รักเต็มใจ ประธานจงรักของฉัน นิยาย บท 243

บทที่ 243 น่าจะเลี้ยงข้าวผมมากกว่าไม่ใช่เหรอ

“ถ้างั้นก็ขอให้คุณจี้โชคดีนะคะ” ถังซินปรับอารมณ์ได้แล้วก็ยิ้มอย่างมั่นใจ “บริษัทของพวกเราทำงานหนักกันมานานเพื่อการประมูลในวันนี้ บริษัทเราต้องชนะการประมูลอย่างแน่นอน”

“คุณถังทั้งสวยทั้งเก่งจริง ๆ ทำให้คนหัวใจเต้นได้ง่าย ๆ เลยนะครับ”

“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ”

เดิมที่ถังซินก็ไม่อยากจะคุยกับผู้ชายคนนี้ เห็นว่าถึงเวลาประมูลแล้วก็เลยขอตัวออกมาตามมารยาท คิดไม่ถึงว่าจี้เจียจื้อจะก้าวมาข้างหน้าสองก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ

เขาโค้งตัวพร้อมกับรอยยิ้มอันเพอร์เฟคบนใบหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำเบา ๆ “คุณถัง ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ผมจะส่งของขวัญไปให้คุณ หวังว่าคุณจะชอบนะครับ”

ถังซินใจสั่นไหวอย่างไรเหตุผล พอได้สติกลับคืนมาได้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็หายไปแล้ว

เธอขมวดคิ้วแน่น

ผู้ชายคนนี้จู่ ๆ ก็ออกมาคุยกับเธอทำให้เธอไม่สบายใจมาก

สิบโมงตรง เริ่มการประมูลอย่างเป็นทางการ

บริษัทใหญ่ ๆ แต่ละบริษัทก็ต้องการชนะการประมูลรถไฟความเร็วสูงนี้ ตอนนี้แข่งขันกันดุเดือดมาก ไม่เพียงแต่ถังซินบริษัทอื่น ๆ ก็ส่งผู้หญิงเข้ามาเช่นกัน แต่ละคนดูกล้าหาญชาญชัยมาก ดูเป็นหญิงแกร่งที่สวยสง่างามมาก

ก่อนหน้านี้ถังซินไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่พอมีคนที่ยืมจากตระกูลมู่มาร่วมทีมด้วย และการเสนอราคาที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้นทำให้เธอมั่นใจตัวเองมาก ไม่ต้องกังวลกับการชนะการประมูลเลย

หลังจากที่ทุกบริษัทแข่งขันกันอย่างดุเดือด การประมูลรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้สุดท้ายก็ตกเป็นของเหอชวน บริษัทใหญ่ที่ไม่ชนะการประมูลต่างก็แสดงความยินดีพร้อมกับยื่นนามบัตรตัวเองให้กับถังซิน

ใบหน้าของถังซินยังคงยิ้มอยู่พอออกมาจากสถานที่ประมูล เธอถึงเผยท่าทางอันเหนื่อยล้าออกมา ส่งกุญแจรถให้เพื่อนร่วมงานขับรถเธอ

ถังซินควานหามือถือ อดที่จะส่งข่าวบอกมู่เฉินหย่วนไม่ได้

ถังซิน : ขอบคุณคนที่ประธานมู่ให้ยืมมา การประมูลจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ เหอชวนชนะการประมูลแล้ว!

คุณมู่ : บริษัทห่วย ๆ ของคุณน่ะสิ หึ!

ถังซิน : ประธานมู่ ถึงคุณจะให้ฉันยืมคนมาก็พูดจาให้มันดี ๆ หน่อยนะคะ บริษัทเราก็ไม่เป็นสองรองใครในวงการธุรกิจนะคะ!มูลค่าในตลาดไม่ต่ำนะคะ!

คุณมู่ : อืม ยินดีด้วยนะ คุณถัง ได้ผลลัพธ์ของการทุ่มเทแล้ว

ถังซิน : คุณให้ผู้ช่วยจางหยุดครึ่งวันได้ไหมคะ ฉันอยากจะเลี้ยงข้าวเขาตอบแทนที่เขาช่วยเหลือค่ะ

คุณมู่ : น่าจะเลี้ยงข้าวผมมากกว่าไม่ใช่เหรอ

ถังซิน : อาทิตย์ที่แล้วก็ทำกับข้าวให้คุณทานแล้วไม่ใช่เหรอคะ คุณนี่ไม่รู้จักพอจริง ๆ ถ้าผู้ช่วยจางไม่ให้ข้อมูลเหล่านั้นฉันมา ช่วยฉันด้วยความเต็มใจ ฉันก็คงไม่ก้าวหน้าขนาดนี้ ควรเลี้ยงข้าวเขานะถูกต้องแล้วค่ะ

มู่เฉินหย่วนดูข้อความแล้วหงุดหงิดมาก

ผู้ช่วยจางดีเลิศเลอตรงไหน เขาต่างหากที่เสริมความรู้ให้เธอมาตลอด

“ประธานมู่”

ผู้ช่วยจางผลักประตูเข้ามาพอดี ดูเหมือนว่าเขาไม่สังเกตเห็นมู่เฉินหย่วนสีหน้าไม่ดี วางเอกสารหลายฉบับลงบนโต๊ะแล้วพูดด้วยความดีอกดีใจ “ประธานมู่ครับ ตอนบ่ายผมต้องพาเอลิซาเบธไปคาเฟ่แมว ตารางงานของคุณผมจัดการเรียบร้อยแล้วนะครับ ให้ผมออกจากบริษัทตอนบ่ายสองได้ไหมครับ”

“เกรงว่าจะไม่ได้นะสิ” มู่เฉินหย่วนปฏิเสธทันที

ผู้ช่วยจางทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ทะ ทำไมล่ะครับ มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“โรงงานผลิตอาหารในเมืองหางซีแห่งหนึ่งมีปัญหา นายไปดูแทนฉันหน่อยนะ” มู่เฉินหย่วนพูดอย่างเย็นชา “เอางบการเงินไตรมาสก่อนของพวกเขากลับมาด้วยนะ”

“ประธานมู่ ผมเป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ฝ่ายการเงินนะครับ”

“ฉันรู้ ก็ไม่ได้ให้นายทำเองสักหน่อยนี่” มู่เฉินหย่วนพูดตัดบทคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “นายให้ฝ่ายเลขาจองตั๋วเครื่องบินให้นาย เดี๋ยวค่อยไปนะ”

ผู้ช่วยจางอยากจะร้องไห้แต่ร้องไห้ไม่ออก ไม่เข้าใจตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมถึงโดนเจ้านายตัวเองอาฆาตแค้นได้ ทำปากเหมือนจะพูดคำว่ามะเขือยาว (คนจีนพูดคำว่ามะเขือยาวเพื่อให้รูปปากมีลักษณะเหมือนกำลังยิ้ม) หนึ่งทีแล้วก็ออกไป

มู่เฉินหย่วนเรียกเขาเอาไว้ หยิบปากกาขึ้นมาเขียน ๆ บนกระดาษสองสามบรรทัด จากนั้นก็ฉีกกระดาษให้ผู้ช่วยจาง

“คุณซุนจัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้บริหารระดับสูงของเขา นายไปดูหน่อยนะ อายุปูนนี้แล้ว อย่าไปคลุกอยู่กับแมวทั้งวัน เดี๋ยวจะโดนคนอื่นคิดว่านายอยากแต่งงานกับแมวนะ”

ผู้ช่วยจางติเบา ๆ “ประธานมู่ ผมอ่อนกว่าคุณแค่ปีเดียวเองนะ”

“นายดูแก่กว่าฉันนะ”

ผู้ช่วยจาง “...”

ซวยชะมัดยาดเลย!

“พี่รอง” ประตูห้องทำงานท่านประธานเปิดออกอีกครั้ง ลู่เหวินซูเข้ามาอย่างไม่สนใจใด ๆ “นี่ ผู้ช่วยจาง นายป่วยเหรอ ดูหน้าคุณซีด ๆ นะ อย่างกับทาแป้งมาชั้นหนึ่งเลย”

ผู้ช่วยจางยิ้มเจื่อน ๆ “นิดหน่อยครับ ผู้จัดการลู่ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“พี่รอง พี่ไม่ได้แกล้งเขาใช่ไหม” ลู่เหวินซูลากเก้าอี้มานั่งลง “เขาจะร้องไห้แล้วนะ”

“ฉันเป็นเจ้านายแบบนั้นเหรอ”

ลู่เหวินซูอยากพยักหน้า พอมาคิดถึงเพื่อชีวิตน้อย ๆ ของตัวเองแล้วก็เลยไม่พูดดีกว่า แต่ดันรูปภาพหนึ่งให้มู่เฉินหย่วน “พี่รอง พี่เคยเจอแหวนวงนี้ไหม”

ในรูปภาพเป็นแหวนไพลินฝีมือประณีต

ตอนที่มู่เฉินหย่วนเห็นแหวนวงนี้เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ที่ระหว่างคิ้ว รู้สึกคุ้นเคยนิด ๆ แต่ทว่าความเจ็บนั้นก็มลายหายไปอย่างรวดเร็ว “ท่าทางแหวนน่าจะหลายปีมาแล้วละมั้ง”

“ดูเหมือนเป็นจิวเวอร์นี่ที่ทำออกมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน” ลู่เหวินซูพูด “เดิมทีผมอยากจะซื้อจิวเจอร์รี่ให้นางฟ้าน้อยไง บังเอิญไปเจอแหวนวงนี้เข้า”

มู่เฉินหย่วนอารมณ์เสีย “นายซื้อก็ซื้อสิ ต้องมาอวดฉันด้วยเหรอ”

“ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้” ลู่เหวินซูมองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อนแว็บหนึ่ง “พี่รอง พี่รู้ไหม แหวนวงนี้มีเจ้าของนะ อีกอย่างเจ้าของเดิมที่กำลังหามันอยู่”

พอเห็นเขาพูดขนาดนี้มู่เฉินหย่วนก็อยากจะรู้เรื่องราวสีหน้าค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้น

“พูดต่อสิ”

ลู่เหวินซูพูดต่อ “จากนั้นผมก็ตามเช็คของคนคนนั้นไปจึงพบว่าแหวนเป็นชุดเครื่องประดับสามชิ้น ผลิตขึ้นเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนจากร้านจิวเวอร์รี่แห่งหนึ่งในอิตาลี ผมให้คนไปอิตาลีแล้วตามหาร้านจิวเวอร์รี่นั้นเลยได้ความมาจากดีไซน์เนอร์ร้านนั้นมาบ้าง”

“ดีไซน์เนอร์บอกว่าคนที่มาหาเขาให้ทำจิวเวอร์รี่ให้เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะแต่งงาน อยากเอาพลอยที่ประมูลมาได้มาทำชุดเครื่องประดับหนึ่งชุดให้กับภรรยา”

ลู่เหวินซูดันรูปภาพไปตรงหน้ามู่เฉินหย่วนอีกครั้ง

รูปภาพสีเพี้ยนจนเหลืองไปแล้วทำให้คนที่อยู่ในรูปดูไม่ชัดเจน เลือนรางจนแยกออกแค่ว่าเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง มู่เฉินหย่วนมองดูเค้าโครงของผู้ชาย รูม่านตาก็หดตัวทันที

“ตอนที่ผู้ชายพาภรรยามาลองจิวเวอร์รี่ ดีไซน์เนอร์ถ่ายรูปให้พวกเขาใบหนึ่ง อยากจะล้างเอาไปให้พวกเขาแถมยังนัดเวลาแล้วเสร็จสรรพ แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่มาอีกเลย”

เห็นสีหน้ามู่เฉินหย่วนยิ่งราบเรียบ ลู่เหวินซูยิ่งอึดอัด ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

มู่เฉินหย่วนถาม “แล้วพวกเขาล่ะ”

“ตายแล้ว” ลู่เหวินซูพูด “พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานในสถาบันวิจัย แต่ทำอะไรไม่รู้นะ เช็คไม่เจอข้อมูลพวกนั้นแต่รู้ชื่อพวกเขา”

“ชื่ออะไร”

ลู่เหวินซูมองเขาแว็บหนึ่ง “มู่ซือหนาน ส่วนภรรยาเขาชื่อชิวเสี่ยวอี้”

มู่เฉินหย่วนจ้องมองไปที่รูปภาพ ไม่ได้ถามต่อ

“พี่รอง ไม่แน่อาจเป็นแค่ตระกูลเดียวกันเฉย ๆ ก็ได้นะ” ลู่เหวินซูรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “อีกอย่าง ผมเองก็เช็คไม่เจอว่ามู่ซือหนานกับตระกูลมู่ เกี่ยวข้องอะไรกับท่านมู่ด้วย”

“มีคนอื่นรู้เรื่องเรื่องนี้อีกไหม”

ลู่เหวินซูส่ายหัว “ไม่มี ผมได้รูปมาก็มานี่เลย แม้แต่พี่ใหญ่ก็ไม่ได้บอก”

“ไม่ต้องพูดแล้วนะ” มู่เฉินหย่วนหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งแล้วเอารูปภาพสองรูปใส่เข้าไปจากนั้นก็เอาใส่ลิ้นชักไปเลย “เรื่องนี้ต่อไปไม่ต้องสืบแล้วนะ”

“ให้ผมไปเอาแหวนวงนี้กลับมาไหม”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักเต็มใจ ประธานจงรักของฉัน