บทที่ 374 ขอบคุณนะคะ
เย้นโม่หลินเดินเข้าไป แล้วตบบ่าคนเป็นพ่อ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“พ่อครับ ผมทำภารกิจสำเร็จ ผมพาน้องกลับมาแล้ว”
จากวันนี้ไป คนในครอบครัวของพวกเขาทั้งสี่คน ก็ครบแล้ว
ต่อไปนี้เวลาถึงเทศกาลอะไรต่างๆ บรรยากาศในครอบครัวก็ไม่ต้องเศร้าหมองอีกต่อไป แม่ก็ไม่ต้องไปแอบร้องไห้คนเดียวในห้อง แล้วนอนไม่หลับทั้งคืนอีก
ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างรู้สึกโล่งใจ “เสี่ยวโม่ ขอบคุณนะ”
ใบหน้าคมหล่อของเย้นโม่หลินเปลี่ยนสี พร้อมพูดอย่างจริงจังว่า : “พ่อครับ ผมบอกหลายครั้งแล้วนะครับ ว่าผมโตแล้ว พ่ออย่าเรียกผมว่าเสี่ยวโม่เลยครับ”
“โอเคๆ ไม่เรียกก็ไม่เรียก”
ชายวัยกลางรู้สึกอารมณ์ค่อนข้างดี ยื่นแขนไปพาดไหล่เย้นโม่หลิน ราวกับเป็นเพื่อนชายกัน “เสี่ยวโม่ ว่างๆลูกช่วยเล่าเรื่องตอนที่พวกลูกอยู่จีนให้พ่อฟังอย่างละเอียดด้วยนะ ให้พ่อได้เข้าใจเสี่ยวหว่านหน่อย”
เย้นโม่หลิน:“……”เก็บเสี่ยวโม่กลับไปก่อน ถึงจะยอมคุยด้วย
ร้องไห้ไปสักพักหนึ่ง หญิงวัยกลางคนได้ออกจากความรู้สึกที่ทุกข์แต่ก็ตื่นเต้น เธอปาดน้ำตา ค่อนข้างรู้สึกเขินทำตัวไม่ถูก
“ดูสิ แม่ดีใจเกินไปที่ได้เจอลูก ถึงได้เป็นแบบนี้......”
เย้นหว่านขอบตาแดงก่ำ จากอ้อมกอดนี้ ความรู้สึกใกล้ชิดของเธอ ก็ได้เพิ่มมากขึ้น
เธอยิ้มแล้วส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ หนู......ชอบค่ะ”
เธอรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แก้มของเธอเริ่มแดง
แต่สาววัยกลางคนรู้สึกดีใจร่าเริง นี่คือลูกสาวแท้ๆของเธอ ความรู้สึกใกล้ชิดก็อยู่ในสายเลือด หน้าแดงยังดูน่ารักมากๆ
เธอจับมือเย้นหว่านอย่างมีความสุขและพูดเสียงเบา : “เสี่ยวหว่าน ลูกยังไม่รู้ชื่อของพ่อกับแม่ใช่ไหม?”
เย้นหว่านยังไม่รู้จริงๆด้วย ระหว่างทางที่มาเย้นโม่หลินก็ไม่ได้บอกเธอ
เธอส่ายหน้า
“แม่ชื่อกงจืออวี” กงจืออวีจับมือเย้นหว่านแล้วมองไปทางชายร่างสูง “พ่อชื่อ......”
“พ่อชื่อเย้นเจิ้นจื๋อ”
เย้นเจิ้นจื๋อผลักเย้นโม่หลินออก และแย่งพูดด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้ม
เขามองเย้นหว่านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักอย่างหวานเยิ้ม ราวกับไปตกถังน้ำผึ้งมา “เสี่ยวหว่าน ถ้าจำชื่อของพ่อไม่ได้ เดี๋ยวพ่อเขียนใส่กระดาษให้นะ”
เย้นโม่หลินมุมปากกระตุก มองพ่อแท้ๆของตัวเองด้วยสายตาดูถูก
เขาไม่มีนามบัตรติดตัวหรือไง? ทำไมยังต้องใช้มือเขียน? ก็แค่อยากใกล้ชิดเย้นหว่าน ใช้วิธีสิ้นคิดเกินไปหรือเปล่า
เย้นหว่านมองชายตรงหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร เธอพูดไม่ออกเล็กน้อย
จริงๆแค่ที่พวกเขาพูด เธอก็จำชื่อของพวกเขาได้แล้ว จำได้อย่างชัดเจน และจะไม่มีวันลืมด้วย แต่เพราะสายตาที่คาดหวังของชายตรงหน้า เธอจึงพยักหน้ารับ
“ค่ะ”
“เสี่ยวหว่านเพิ่งกลับมา เดินทางมาเหนื่อยมากพอแล้ว จะให้มาดูคุณเขียนชื่อ? อยากอวดตัวหนังสือค่อยอวดครั้งหน้านะคุณ ฉันจะพาลูกสาวของฉันไปพักผ่อน แช่น้ำร้อน ดีไหม?”
ขณะพูด กงจืออวีมองมายังเย้นหว่านด้วยสายตาที่อ่อนโยน
เย้นเจิ้นจื๋อไม่เห็นด้วยในทันที “ไม่จำเป็นต้องรีบอาบ เสี่ยวหว่านนั่งเครื่องมาตั้งนาน น่าจะหิวแล้ว เสี่ยวหว่าน พ่อพาไปกินของอร่อยๆดีไหม ลูกก็นั่งกิน พ่อก็จะเขียนชื่อพ่อให้ลูก”
“เย้นเจิ้นจื๋อ คุณจะสู้กับฉันใช่ไหม? แล้วยังจะมาแย่งเสี่ยวหว่านของฉันอีก?”
กงจืออวีโมโหขึ้นมาในทันที ท่าทางอ่อนโยนในเดิมทีเปลี่ยนไปในทันที เธอจ้องเย้นเจิ้นจื๋ออย่างไม่พอใจ
เย้นเจิ้นจื๋อริมฝีปากกระตุก น้ำเสียงต่ำลง “ก็ฉันหวังดีกับเสี่ยวหว่าน กลัวลูกหิวไง”
ป่ายฉีที่เดินตามหลังมายกมือปิดหน้า รู้สึกน่าขายหน้าเป็นอย่างมาก
สองสามีภรรยานี้ พอได้เจอเย้นหว่านแล้วหนักกว่าเย้นโม่หลินเสียอีก นี่เพิ่งจะไม่กี่นาที ก็เริ่มแย่งลูกสาวกันแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...