สาวโก๊ะทะลุมิติ มาใช้ชีวิตในยุคโบราณ นิยาย บท 22

เจิ้งเจี๋ยเอาผ้าเช็ดหน้าของเขาซับเหงื่อตรงหน้าผากให้กับฟางเหนียง ส่วนฟางเหนียงได้แต่นั่งแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เจิ้งเจี๋ยจึงค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือนางอย่างเบามือ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะ” นางหันไปมองหน้าเขาอย่างช้าๆ เขายื่นมือมาสัมผัสที่ใบหน้าของนางอย่างทะนุถนอม แล้วค่อยๆ ขยับใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของนางเรื่อยๆ สายตาที่เขามองนางมานั้น มันเป็นเหมือนมนต์สะกด ให้นางค่อยๆ หลับตาพริ้มแล้วเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสที่เขามอบให้

เจิ้งเจี๋ยมองภรรยาของเขาที่ตอนนี้ยังหลับสนิทอยู่ ด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข เขาไม่ได้ปลุกนางแต่อยากให้นางได้พักผ่อนให้มากหน่อย เขาลงจากเตียงแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบที่สุดเพราะกลัวว่านางจะตื่น เขารีบไปทำกับข้าวไว้ให้นาง แล้วจึงออกไปทำงานรับจ้าง

“อื้ม!!! ทำไมเมื่อยตัวอย่างนี้เนี่ย” นางลืมตาขึ้นมาก็ไม่เห็นเจิ้งเจี๋ยแล้ว จึงบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อย ฟางเหนียงนึกได้ว่าตนเองเมื่อยตัวเพราะอะไร ใบหน้าของนางก็มีสีแดงระเรื่อออกมาทันที นางกุมใบหน้าของตนเองอย่างเขินอายอยู่สักพักจึงค่อยๆ ลุกออกจากเตียงเพื่อจะเข้าครัวไปทำกับข้าว ฟางเหนียงออกมาก็เห็นว่ามีกับข้าวอยู่บนโต๊ะกินข้าวอยู่แล้ว จึงเผลอยิ้มออกมาเบาๆ แล้วนั่งลงกินข้าวอย่างมีความสุข นางเทน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไปในกาน้ำดื่มลงไปนิดหน่อย หากเขากลับมาจากทำงานดื่มน้ำในกานี้แล้วจะได้หายเหนื่อย

เจิ้งเจี๋ยกลับมาถึงบ้านก็รู้สึกว่าอาการป่วยของตนเองแย่ลง เพราะในยามนี้เขารู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมาก แล้วเขาก็เริ่มอาเจียนออกมา เฮี้ย เอี้ย ฟางเหนียงที่กำลังทำกับข้าวอยู่ก็รีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ฟางเหนียงยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก เพราะกำลังตกใจกับกองเลือดที่เจิ้งเจี๋ยอาเจียนออกมา พอตั้งสติได้นางก็วิ่งเข้าไปหาเขาแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “เจิ้งเจี๋ย เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมถึงมีเลือดออกมาเยอะถึงเพียงนี้” เจิ้งเจี๋ยยิ้มให้นางแล้วส่ายหัวไปมา“ขะ ข้า ไม่เป็นไร” ฟางเหนียงรีบพาเจิ้งเจี๋ยเข้าไปในห้องก่อน แล้วเช็ดคราบเลือดให้เขา ใบหน้าของเจิ้งเจี๋ยในยามนี้ซีดเซียวเป็นอย่างมาก ฟางเหนียงรีบวิ่งออกไปตามหมอทันที แต่ลืมไปว่าไม่รู้หมออยู่ที่ไหนจึงแวะถามชาวบ้านแถวนั้นจนหาตัวท่านหมอพบ นางพาท่านหมอมาถึงบ้านก็รีบให้ท่านหมอเข้าไปตรวจอาการของเจิ้งเจี๋ยทันที

“ท่านหมอ สามีของข้าเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ” ท่านหมอทำหน้าเคร่งเครียดแล้วตอบนางด้วยเสียงที่ให้นางทำใจกับเรื่องนี้ “สามีของเจ้าถูกพิษ แต่ข้าไม่รู้ว่าพิษชนิดใด รู้แค่ว่าสามีของเจ้าถูกพิษที่รุนแรงมาก น่าจะเป็นพิษที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์ ถึงทำให้ร่างกายของเขาซูบผอมเช่นนี้ พิษที่อยู่ในร่างกายของเขาน่าจะค่อยๆ แพร่กระจายมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้ร่างกายน่าจะรับไม่ไหวถึงได้อาเจียนออกเป็นเลือดเช่นนี้ ถึงขั้นนี้แล้วคงรักษาไม่ได้แล้วล่ะ ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้จริงๆ” ท่านหมอพูดจบก็กลับไปทันที เพราะรู้ว่าไม่มีทางรักษา อาการหนักถึงเพียงคงได้แต่นอนรอความตายเพียงเท่านั้น

นี่มันอะไรกันอยู่ๆ หมอก็มาบอกว่าสามีของนางกำลังจะตาย จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน เมื่อวานนี้ก็ยังดีอยู่เลยไม่เห็นจะมีอาการผิดปกติสักนิด เขาเป็นสามีนางยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำ จะมาตายจากนางไปแล้วอย่างนั้นรึ นางตั้งตัวไม่ทันจริงๆ ยามนี้นางสับสนไปหมดแล้ว “โฮสต์ ยาสมุนไพรอยู่ในตู้” ระบบที่เห็นฟางเหนียง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนั้นจึงรีบเตือนนางในทันที “อ่า ใช่แล้ว ข้าลืมไปได้เยี่ยงไรกัน” นางรีบเดินเข้าไปในห้องแล้วหยิบยาสมุนไพรออกมา แล้วเทผสมกับน้ำเปล่า เพราะยาสมุนไพรขวดนี้มีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก หากดื่มแค่ยาสมุนไพรอย่างเดียวอาจทำให้ร่างกายรับไม่ไหวได้ ฟางเหนียงค่อยๆป้อนยาให้เขาจนหมดหนึ่งถ้วย แล้วนั่งรอดูอาการเขาว่าจะเป็นอย่างไร นางกระวนกระวายใจมากไม่รู้ว่ายาที่ให้เขาดื่มไปนั่นจะได้ผลหรือไม่ ฟางเหนียงที่รอเจิ้งเจี๋ยไปถึง 2 ชั่วยาม เจิ้งเจี๋ยก็เริ่มลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ฟางเหนียงเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปถามอาการของเขาในทันที

“เจิ้งเจี๋ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังอยากอาเจียนอยู่หรือไม่” เจิ้งเจี๋ยในยามนี้ไม่มีความรู้สึกอยากอาเจียนแล้วแต่ยังเวียนหัวอยู่นิดหน่อย เขาจึงเอ่ยบอกอาการของเขาให้นางฟัง “แล้วตอนนี้เจ้าหิวหรือไม่ ข้าเตรียมข้าวต้มไว้ให้เจ้าแล้ว เจ้าจะทานเลยรึไม่” เจิ้งเจี๋ยพยักหน้าตอบ ฟางเหนียงจึงไปยกข้าวต้มที่เตรียมไว้ให้เขาตั้งแต่ยามห้าย (21:00-22:59) นางค่อยๆ ป้อนข้าวเขาจนหมดถ้วย แล้วให้เขาดื่มยาสมุนไพรที่นางเตรียมไว้อีกหนึ่งถ้วย 3 วันแรกเขาต้องทานยาวันละ 3 ครั้งตั้งแต่วันที่ 4 ถึงจะดื่มแค่วันละครั้ง หลังจากที่เจิ้งเจี๋ยทานข้าวดื่มยาเสร็จก็หลับไปอีกรอบ ยามนี้ฟางเหนียงก็ง่วงมากเช่นเดียวกันจึงเข้าไปนอนอีกห้องหนึ่ง

ฟางเหนียงตื่นมาในยามเหม่าเพื่อเตรียมข้าวต้มและยาไว้ให้เจิ้งเจี๋ย สักพักก็ได้ยินเสียงของเจิ้งเจี๋ยเรียกนาง “ฟางเหนียง ข้าขอกระโถนหน่อย ข้าอยากอาเจียนอีกแล้ว” นางหยิบกระโถนได้ก็รีบวิ่งเข้าไปหาเจิ้งเจี๋ยทันที เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดเช่นเดิมแต่ครั้งนี้เลือดที่อาเจียนออกมานั้นเป็นสีดำสนิท เลือดนี่มันไม่ใช่เลือดของคนอย่างแน่นอน เจิ้งเจี๋ยเอนกายนอนลงบนเตียงอีกครั้งอย่างหมดแรง ฟางเหนียงมองหน้าเขายามนี้ เริ่มมีอาการดีขึ้นมาบ้างแล้ว

“เจ้านอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ ตื่นมาแล้วค่อยทานข้าว” ฟางเหนียงเห็นว่าเขาหลับตาลงแล้ว ก็ออกไปที่ครัวทันทีหลังจากที่นางออกไปแล้ว เจิ้งเจี๋ยจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอาการป่วยที่เขาเป็นอยู่นี้ หนักกว่าท่านพ่อเสียอีก เพราะมันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว หลังจากที่เขาอาเจียนเขาก็เริ่มหมดสติไป รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ฟางเหนียงเอาข้าวต้มมาให้เขาทาน ตอนที่เขาอาเจียนเมื่อวานนั้นเขาคิดว่าไม่รอดแล้วแน่ๆ เพราะตอนนั้นเขาไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ แต่พอมาอาเจียนวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้นมาก แค่มีอาการเพลียนิดหน่อยเท่านั้น เขาจึงหลับไปอีกรอบ

“ระบบ ทำไมเลือดของเจิ้งเจี๋ยถึงเป็นสีดำสนิทเช่นนั้นล่ะ” นางถามระบบด้วยความสงสัย เลือดที่เขาอาเจียนออกมาดำอย่างกับหมึกเขียนหนังสืออย่างไรอย่างนั้น “สามีของโฮสต์ถูกพิษมานาน พิษได้เข้าไปกระจายถึงกระดูกแล้ว ถึงได้อาเจียนเป็นสีดำเช่นนั้น พิษชนิดนี้ทำมาจากแมลงก้นปล้อง เป็นพิษที่ซับซ้อนมาก แต่ละตัวนั้นก็มีพิษที่แตกต่างกันออกไป หากคนที่จะถอนพิษชนิดนี้ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะหาพบ ดีไม่ดีคนที่ถูกพิษอาจจะตายก่อนที่จะได้รักษาด้วยซ้ำ” ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวรึ แล้วเขาไปถูกพิษชนิดนี้ได้เยี่ยงกัน “พิษชนิดนี้หายากหรือไม่” นางสงสัย

“แน่นอนโฮสต์ พิษชนิดนี้ไม่ได้อยู่เมืองทางตะวันออก แต่อยู่ที่เมืองทางใต้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทางใต้จะหาได้ง่ายๆ กว่าจะได้พิษมาแต่ละครั้งต้องใช้เวลาหลายปี ถึงจะได้มาหนึ่งตัว และสามารถใช้พิษนี้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น คนที่จะได้พิษชนิดนี้มาครอบครองได้นั้นคงจะจ่ายไปไม่น้อยเลยล่ะ” แล้วใครกันที่กล้าลงทุนทำกับเขาถึงเพียงนี้ หรือว่าจะเป็นท่านป้าของเขา นางจำได้ว่าตอนที่ท่านป้าทำธุรกิจด้วยตนเองได้แล้ว ท่านพ่อของเขาก็เริ่มมีอาการป่วย จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ แม้แต่หลานชายของตนเองก็ไม่นึกสงสารสักนิดเลยหรืออย่างไร

ตลอดระยะเวลา 3 วันเจิ้งเจี๋ยตื่นเช้ามาจะอาเจียนเป็นเลือดสีดำทุกครั้ง หลังจากอาเจียนทุกครั้งเขาจะมีสีหน้าที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่มีอาการอยากอาเจียนอีกเลยสักครั้ง และสิ่งที่เปลี่ยนไปที่เห็นได้ชัดก็คือ ผิวพรรณของเขาที่เคยหมองคล้ำในยามนี้เริ่มกระจ่างใสขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะฟางเหนียงได้ใส่น้ำศักดิ์สิทธิ์ให้เขาอาบและดื่มด้วย นางคิดว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้อาจจะช่วยเขาได้อีกแรง มาวันนี้นางรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่เห็นว่าเจิ้งเจี๋ยมีอาการที่ดีขึ้นมากถึงเพียงนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวโก๊ะทะลุมิติ มาใช้ชีวิตในยุคโบราณ