียนอักษร
“ข้าเพิ่งยืนยันตำแหน่งก่อนที่จะมาที่นี่” เซียนอักษรพยักหน้าและพูด
ต่อ “มันมีภูเขารกร้างกว่า 6 แห่งในเขตเหนือ แต่มีแค่ที่เดียวที่อยู่ใน
เขตตงโจวของอาณาจักรโจว ที่นั่นมีสำนักคังเฉียง โชคดีที่สำนักงาน
ย่อยของพวกเรามีคนเคยไปยังสำนักคังเฉียงมาก่อน หากไม่ใช่เพราะ
คนของเรา ข้าคงต้องปวดหัวไปอีกสักพัก”
สำนักคังเฉียงไม่ได้เป็นสำนักมีดาว ดังนั้นจึงไม่ได้ถูกบันทึกไว้ใน
ระบบสำนัก การหามันจึงเป็นเรื่องยุ่งยาก
เซียนโอสถไม่พอใจขึ้นมา “ราชาสัตว์อสูร สมองเขาคงต้องมีปัญหา
แน่ ๆ เขามาเชิญเรา แต่กลับให้เราหาสถานที่เอาเอง!”
“ใครจะไปรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่? บางทีเขาอาจจะหลอกพวกเราก็ได้ !”
เซียนหลอมยักไหล่ “ไม่ต้องพูดต่อแล้ว แยกย้าย !”
เมื่อพูดจบเซียนหลอมก็ได้หายไปจากสวน
เซียนค่ายกลและเซียนโอสถต่างก็โค้งให้กัน ในพริบตาก็เหลือแค่
เซียนอักษรที่อยู่ในสวนแห่งนั้น
….
ที่โลกนภา
กลุ่มสุดยอดสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิ ได้ทำการบ่มเพาะกันทั้งวันทั้งคืน
โดยไม่หลับไม่นอน
โลกขั้น 7 นี้คือสวรรค์สำหรับผู้บ่มเพาะ บ่มเพาะที่นี่วันเดียวก็ทำให้
เหล่าสุดยอดสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิพัฒนาขึ้นไปอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เหล่า
สุดยอดสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิจึงไม่คิดจะทิ้งเวลาให้เสียเปล่าไปเลยแม้แต่
วินาทีเดียว
บนยอดเขา จางหยูนั่งนิ่งไม่ไหวติง พร้อมกับหลิงชี่มากมายที่แผ่
ออกมาจากตัวเขา
เมื่อวันก่อนระดับการบ่มเพาะของเขา ได้ขึ้นมาถึงขอบเขตตุ้นซวน
ขั้นกลางแล้ว และตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาก็พัฒนาขึ้นมายัง
อยู่ในส่วนสูงสุดของขั้นกลางอยู่
“เฮ้อ…” ในน้ำพุ ร่างกายของอ้าวเสี่ยวหร่านลอยอยู่บนผิวน้ำ พร้อม
กับหลิงชี่มากมายที่ไหลเข้าไปในตัวนาง
แม้ว่าภายนอกจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่ระดับการบ่มเพาะของ
นางกลับเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้นางขึ้นมาถึงขอบเขตหลี่ซวน
แล้ว !
แม้ว่าจะมีการพัฒนาระดับการบ่มเพาะที่น่าทึ่ง แต่อ้าวเสี่ยวหร่านก็
ยังคงหลับอยู่ ไม่มีวี่แววว่านางจะตื่นขึ้นมาราวกับว่านางจะหลับไป
ตลอดกาล
โลกนภาแห่งนี้เงียบสงบ ราวกับว่าเวลาได้หยุดนิ่งไป หากเอาคนมา
อยู่ที่นี่ จิตใจของเขาต้องแตกสลายอย่างแน่นอน
สำนักคังเฉียงยังคงเงียบสงบเช่นเคย เฉินกูและโอวเสินเฟิงได้ทำการ
สอนศิษย์ของตัวเองดังปกติ ศิษย์เองก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยน
แปลงไป แต่หากดูดี ๆ แล้วจะพบว่า สำนักคังเฉียงที่ดูเงียบสงบนี้
กลับมีคลื่นลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นมา ทุกคนต่างก็อดกลั้นความตื่นเต้นที่มี
และคาดหวังที่จะได้ชมการต่อสู้ของเฉินกูกับอ้าวเยว่
เมืองทะเลทรายเดิม ตอนนี้ถูกทุบทิ้งกลายเป็นซาก ตึกอาคารใหม่ ๆ
ได้ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่สิ่งก่อสร้างเดิม ที่ตีนเขา เมืองทะเลทราย
แห่งใหม่ยังคงขยายตัวไปตามเนินเขา กวนชางซินรับหน้าที่ดูแล
เรื่องนี้ เขามีพรสวรรค์ในการออกแบบแต่ก็ยังด้อยกว่ามังกรแดง แต่
แค่งานง่าย ๆ แบบนี้เขาก็ทำมันได้อย่างสมบูรณ์ มังกรแดงได้ทำการ
ออกแบบผังเมืองให้กับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลอะไรมาก
เกี่ยวกับเรื่องการออกแบบ แค่ต้องทำตามแผนผังขยายเมืองตามที่
วางเอาไว้
ในพริบตาก็มาถึงวันที่ 15 เดือน 7
ตอนที่อาจารย์และศิษย์หลายคนคาดหวังกับการต่อสู้ในพรุ่งนี้ เฉินกู,
อ้าวเยว่และอ้าวอู่เหยียนเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน
ตั้งแต่เช้าเฉินกูได้มายังสำนักคังเฉียงด้วยตัวเอง และเข้าไปหามังกร
แดงกับสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ “วันนี้หยุด ไม่มีการเรียนการสอน”
เขาเป็นอาจารย์ประจำชั้นเรียนสัตว์อสูร ซึ่งมีสิทธิตัดสินได้ว่าจะสอน
หรือไม่ การสอนติดต่อกันมาหลายวันแบบนี้ แม้ว่าเขาจะสั่งหยุดแต่
ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรเขา
เมื่อบอกกับเหล่าสัตว์อสูรแล้ว เฉินกูก็ได้เคลื่อนย้ายไปปรากฏที่หน้า
เสาหินที่ประตูสำนักและรออยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งสี่ของมนุษย์ได้รับปากไว้ว่าจะมาที่นี่
แต่ก่อนที่เขาจะได้พบกับพวกนั้นจริง ๆ เฉินกูก็ไม่กล้ารับรองว่า
พวกนั้นจะมา เขาได้แต่ภาวนาในใจว่าพวกนั้นคงไม่กล้าผิดคำพูด
พระอาทิตย์ค่อย ๆ ขึ้นจากขอบฟ้า เฉินกูยังคงยืนอยู่ที่ประตูราวกับ
ต้นสนที่ไม่ขยับ พร้อมกับเงาที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามแสงจากดวง
อาทิตย์
ประมาณ 30 นาทีต่อมา อ้าวเยว่และอ้าวอู่เหยียน ก็ได้มุ่งหน้ามายัง
ประตูสำนัก
เมื่อได้ยินเสียงในหู เฉินกูก็ลืมตาขึ้น เขามองไปที่อ้าวเยว่และเลิกคิ้ว
ขึ้นมา “เจ้ามาทำอะไร ?”
“เจ้าล่ะ “อ้าวเยว่สีหน้าเย็นชาและพูดขึ้น
อ้าวอู่เหยียนเหมือนจะรู้สึกผิดแต่เขากลับทำท่าไม่ได้ยิน
เฉินกูมองไปที่อ้าวเยว่ด้วยความสงสัย หลังจากนั้นอึดใจเดียวเขาก็
ละสายตาก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้ง
“ฮู่ววว” อ้าวอู่เหยียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับ
เช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาที่หน้าผากของเขา
อ้าวเยว่มองไปที่อ้าวอู่เหยียน และไม่พอใจกับท่าทีของหลานชาย แต่
นางก็ขี้เกียจจะสั่งสอนอ้าวอู่เหยียน นางเองก็ไปยืนอยู่ที่เสาประตู
สำนัก นางพิงไปที่เสาหินและแสดงสีหน้าเฉยชาราวกับว่าปฏิเสธทุก
คนที่จะเข้ามาที่นี่
อ้าวอู่เหยียนมองไปที่เฉินกู และมองไปที่อ้าวเยว่อีกครั้ง เขายิ้มออกมา
ก่อนจะถอนหายใจ แล้วไปนั่งที่บันไดหิน
เวลาผ่านไปอีกชั่วโมงจนเกือบเที่ยง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของยอดฝีมือ
ระดับสูงสุดของมนุษย์ทั้งสี่คนให้เห็น
ที่บันไดหิน อ้าวอู่เหยียนนั่งรอจนเบื่อ ก่อนจะลุกขึ้นมาเพื่อเหยียดแข้ง
เหยียดขา ก่อนจะกลับลงไปนั่งอีกครั้งแล้วบ่นพึมพำออกมา “สี่คน
นั่น ไม่ใช่ว่าช้าไปหน่อยรึไง?”
อ้าวอู่เหยียนเงยหน้ามองไปที่อ้าวเยว่และเฉินกู ก่อนจะบ่นออกมา
“บ้ากันดีจริง ๆ” ตอนนั้นอ้าวเยว่และเฉินกูนั้นดูราวกับรูปปั้นหิน แม้แต่
นิ้วของพวกเขาก็ไม่ขยับ
ไม่นาน จางหยูก็ปรากฏตัวขึ้นมาและยืนอยู่ในอากาศ
การเข้าพบกับยอดฝีมือระดับสูงสุดของมนุษย์ทั้งสี่คนนี้ เขาจำเป็นต้อง
มาด้วยร่างจริง เนื่องจากร่างเจ้าสำนัก พื้นฐานการบ่มเพาะยังไม่มาก
พอที่จะปกป้องตัวเองได้
“เจ้าสำนัก !” อ้าวอู่เหยียนลุกขึ้นยืนและมองไปที่จางหยู
ในเวลาเดียวกัน อ้าวเยว่และเฉินกูก็ลืมตาขึ้นมา พวกเขามองไปที่
จางหยูที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าสำนัก !”
จางหยูโบกมือและถามขึ้นมา “พวกเขายังมาไม่ถึงรึ ?”
สีหน้าของเฉินกูบิดเบี้ยวไป “เจ้าสำนัก ขอโทษด้วย ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ
พวกเขารับปากแล้วว่าจะมา แต่ผลลัพธ์…” เขาไม่คิดว่าทั้งสี่คนจะ
ผิดคำพูดและไม่ไว้หน้าเขา
“อาจารย์เฉิน ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ท่านไปหาพวกเขาให้ข้า ข้าก็
พอใจแล้ว พวกเขาจะมาหรือไม่นั้น ท่านไม่อาจจะตัดสินได้” จางหยู
เผยรอยยิ้มออกมา “พวกเขาไม่มาก็ช่าง ไม่ต้องกังวลว่ามันจะส่งผล
เสียอะไรกับท่าน ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
อ้าวเยว่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่อ้าวอู่เหยียนกลับตาเป็นประกาย
พร้อมกับน้ำลายที่เริ่มไหลออกมา “ท่านอู่ ทำอาหารเที่ยงแล้วรึ ?”
ที่สำนักคังเฉียง เราจะได้กินอาหารจากปรมาจารย์กำหนดอาหาร 6
ดาว ซึ่งถือว่าเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของอ้าวอู่เหยียน สำหรับเขา
แล้วการได้กินอาหารที่นี่น้อยไป ถือว่าเป็นความเสียหายของชีวิต
จางหยูหัวเราะออกมา “ไปกันเถอะ !”
เขาหันกลับและมุ่งหน้ากลับไปที่โรงอาหาร
อ้าวอู่เหยียนไม่ได้พูดอะไรต่อ และรีบตามไปทันที เขาถึงกับเดิน
นำหน้าจางหยูเลยด้วยซ้ำ
แต่เดินออกมาไม่กี่ก้าว ก็เกิดพลังอันแข็งแกร่งแผ่ออกมาจากบนยอด
เขา เมื่อลองตรวจสอบรอบตัว อ้าวเยว่กับเฉินกูก็พากันหยุด
“มาแล้ว !” ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลง มองไปยังร่างทั้ง
สี่คนที่ปรากฏตัวขึ้นมาบนท้องฟ้า
จางหยูเองก็หยุด เขาเหมือนรับรู้สถานการณ์ด้านหลัง เขาหยุดทันที
และมองไปยังท้องฟ้า ต่อมาร่างของทั้งสี่คนที่อยู่ห่างออกไปก็หายไป
จากสายตา จากนั้นก็มาปรากฏตัวที่ประตูสำนัก
“ฮี่ฮี่ ดูเหมือนว่าทั้งสี่จะไว้หน้าอาจารย์เฉินอยู่บ้าง !” จางหยูยิ้มออกมา
“ไปกันเถอะ อย่าให้พวกนั้นรอ”
เมื่อพูดจบ จางหยู, อ้าวเยว่และเฉินกูก็ได้แสดงท่าทีดังเดิม อ้าวอู่เหยียน
มองไปที่โรงอาหารด้วยความลังเล ก่อนจะมองไปยังทั้งสี่คนที่ประตู
สำนัก เขาลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะหันกลับมาด้วยความไม่เต็มใจ เขา
รีบใช้เคลื่อนย้ายเพื่อมายังประตูสำนักทันที
“ข้าจางหยู เจ้าสำนักของสำนักคังเฉียง ยินดีต้อนรับทุกคน” จางหยู
ยืนมือไขว้หลังและยิ้มออกมา
อ้าวอู่เหยียนและเฉินกู ยืนอยู่ข้าง ๆ จางหยู และมองไปยังทั้งสี่คน
ด้วยสีหน้าเฉยเมย
ตอนนั้นคำพูดของจางหยู ทำให้ทั้งสี่คนต่างมองมาที่เขา ตอนนั้นเอง
มิติก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
ก่อนที่ทั้งสี่คนจะได้เปิดปากพูด อ้าวอู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกาย
ของจางหยู และบ่นออกมา “พวกเจ้ามาไม่ถูกเวลา!” อีกแค่นิดเดียว
เขาก็จะได้กินอาหารที่แสนอร่อยแล้ว อ้าวอู่เหยียนจึงมองพวกนี้ด้วย
สีหน้าหม่น ๆ
จางหยูตบไหล่อ้าวอู่เหยียนเบา ๆ และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์
อ้าวอู่เหยียน แขกมาแล้วเราจะแสดงนิสัยแย่ ๆ ไม่ได้”
“ได้ เจ้าสำนัก” อ้าวอู่เหยียนปิดปากเงียบทันที
พวกเขาไม่เห็นว่าสีหน้าของทั้งสี่คนตรงกันข้าม พวกเขาต่างก็แสดง
ความกลัวออกมา
“ยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งสี่ !”
ทั้งสี่คนมองหน้ากันพร้อมกับมุมปากที่บิดเบี้ยวและหัวใจที่เต้นรัว
เจ้าสำนักที่ลึกลับ, ราชาสัตว์อสูรเฉินกู บวกกับสองผู้ลึกลับที่อาจจะ
เป็นคนจากเผ่ามังกร ที่นี่มันอันตรายเกินไป !

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก