สาวโก๊ะทะลุมิติ มาใช้ชีวิตในยุคโบราณ นิยาย บท 17

เมื่อครั้งนั้นฟางเหนียงจำได้ว่า นางนั่งรถม้าไปส่งสินค้ากับนายหน้าที่ชวนท่านพ่อมาด้วยเพราะลูกน้องของเขานั้นป่วยหนัก นายหน้ารู้จักท่านพ่อมานานรู้ว่าท่านพ่อเป็นคนเช่นไรจึงชวนมาเป็นเพื่อนด้วย นายหน้าและครอบครัวของนางใช้เวลาเดินทางมาเมืองเฟิ่งฟู่ 7 วัน นายหน้าพาไปส่งสินค้าให้ลูกค้าเสร็จแล้วจึงปลีกตัวไปทำธุระของตัวเองแล้วนัดเจอกันอีก 3 วันข้างหน้า ท่านพ่อจึงถือโอกาสนี้พาท่านแม่และฟางเหนียงไปเดินเล่นในเมืองเฟิ่งฟู่แล้วค่อยหาโรงเตี๊ยมราคาไม่แพงไว้หลับนอน เมืองนี้มีความมั่งคั่งเป็นอย่างมาก เป็นเมืองของกลุ่มพ่อค้าที่ชอบมาแลกเปลี่ยนสินค้ากัน ไม่มีสิ่งใดที่หาไม่ได้จากเมืองนี้ อาหารที่นี่เลิศรสเป็นที่สุดและแน่นอนว่าราคาก็แพงหูฉีกเช่นเดียวกัน แค่ราคาบะหมี่ข้างทางยังแพงกว่าที่เมืองนางหลายเท่า ท่านพ่อที่อยากรู้ถึงรสชาติบะหมี่ของเมืองนี้จึงพานางและท่านแม่ทานบะหมี่ดูสักครั้ง รสชาติของมันดีมากจริงๆ ไม่เคยทานบะหมี่ที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน หลังจากทานบะหมี่เสร็จแล้วท่านพ่อจึงพาเดินดูสิ่งของต่างๆ เดินไปไม่นานก็มีเสียงปริศนาเรียกท่านพ่อของนาง

“หลิวหานโจว ใช่เจ้ารึไม่” เสียงบุรุษคนหนึ่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับท่านพ่อ ท่านพ่อหันไปมองตามเสียงเรียก “อ้าว เหย่เจิ้งไฉ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไรกัน” ท่านพ่อเห็นว่าเป็นคนที่ท่านรู้จัก จึงรีบเดินเข้าไปหาทันที “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่หรือไม่” ท่านพ่อพยักหน้าตอบบุรุษผู้นั้นพร้อมรอยยิ้มที่ดีใจอย่างยิ่ง บุรุษผู้นั้นก็ยิ้มเหมือนท่านพ่อเช่นกัน สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหมือนท่านทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว “แล้วเจ้าล่ะ มาทำการค้าที่นี่รึ เจ้าไปอยู่ที่เมืองใด” ท่านพ่อเอ่ยถาม “ข้าอยู่ที่เมืองเฟิ่งฟู่นี่แหละ แล้วเจ้าล่ะอยู่ที่เมืองใด ไกลจากที่นี่มากหรือไม่” ท่านทั้งสองสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่สักพักท่านพ่อจึงหันมาหานางและท่านแม่ แล้วแนะนำฟางเหนียงให้รู้จักกับบุรุษผู้นั้น

“เจิ้งไฉ นี่ลูกสาวของข้าเอง ชื่อหลิวฟางเหนียง สวัสดีท่านลุงสิลูก” นางจึงทักทายท่านลุงกลับ “ลูกสาวของเจ้าสวยเหมือนท่านแม่ของเขาไม่มีผิดเลยจริงๆ” ท่านลุงเอามือมาลูบหัวฟางเหนียงอย่างอ่อนโยน ท่านลุงที่รู้ถึงจุดประสงค์ของครอบครัวนางที่มาที่นี่แล้ว ท่านลุงจึงชวนท่านพ่อให้ไปพักที่บ้านของท่าน นั่งรถม้าจากในเมืองมาบ้านท่านลุงไม่ไกลมากนัก รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูจวนสกุลเหย่ ท่านแม่ที่ลงมาจากรถม้าได้พบกับสตรีผู้หนึ่งที่ยืนรออยู่หน้าประตูจวน ก็รีบวิ่งเข้าไปกอดสตรีผู้นั้นในทันที ท่านทั้งสองยิ้มให้กันด้วยน้ำตา หากจะให้นางเดาสตรีผู้นั้นน่าจะเป็นภรรยาของท่านลุง “เหย่ซูหนี่ว์ ไม่เจอกันนานเลยนะ ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก” ท่านแม่พูดด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข

“ข้าก็เช่นกัน เจ้ามีตัวเล็กแล้วรึ ข้าดีใจยิ่งนัก” เพราะท่านแม่สุขภาพไม่ค่อยดีจึงทำให้มีลูกยาก ท่านป้าที่หันมาหานางก็รีบเดินมากอดนางด้วยความดีใจอย่างมากที่เพื่อนของท่านมีลูกสักที ส่วนนางนั้นก็ได้แต่ยิ้มตาหยีให้ท่านป้า จากนั้นพวกเราก็เข้าไปในจวนของสกุลเหย่ ท่านลุงบอกให้บ่าวรับใช้เตรียมห้องให้กับครอบครัวของฟางเหนียง แล้วท่านพ่อก็ให้ฟางเหนียงกับท่านแม่ไปพักผ่อนในห้องให้หายเหนื่อยก่อน ส่วนท่านพ่อนั้นยังมีเรื่องคุยกับท่านลุงมากมายนัก ฟางเหนียงกับท่านแม่เข้ามาชำระร่างกายให้สบายตัว หายเหนื่อยแล้วจึงพากันออกมาที่ห้องโถงใหญ่ ท่านแม่เล่าให้ฟางเหนียงฟังว่าท่านป้าซูหนี่ว์เป็นเพื่อนท่านตั้งแต่อยู่ที่เมืองเดิม ตอนนั้นฟางเหนียงยังไม่ได้เกิด ที่เมืองเดิมเกิดภัยแล้งขึ้นมาอย่างนักชาวบ้านที่เมืองนั้นจึงพากันอพยพหาที่อยู่ใหม่ ท่านพ่อกับท่านลุงตกลงกันว่าจะแยกกันไปตั้งหลักปักฐานคนละเมือง หากเมืองใดมีความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ค่อยย้ายไปเมืองนั้น

ท่านลุงทำธุรกิจการค้าอยู่เมืองเฟิ่งฟู่หลายปีจนทำให้ฐานะของครอบครัวดีขึ้นอย่างมาก ตอนนี้หากจะถามหาจวนสกุลเหย่ไม่มีใครที่นี่ไม่รู้จัก ท่านลุงที่ตอนนี้อยู่สุขสบายแล้วจึงคิดจะตามหาท่านพ่อเพื่อให้ท่านพ่อย้ายมาอยู่เมืองนี้ด้วยกัน วันนี้โชคดียิ่งนักท่านลุงออกมาเจอกับท่านพ่อเสียก่อน ท่านพ่อไม่อยากย้ายเมืองจึงได้ปฏิเสธท่านลุงไปเพราะเมืองที่ท่านพ่ออยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ยากจนมากนักและท่านพ่อก็ผูกพันกับหมู่บ้านนี้แล้วด้วย ตอนนี้ท่านแม่กับท่านป้ากำลังนั่งคุยกันที่ศาลาในสวนหน้าบ้าน ฟางเหนียงที่ไม่รู้จะทำอะไรจึงวิ่งเล่นดูดอกไม้ข้างๆ ศาลา นางเห็นผีเสื้อที่กำลังบินอยู่จึงวิ่งจับผีเสื้อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ดูทางข้างหน้าว่ามีคนอยู่รึไม่ ผลที่นางวิ่งเล่นไม่ดูทางทำให้นางนั้นชนเข้ากับเด็กคนหนึ่งอย่างจัง ทำให้ทั้งสองคนล้มไปคนละทาง นางยังโชคดีที่ล้มไปทางกอหญ้าได้แผลถลอกที่ขานิดหน่อย แต่เด็กคนนั้นล้มศีรษะแตกเพราะไปกระแทกกับก้อนหิน บ่าวรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์ก็ร้องออกมาเสียงดัง

“คุณชายน้อยเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ฟางเหนียงได้แต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นทำอะไรไม่ถูก ฟางเหนียงไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเลย ท่านแม่กับท่านป้าได้ยินเสียงเอะอะจึงรีบเดินมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านแม่เห็นว่าฟางเหนียงกำลังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงเข้ามาปลอบฟางเหนียงทันที ท่านป้าที่เดินตามมาก็รีบเข้าไปดูอาการของลูกชายแล้วปลอบอย่างอ่อนโยน แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาปลอบฟางเหนียงด้วยรอยยิ้มเช่นกัน หลังจากที่เราทำแผลกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาทานข้าวพอดี ฟางเหนียงกำลังนั่งลงบนเก้าอี้สายตาของนางก็เผลอไปสบกับสายตาที่ดุร้ายนั้นที่กำลังมองนางอยู่ ทำให้นางตกใจนั่งตัวตรงแข็งทื่ออยู่สักพัก อาหารที่นางทานลงไปในมื้อนั้นนางไม่ได้รับรู้ถึงรสชาติของมันเลยสักนิด แต่กลับรับรู้ถึงความรู้สึกที่อึดอัดเหมือนนางโดนจ้องอยู่ตลอดเวลา

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นตลอด 3 วันที่นางอยู่ที่นี่ นางต้องพบเจอกับการโดนกลั่นแกล้งสารพัด จนทำให้นางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้วินาทีเดียว นางรู้สึกไม่ชอบเด็กผู้ชายคนนี้เป็นอย่างมากเขาไม่ยอมห่างนางเลยสักนิด คอยอยู่กลั่นแกล้งนางตลอดเวลา ผู้ใหญ่ที่เห็นว่าเด็กชายชอบหยอกล้อนางจึงคิดว่าเด็กชายคนนี้ชอบนาง ด้วยเหตุผลนี้ท่านลุงจึงคุยเรื่องหมั้นของเด็กทั้งสองคนกับท่านพ่อ และท่านพ่อก็ตอบตกลงอย่างไม่คิดสักนิด ผู้ใหญ่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ว่านางนั้นถูกเด็กผู้ชายคนนี้เกลียดชังให้แล้ว เป็นเช่นนี้แล้วอนาคตของนางจะเป็นอย่างไรกัน หากนางแต่งงานเข้าไปในจวนของสกุลเหย่แล้วจะเป็นเยี่ยงไรกัน เด็กชายคนนั้นคงจะรอเชือดนางอยู่สินะ ฟางเหนียงคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาทันที มิน่าล่ะนางถึงคิดเรื่องนี้ไม่ออกสักที เพราะนางไม่อยากจำมันนี่เอง คิดแล้วมันน่าปวดหัวยิ่งนัก แล้วตอนนี้ชายผู้นั้นก็โตแล้วด้วย นิสัยใจคอจะยังเหมือนเดิมไหมนะ “เฮ้อออ ตอนนี้ก็ผ่านมาเป็น 10 ปีแล้ว ท่านลุงน่าจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วล่ะมั้ง” นางปลอบใจตัวเองด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม “แต่ท่านลุงก็น่าจะมาถอนหมั้นก็ได้นี่น่า” ที่ฟางเหนียงยังกังวลเช่นนี้เพราะท่านพ่อกับท่านลุงนั้นเป็นเพื่อนรักกัน เรื่องหมั้นครั้งนี้ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องจริง "เฮ้อ ช่างเถอะ เข้านอนดีกว่า"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวโก๊ะทะลุมิติ มาใช้ชีวิตในยุคโบราณ